กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม ศกนี้ นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเอเปค สืบเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะถดถอย และประชาคมโลกกำลังขาดความเชื่อมั่นเพราะเหตุการณ์การก่อการร้ายที่สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นต่างๆ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวชักนำให้ที่ประชุมเอเปคเร่งดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาคมโลกโดยเร็ว โดยส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจว่า เอเปคยังคงสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุนตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาโบกอร์อย่างไม่ย่อท้อ โดยเฉพาะที่นคร เซี่ยงไฮ้ในขณะนี้มีภาคเอกชนที่สำคัญๆ กำลังประชุมกันอยู่นี้ กล่าวคือ มีการประชุม CEO Summit และสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council - ABAC)
2. ที่ประชุมได้เน้นให้ทุกฝ่ายมุ่งมั่นดำเนินการส่งเสริมการค้าเสรี โดยสนับสนุนให้มีระบบการค้าพหุภาคีที่เปิดกว้าง โปร่งใส มีความเสมอภาค และตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ องค์การค้าโลก (WTO) และสนับสนุนการเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยครอบคลุมเรื่องต่างๆ ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่า แม้ว่าท่าทีของสมาชิกจะแตกต่างกันแต่ก็สามารถประนีประนอมกันได้ ทั้งนี้ การเจรจาการค้ารอบใหม่ควรสะท้อนถึงผลประโยชน์ของสมาชิก WTO โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสมาชิกกำลังพัฒนา ซึ่งในการนี้ ดร. อดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้กล่าวเน้นว่า เอเปคควรให้ความสำคัญกับโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ของสมาชิกกำลังพัฒนาในปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO และกล่าวขอบคุณญี่ปุ่นที่ได้ให้ความช่วยเหลือไทยในเรื่องนี้ พร้อมกับแจ้งให้ที่ประชุมทราบด้วยว่าไทยจะจัดงาน APEC Investment Mart ครั้งที่ 4 ในปี 2546
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการจัดตั้งสถาบันเพื่อการค้าและการพัฒนา (Institute for Trade and Development) ซึ่งรัฐบาลไทยร่วมกับ UNCTAD กำลังจัดตั้งขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรม สัมมนาและทำการวิจัยในประเด็นด้านการค้า การเงิน การลงทุน และการพัฒนาสำหรับเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากกระแสโลกาภิวัตน์ และการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเสริมสร้างขีดความสามารถของสมาชิกกำลังพัฒนาของ เอเปคด้วย
4. ที่ประชุมได้แสดงความยินดีกับจีนและจีนไทเปที่จะเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ WTO ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรี WTO ครั้งที่ 4 และในขณะเดียวกัน ได้สนับสนุนให้รัสเซีย และเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกโดยเร็ว
5. ที่ประชุมมีมติรับรองข้อริเริ่มที่กรุงปักกิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ (Beijing Initiative on Human Capacity Building) เพื่อลดช่องว่างความแตกต่างด้านเทคโนโลยี สนับสนุนการสร้างเครือข่ายและความเป็นหุ้นส่วนอย่างกว้างขวางและยืดหยุ่นในการพัฒนาขีดความสามารถมนุษย์ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม ท่ามกลางกระแส โลกาภิวัตน์และภาคเศรษฐกิจใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวสนับสนุนการประชุมระดับสูงสามฝ่าย ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม ดังเช่นในการประชุม ณ กรุงปักกิ่ง โดยได้เสนอว่า การปฏิรูปภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากภาคเศรษฐกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับเยาวชนและส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายเยาวชนระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ ดร.สุรเกียรติ์ฯ ได้เสนอแนะแนวความคิดให้มีการสร้างเครือข่าย โรงเรียนพี่โรงเรียนน้องให้ที่ประชุมพิจารณาเพื่อส่งเสริมมิตรภาพระหว่างกัน ซึ่งที่ประชุมได้ให้การยอมรับและได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อาวุโสไปศึกษาแนวทางการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
6. ที่ประชุมให้การรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้าน e-APEC เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมดิจิตอล (Digital Society) ทั้งนี้ เพื่อเน้นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ที่ประชุมเห็นพ้องให้บรรจุแผนยุทธศาสตร์นี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิญญาผู้นำ ในการนี้ ดร. สรุเกียรติ์ฯ ชี้แนะให้เอเปคดำเนินการลดช่องว่างทางวิทยาการ (Digital Divide) ที่เกิดขึ้นในด้านเทคโนโลยี ด้านภาษา ด้านการจัดการ และด้านวิชาความรู้ด้วย นอกเหนือจากด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาลไทยในการสร้างอินเตอร์เนตตำบลในระดับ ชุมชน การจัดตั้ง Telecenters โดยภาคเอกชน การจัดตั้ง Sofeware Park และการแก้ไขกฎหมายด้าน Electronic Transaction ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว สำหรับในเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ดร. อดิศัยฯ ได้กล่าวสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มทำงานด้าน e-Commerce ของเอเปค (ECSG) แต่ในขณะเดียวกันได้เสนอให้กลุ่ม ECSG เร่งดำเนินการในเรื่อง มาตรการปกป้องการรั่วไหลของข้อมูล (Information Security) และการมีระบบรับรองความถูกต้องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ (Global cross-certification/authentification) นอกจากนี้ ได้สนับสนุนข้อริเริ่มของออสเตรเลียในเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการรายสมาชิกในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าไร้กระดาษ (Paperless Trading — IAP) ซึ่งสมาชิกเอเปคจะจัดทำขึ้นเสนอต่อรัฐมนตรีการค้าเอเปคในปี 2545
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th(ยังมีต่อ)
-อน-
การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม ศกนี้ นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเอเปค สืบเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะถดถอย และประชาคมโลกกำลังขาดความเชื่อมั่นเพราะเหตุการณ์การก่อการร้ายที่สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นต่างๆ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวชักนำให้ที่ประชุมเอเปคเร่งดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาคมโลกโดยเร็ว โดยส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจว่า เอเปคยังคงสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุนตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาโบกอร์อย่างไม่ย่อท้อ โดยเฉพาะที่นคร เซี่ยงไฮ้ในขณะนี้มีภาคเอกชนที่สำคัญๆ กำลังประชุมกันอยู่นี้ กล่าวคือ มีการประชุม CEO Summit และสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council - ABAC)
2. ที่ประชุมได้เน้นให้ทุกฝ่ายมุ่งมั่นดำเนินการส่งเสริมการค้าเสรี โดยสนับสนุนให้มีระบบการค้าพหุภาคีที่เปิดกว้าง โปร่งใส มีความเสมอภาค และตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ องค์การค้าโลก (WTO) และสนับสนุนการเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยครอบคลุมเรื่องต่างๆ ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่า แม้ว่าท่าทีของสมาชิกจะแตกต่างกันแต่ก็สามารถประนีประนอมกันได้ ทั้งนี้ การเจรจาการค้ารอบใหม่ควรสะท้อนถึงผลประโยชน์ของสมาชิก WTO โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสมาชิกกำลังพัฒนา ซึ่งในการนี้ ดร. อดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้กล่าวเน้นว่า เอเปคควรให้ความสำคัญกับโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ของสมาชิกกำลังพัฒนาในปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO และกล่าวขอบคุณญี่ปุ่นที่ได้ให้ความช่วยเหลือไทยในเรื่องนี้ พร้อมกับแจ้งให้ที่ประชุมทราบด้วยว่าไทยจะจัดงาน APEC Investment Mart ครั้งที่ 4 ในปี 2546
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการจัดตั้งสถาบันเพื่อการค้าและการพัฒนา (Institute for Trade and Development) ซึ่งรัฐบาลไทยร่วมกับ UNCTAD กำลังจัดตั้งขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรม สัมมนาและทำการวิจัยในประเด็นด้านการค้า การเงิน การลงทุน และการพัฒนาสำหรับเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากกระแสโลกาภิวัตน์ และการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเสริมสร้างขีดความสามารถของสมาชิกกำลังพัฒนาของ เอเปคด้วย
4. ที่ประชุมได้แสดงความยินดีกับจีนและจีนไทเปที่จะเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ WTO ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรี WTO ครั้งที่ 4 และในขณะเดียวกัน ได้สนับสนุนให้รัสเซีย และเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกโดยเร็ว
5. ที่ประชุมมีมติรับรองข้อริเริ่มที่กรุงปักกิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ (Beijing Initiative on Human Capacity Building) เพื่อลดช่องว่างความแตกต่างด้านเทคโนโลยี สนับสนุนการสร้างเครือข่ายและความเป็นหุ้นส่วนอย่างกว้างขวางและยืดหยุ่นในการพัฒนาขีดความสามารถมนุษย์ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม ท่ามกลางกระแส โลกาภิวัตน์และภาคเศรษฐกิจใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวสนับสนุนการประชุมระดับสูงสามฝ่าย ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม ดังเช่นในการประชุม ณ กรุงปักกิ่ง โดยได้เสนอว่า การปฏิรูปภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากภาคเศรษฐกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับเยาวชนและส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายเยาวชนระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ ดร.สุรเกียรติ์ฯ ได้เสนอแนะแนวความคิดให้มีการสร้างเครือข่าย โรงเรียนพี่โรงเรียนน้องให้ที่ประชุมพิจารณาเพื่อส่งเสริมมิตรภาพระหว่างกัน ซึ่งที่ประชุมได้ให้การยอมรับและได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อาวุโสไปศึกษาแนวทางการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
6. ที่ประชุมให้การรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้าน e-APEC เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมดิจิตอล (Digital Society) ทั้งนี้ เพื่อเน้นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ที่ประชุมเห็นพ้องให้บรรจุแผนยุทธศาสตร์นี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิญญาผู้นำ ในการนี้ ดร. สรุเกียรติ์ฯ ชี้แนะให้เอเปคดำเนินการลดช่องว่างทางวิทยาการ (Digital Divide) ที่เกิดขึ้นในด้านเทคโนโลยี ด้านภาษา ด้านการจัดการ และด้านวิชาความรู้ด้วย นอกเหนือจากด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาลไทยในการสร้างอินเตอร์เนตตำบลในระดับ ชุมชน การจัดตั้ง Telecenters โดยภาคเอกชน การจัดตั้ง Sofeware Park และการแก้ไขกฎหมายด้าน Electronic Transaction ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว สำหรับในเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ดร. อดิศัยฯ ได้กล่าวสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มทำงานด้าน e-Commerce ของเอเปค (ECSG) แต่ในขณะเดียวกันได้เสนอให้กลุ่ม ECSG เร่งดำเนินการในเรื่อง มาตรการปกป้องการรั่วไหลของข้อมูล (Information Security) และการมีระบบรับรองความถูกต้องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ (Global cross-certification/authentification) นอกจากนี้ ได้สนับสนุนข้อริเริ่มของออสเตรเลียในเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการรายสมาชิกในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าไร้กระดาษ (Paperless Trading — IAP) ซึ่งสมาชิกเอเปคจะจัดทำขึ้นเสนอต่อรัฐมนตรีการค้าเอเปคในปี 2545
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th(ยังมีต่อ)
-อน-