แท็ก
น้ำมันดิบ
1. สถานการณ์พลังงานปี 2543
1.1 ปริมาณพลังงานสำรอง (Reserves) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 มีดังนี้
น้ำมันดิบ ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves) มีจำนวนทั้งสิ้น 156.2 ล้านบาร์เรล การผลิตในปี 2543 อยู่ในระดับ 20.4 ล้านบาร์เรล (55 พันบาร์เรล/วัน) ดังนั้น ถ้าผลิตในระดับนี้ จะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 7.7 ปี
คอนเดนเสท ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 212.7 ล้านบาร์เรล ในปี 2543 ปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 19.3 ล้านบาร์เรล (53 พันบาร์เรล/วัน) การผลิตระดับนี้จะทำให้เราสามารถใช้ได้เป็นเวลา 11.0 ปี
ก๊าซธรรมชาติ ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 12,168 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยอยู่ในทะเลจำนวน 11,308.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุต (รวม JDA เฉพาะที่เป็นของไทย จำนวน 3,001.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุต) ปริมาณการผลิตในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 1,988 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ณ ระดับการผลิตนี้จะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 16.8 ปี
ถ่านหิน/ลิกไนต์ ปริมาณสำรองถ่านหินของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 1,390 ล้านตัน แหล่งสำคัญเป็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คือแหล่งแม่เมาะมีจำนวน 1,240 ล้านตัน การผลิตในปี 2543 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 18 ล้านตัน ซึ่งการผลิตในระดับนี้จะสามารถ คงอยู่ได้เป็นเวลา 77.2 ปี
ไฟฟ้าพลังน้ำ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 กฟผ. มีกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 2,880 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 16.7 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้นของ กฟผ. แต่เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจะใช้ในช่วงความต้องการสูงสุด ดังนั้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำอยู่ในระดับร้อยละ 6.2 ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
1.2 สถานการณ์ภาพรวมพลังงาน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2543 มีดังนี้
ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 เนื่องจากมีการใช้ในโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) , โรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) และอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ไฟฟ้าพลังน้ำและนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 64.6 เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนมีมาก และมีการนำเข้าจาก สปป.ลาว เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 3.6 การใช้ลิกไนต์และถ่านหินลดลงร้อยละ 4.6
การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปีก่อน น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 86.1 จากระดับ 34 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 เป็น 56 พันบาร์เรล/วัน เนื่องจากแหล่งเบญจมาส ซึ่งเริ่มการผลิตเมื่อกลางปี 2542 สามารถ ผลิตได้เต็มที่ในปีนี้ที่ระดับ 21 พันบาร์เรล/วัน การผลิตก๊าซธรรมชาติ (ไม่รวมการนำเข้าจากสหภาพพม่า) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 โดย อยู่ที่ระดับ 1,989 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน การผลิตคอนเดนเสทขยายตัวเพิ่มขึ้นตามก๊าซธรรมชาติ ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.2 การผลิตลิกไนต์ลดลงร้อยละ 11.5
การนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เป็นผลมาจากการนำเข้าไฟฟ้าจากลาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 การนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามาใช้ในโรง ไฟฟ้าราชบุรีเพิ่มขึ้น
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยภาคอุตสาหกรรมมีอัตราเพิ่มสูงสุดอยู่ในระดับร้อยละ 9.0 ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 และ 5.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ในเขตนครหลวงมีอัตราเพิ่มร้อยละ 7.6 และภูมิภาคเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4
1.3 ความต้องการพลังงานปี 2544 และในระยะยาว มีดังนี้
ในปี 2544 คาดว่าความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับปี 2543 ภายใต้สมมุติฐานว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.3 โดย
ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติยังคงเพิ่มขึ้นในระดับสูงถึงร้อยละ 12.0 เนื่องจากความต้องการยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม
ลิกไนต์/ถ่านหิน มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระดับร้อยละ 1.3 เนื่องจาก กฟผ. มีแผนการใช้ลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้า ที่แม่เมาะในระดับ 13 | 14 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2543
ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย คือลดลงร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ประมาณการว่าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด มีความต้องการเพิ่มขึ้น ยกเว้นน้ำมันเตาซึ่งการใช้ลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. จากระดับประมาณ 3,000 ล้านลิตร ในปี 2543 เหลือ 1,500 ล้านลิตร ในปี 2544 จึงส่งผลให้ภาพรวมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงดังกล่าว
การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/นำเข้าลดลง
ความต้องการพลังงานในช่วงปี 2545 | 2554 ซึ่งอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 และ 10 นั้น มีสมมติฐานว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในระดับร้อยละ 4.5 ต่อปี ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ ในช่วงแผนฯ 9 (2545 | 2549) มีอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยร้อยละ 4.9 ต่อปีและในช่วงแผนฯ 10 (2550 | 2554) มีอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.0 ต่อปี โดยยังมีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก รองลงไปได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ลิกไนต์/ถ่านหิน ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า โดยในปี 2554 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนฯ 10 สัดส่วนการใช้จะอยู่ในระดับร้อยละ 48.0, 33.4, 15.8 และ 2.8 ตามลำดับ และสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติยังคงสูงสุดอยู่ในระดับร้อยละ 64.4 รองลงไป ได้แก่ ลิกไนต์/ถ่านหินร้อยละ 22.8 ไฟฟ้านำเข้าร้อยละ 9.2 ไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 2.8 และจากน้ำมันเตา ร้อยละ 0.8
การพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากการผลิตภายในประเทศและปริมาณสำรองของพลังงานมีน้อย โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ 9 จะมีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในระดับ ร้อยละ 70.5 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ และเมื่อสิ้นแผนฯ 10 สัดส่วนการนำเข้าพลังงานจะสูงถึงระดับร้อยละ 79.5
2. การดำเนินงานด้านพลังงานในปี 2543
