กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
รัฐมนตรีต่างประเทศลงนาม (1) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย (2) พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ และ (3) พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามตราสารสำคัญระหว่างประเทศ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย ทำที่นครนิวยอร์ก ค.ศ. 1999 (International Convention for the Suppression on Financing of Terrorism 2) พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ทำที่กรุงเวียนนา ค.ศ. 2000 เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม (Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and Children, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime) 3) พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรม ข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม ทำที่กรุงเวียนนา ค.ศ. 2000 (Protocol against the Smuggling of Migrants by Land, Sea and Air, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime) อนุสัญญาฯและพิธีสารทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ 1. อนุสัญญาฯ กำหนดให้รัฐภาคีดำเนินการเพื่อให้การจัดหาหรือรวบรวมทุนเพื่อใช้ในการกระทำการก่อการร้ายตามที่ได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย (ปัจจุบันมีด้วยกันทั้งสิ้น 12 ฉบับ) เป็นความผิดทางอาญา นอกจากนั้น ให้ถือว่าความผิดตามอนุสัญญา ฯ เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ และไม่อาจอ้างเป็นความผิดทางการเมืองหรือมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่เปิดช่องให้รัฐภาคีปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือให้ความร่วมมือทางอาญา ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ลงนามอนุสัญญาฯนี้ แล้ว 122 ประเทศ (อาเซียน: กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย /เอเชีย: จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้) และมีประเทศเข้าเป็นภาคีแล้ว 15 ประเทศ ทั้งนี้อนุสัญญา ฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 22 ประเทศ (อนุสัญญา ฯ เปิดให้ลงนามตั้งแต่มกราคม ค.ศ. 2000 | 31 ธันวาคม ค.ศ. 2001) การลงนามในอนุสัญญาฯ แม้จะยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยโดยทันที โดยจะต้องมีการให้สัตยาบันภายหลัง แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณและแสดงจุดยืนของไทยว่า ไทยให้ความสำคัญอย่างสูงเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนั้นยังเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1373 (ค.ศ. 2001) ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย โดยเฉพาะอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ 2. พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมมือกันปราบปรามกระบวนการค้าบุคคลโดยมุ่งคุ้มครองสตรีและเด็กเป็นพิเศษ ด้วยการกำหนดให้การค้ามนุษย์เป็นความผิดอาญา เพื่อป้องกัน/คุ้มครองและช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ โดยเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพิธีสารฯ ปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ ลงนามในพิธีสารแล้ว 100 ประเทศ (อาเซียน: ฟิลิปปินส์) และมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 4 ประเทศ ทั้งนี้ พิธีสารฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 40 ประเทศ 3. พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการต่อต้าน และการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ โดยกำหนดเป็นพันกรณีให้ รัฐภาคีตรากฎหมายภายในกำหนดให้การลักลอบผู้ย้ายถิ่นเป็นความผิดอาญา กำหนดช่องทางการ ติดต่อเกี่ยวกับข้อมูล ข้อสนเทศ และกำหนดให้มีความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายของ รัฐภาคี ปัจจุบัน มีประเทศต่าง ๆ ลงนามในพิธีสารแล้ว 95 ประเทศ (อาเซียน: ฟิลิปปินส์ ) และมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 4 ประเทศ ทั้งนี้ พิธีสารฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 40 ประเทศ เช่นเดียวกับการลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย แม้การลงนามในพิธีสารเรื่องการค้ามนุษย์ฯ และพิธีสารเรื่องการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ ของไทย จะยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยจนกว่าจะมีการให้สัตยาบันเสียก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นการแสดงจุดยืนของไทยว่า มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อร่วมกันต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการค้ามนุษย์ฯ และเกี่ยวกับเรื่องการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-สส-
รัฐมนตรีต่างประเทศลงนาม (1) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย (2) พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ และ (3) พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามตราสารสำคัญระหว่างประเทศ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย ทำที่นครนิวยอร์ก ค.ศ. 1999 (International Convention for the Suppression on Financing of Terrorism 2) พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ทำที่กรุงเวียนนา ค.ศ. 2000 เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม (Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and Children, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime) 3) พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรม ข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม ทำที่กรุงเวียนนา ค.ศ. 2000 (Protocol against the Smuggling of Migrants by Land, Sea and Air, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime) อนุสัญญาฯและพิธีสารทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ 1. อนุสัญญาฯ กำหนดให้รัฐภาคีดำเนินการเพื่อให้การจัดหาหรือรวบรวมทุนเพื่อใช้ในการกระทำการก่อการร้ายตามที่ได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย (ปัจจุบันมีด้วยกันทั้งสิ้น 12 ฉบับ) เป็นความผิดทางอาญา นอกจากนั้น ให้ถือว่าความผิดตามอนุสัญญา ฯ เป็นความผิดที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ และไม่อาจอ้างเป็นความผิดทางการเมืองหรือมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่เปิดช่องให้รัฐภาคีปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือให้ความร่วมมือทางอาญา ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ลงนามอนุสัญญาฯนี้ แล้ว 122 ประเทศ (อาเซียน: กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย /เอเชีย: จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้) และมีประเทศเข้าเป็นภาคีแล้ว 15 ประเทศ ทั้งนี้อนุสัญญา ฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 22 ประเทศ (อนุสัญญา ฯ เปิดให้ลงนามตั้งแต่มกราคม ค.ศ. 2000 | 31 ธันวาคม ค.ศ. 2001) การลงนามในอนุสัญญาฯ แม้จะยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยโดยทันที โดยจะต้องมีการให้สัตยาบันภายหลัง แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณและแสดงจุดยืนของไทยว่า ไทยให้ความสำคัญอย่างสูงเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนั้นยังเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1373 (ค.ศ. 2001) ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย โดยเฉพาะอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ 2. พิธีสารเพื่อป้องกันปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมมือกันปราบปรามกระบวนการค้าบุคคลโดยมุ่งคุ้มครองสตรีและเด็กเป็นพิเศษ ด้วยการกำหนดให้การค้ามนุษย์เป็นความผิดอาญา เพื่อป้องกัน/คุ้มครองและช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ โดยเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพิธีสารฯ ปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ ลงนามในพิธีสารแล้ว 100 ประเทศ (อาเซียน: ฟิลิปปินส์) และมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 4 ประเทศ ทั้งนี้ พิธีสารฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 40 ประเทศ 3. พิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการต่อต้าน และการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ โดยกำหนดเป็นพันกรณีให้ รัฐภาคีตรากฎหมายภายในกำหนดให้การลักลอบผู้ย้ายถิ่นเป็นความผิดอาญา กำหนดช่องทางการ ติดต่อเกี่ยวกับข้อมูล ข้อสนเทศ และกำหนดให้มีความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายของ รัฐภาคี ปัจจุบัน มีประเทศต่าง ๆ ลงนามในพิธีสารแล้ว 95 ประเทศ (อาเซียน: ฟิลิปปินส์ ) และมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 4 ประเทศ ทั้งนี้ พิธีสารฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีแล้ว 40 ประเทศ เช่นเดียวกับการลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการสนับสนุนด้านการเงินแก่ลัทธิการก่อการร้าย แม้การลงนามในพิธีสารเรื่องการค้ามนุษย์ฯ และพิธีสารเรื่องการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ ของไทย จะยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยจนกว่าจะมีการให้สัตยาบันเสียก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นการแสดงจุดยืนของไทยว่า มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อร่วมกันต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการค้ามนุษย์ฯ และเกี่ยวกับเรื่องการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฯ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-สส-