พลังงานจับมือภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนทั้งเอ็นจีวี แก๊สโซฮอล์ หวังประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมให้ได้ 25% เป็นเงิน 93,000 ล้านบาท ในปี 2551
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้เตรียมประสานความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หอการค้าไทย และธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและการประหยัดพลังงาน โดยวางเป้าหมายให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 134 แห่ง ประหยัดพลังงานให้ได้ร้อยละ 1030 ต่อราย โดยมีผู้สนใจร่วมแล้วหลายแห่ง เช่น เครือสหพัฒน์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ได้กำหนดเป้าหมายประหยัดพลังงาน 5-10% ต่อราย เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ กลุ่มอาหาร สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ตามแนวท่อส่งก๊าซจะสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้า น้ำร้อน น้ำเย็นแบบผสมผสาน เพื่อเป็นการนำเอาความร้อนที่เหลือจากการผลิตไฟฟ้ามาผลิตเป็นไอน้ำ และนำกลับมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม ทั้งนี้ เนื่องจากต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมประหยัดพลังงานให้ได้ 25% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 93,000 ล้านบาท ในปี 2551 โดยรัฐบาลมอบหมายให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการกำกับดูแลการประหยัดพลังงานในภาคอุตสากรรมให้ได้ตามเป้าหมาย
สำหรับมาตรการประหยัดพลังงานในการหารือตลอดหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนนั้น ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ จะประชุมอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะแนวทางการเปลี่ยนแปลงการสำรองน้ำมันจาก 5% ให้เหลือ 3% นั้น
ถ้าหากลดการสำรองน้ำมันให้เหลือ 3% ก็จะสามารถนำปริมาณสำรองอยู่ออกมาใช้ได้ ซึ่งจะเป็นการลดการนำเข้า แต่จะต้องพิจารณาถึงความมั่นคงและการขาดแคลน ซึ่งหากได้ข้อสรุปก็จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันนั้นถึงแม้โอเปกจะยอมรับว่าเตรียมเพิ่มกำลังการผลิต แต่ประเทศผู้ผลิตที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้คือ ซาอุดีอาระเบีย อิรัก อิหร่าน แต่ประเทศอิรักก็ยังติดปัญหาภาวะสงคราม ส่วนอิหร่านยังมีปัญหาการลงทุน รวมทั้งขณะนี้ยังมีปัญหาการเก็งกำไรกองทุนในต่างประเทศ ดังนั้น ประเทศเหล่านี้ก็คงไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากนัก
นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ในฐานะประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลปรับเพิ่มราคาดีเซลไปสู่ต้นทุนที่แท้จริงเพียงครั้งเดียวเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดแผนการผลิตสินค้าได้ชัดเจนมากขึ้น
หากทำการปรับหลายครั้งอาจจะกระทบต่อการวางแผนธุรกิจ อีกทั้ง ปตท.ก็ไม่ควรปรับราคาช้ากว่าผู้ค้ารายอื่น ส่วนแนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงฤดูหนาวปีนี้ คาดว่าราคาตลาดโลกคงไม่แตกต่างจากช่วงนี้มากนัก เพราะเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ เช่น จีนก็ชะลอตัวลง ขณะที่ราคาน้ำมันยังมีความผันผวน ดังนั้น ความต้องการน้ำมันทั่วโลกอาจชะลอตัวลง ดังนั้น ราคาคงไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก
นายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังไม่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมมากนัก เพราะราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น 40 สตางค์ กระทบต่อค่าไฟฟ้า 0.2% เท่านั้น รวมทั้งโรงงานแต่ละแห่งก็มีการใช้ทั้งไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในสัดส่วนที่ต่างกัน หากรายใดใช้น้ำมันสัดส่วนสูงก็ได้รับผลกระทบมาก แต่ต้นทุนสินค้าที่ปรับสูงขึ้นจะได้รับผลกระทบมาจากภาคการขนส่งที่ใช้น้ำมันสูงถึง 30-40% เมื่อเทียบกับสาขาต่าง ๆ
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาน้ำมันขณะนี้ยังอยู่ในระดับสูง แม้ตลาดโลกจะชะลอตัวบ้าง ถึงแม้ ปตท.จะปรับเพิ่มราคาในวันนี้ แต่ส่วนต่างของต้นทุนออกจากโรงกลั่นเทียบกับราคาขายปลีกหรือค่าการตลาดนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันก็ยังจำหน่ายดีเซลขาดทุนอยู่ แม้ค่าการตลาดจะเริ่มเป็นบวกโดยขณะนี้ค่าการตลาดเบนซินอยู่ที่ 1 บาท ดีเซลอยู่ที่ 1.3 บาทต่อลิตร ก็ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำมันก็คงไม่แตกต่างจากปัจจุบันมาก คาดว่าจะอยู่ที่ 20-25 บาทต่อลิตร โดยดีเซลอยู่ที่ 21 บาทต่อลิตร เบนซิน 95 อยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร เพราะขณะนี้รัฐบาลยังช่วยเหลือภาษีดีเซลอยู่ที่ 1 บาท และให้กองทุนน้ำมันชดเชย 1.36 บาท รวมแล้วเป็นการช่วยเหลือถึง 2.36 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันก็คงไม่ลดไปกว่านี้ เพราะรัฐบาลมีภาระชดเชยไปมากในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการปรับขึ้นราคาของ ปตท.นั้น ในช่วง 1-2 วันนี้ก็จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าตลาดโลกเป็นอย่างไรบ้าง แต่ ปตท. ก็ยังมีราคาต่ำกว่ารายอื่น 40 สตางค์ ซึ่งทำให้คนหันมาซื้อน้ำมันจาก ปตท.มากขึ้น จึงประสบปัญหาในการจัดหาน้ำมันไว้เพื่อจำหน่าย เพราะโรงกลั่นก็กลั่นเต็มกำลังการผลิต โดยเฉพาะดีเซลแทบจะไม่พอจำหน่าย และถ้าหากผู้ค้ารายอื่นไม่ปรับหนีขึ้นไป ราคาน้ำมันของ ปตท. ก็จะใกล้เคียงกับรายอื่นได้ สำหรับแนวทางการปรับราคาน้ำมันขึ้นทันที 2 บาท ภายในเดือนกรกฎาคมนั้น ก็ขึ้นอยู่นโยบายของรัฐบาล แต่ในส่วนของ ปตท.ต้องการขยับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
ที่มา: สภาหอการค้าไทย www.thaiechamber.com
-ดท-