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะที่เป็นสำนักเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ตลอดจนติดตามดูแล ประสาน สนับสนุน และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เพื่อให้การดำเนินนโยบาย และมาตรการด้านพลังงานของประเทศ มีความก้าวหน้า โดยในช่วงปี 2543 ได้มีการดำเนินการด้านต่างๆ ที่สำคัญสรุปได้ดังนี้
ด้านการจัดหาพลังงาน รัฐบาลได้มีการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการรับซื้อไฟฟ้า จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้ง การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่กัมพูชา และความร่วมมือในการวางแผน และก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างไทย | กัมพูชา เพื่อเป็นการกระจายแหล่งพลังงาน และเสริมความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพบริการ ของกิจการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อให้การปฏิบัติงานของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คำนึงถึงคุณภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้า จะได้รับการชดเชยเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้า หากการให้บริการไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
ในส่วนของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2543 เป็น ปีแรกของการก้าวเข้าสู่แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น โดยมีการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน ในโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง และสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต
สำหรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน มีความก้าวหน้าในการดำเนินการยกเลิกการ ควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงระบบการค้า และมาตรฐานความปลอดภัย ให้มีความพร้อม ก่อนที่จะนำไปสู่การยกเลิกการควบคุมราคา นอกจากนี้ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานสาขาไฟฟ้า ก็มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ โดยได้มีการขายหุ้นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ให้กับประชาชนทั่วไปและนักลงทุน ตามแผนระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ในส่วนของการยกร่างกฎหมาย เพื่อจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ก็ได้มีการยกร่างพระ ราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. …. ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาตรวจร่าง ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
ในปี 2543 คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.0 และปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนของปี 2543 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดว่าปริมาณความต้องการพลังงานในภาพรวมของประเทศ ก็จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น การวางแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ต้องสามารถรองรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความต้องการพลังงาน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2544 อย่างไรก็ตาม มาตรการอนุรักษ์พลังงาน ยังเป็นมาตรการที่มีความสำคัญ ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาวะที่ราคาน้ำมัน ยังมีความผันผวน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้
3. นโยบายและแผนการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ 2544
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ (สพช.) ยังคงมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายและมาตรการด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนโยบายด้านพลังงานยังคงเน้นนโยบายหลักๆ 4 ประการ คือ
1.จัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ มีความมั่นคง และมีระดับราคาที่เหมาะสม โดยส่งเสริมให้มีการสำรวจและพัฒนาแหล่งพลังงานจากภายในประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็แสวงหาแหล่งพลังงานจากภายนอกประเทศ เพื่อให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของพลังงาน
2.ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงในกิจกรรมการผลิตแล้ว ยังช่วยลดการลงทุนในการจัดหาพลังงานอีกด้วย โดยใช้มาตรการด้านราคาและกลไกตลาดในการสร้างแรงจูงใจ ให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย การให้สิ่งจูงใจ การสร้างจิตสำนึก และมาตรการบังคับ (เช่นการกำหนดมาตรฐาน) ควบคู่กันไป
3.ส่งเสริมให้มีการแข่งขันและเพิ่มบทบาท ของภาคเอกชนในกิจการพลังงาน เพื่อให้กิจการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือก ได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม อีกทั้งยังช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐ
4.ป้องกันและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตและใช้พลังงาน โดยส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิง ที่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมน้อย และส่งเสริมให้มีการควบคุมมลพิษโดยใช้เทคโนโลยี ควบคุมมลพิษและมาตรฐานที่เหมาะสม จากนโยบายดังกล่าวข้างต้น สพช. จึงได้กำหนดแผนงานที่ต้องดำเนินการออกเป็น 6 แผนงาน ซึ่ง สอดคล้องตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 นโยบายของรัฐบาล และนโยบายด้านพลังงาน ดังนี้
แผนงานที่ 1 แผนงานจัดหาพลังงาน
แผนงานที่ 2 แผนงานส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด
แผนงานที่ 3 แผนงานส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการพลังงาน
แผนงานที่ 4 แผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
แผนงานที่ 5 แผนงานพัฒนากลไกการบริหารงานด้านพลังงาน
แผนงานที่ 6 แผนงานบริหารการพัฒนาพลังงาน
การดำเนินนโยบายและมาตรการด้านพลังงานในระยะต่อไป จะต้องให้ความสำคัญต่อการประหยัดและการอนุรักษ์พลังงานให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและมีต้นทุนต่ำที่สุดในการลดปริมาณการใช้พลังงาน ประการต่อมาคือ ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสำรวจและพัฒนาพลังงานร่วมกัน โดยเฉพาะประเทศ สปป. ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม รวมทั้ง จะต้องมีการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งได้แก่ แสงแดด ก๊าซชีวภาพ และเศษวัสดุเหลือใช้การเกษตร เป็นต้น และประการ สุดท้ายต้องส่งเสริมภาคเอกชนให้เข้ามามีบทบาทในกิจการพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการปรับ โครงสร้างและแปรรูปกิจการพลังงาน ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามกรอบ ของแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงาน เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ให้แก่ประชาชน
--สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ--
1.1 ปริมาณพลังงานสำรอง (Reserves) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 มีดังนี้
น้ำมันดิบ ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves) มีจำนวนทั้งสิ้น 156.2 ล้านบาร์เรล การผลิตในปี 2543 อยู่ในระดับ 20.4 ล้านบาร์เรล (55 พันบาร์เรล/วัน) ดังนั้น ถ้าผลิตในระดับนี้ จะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 7.7 ปี
คอนเดนเสท ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 212.7 ล้านบาร์เรล ในปี 2543 ปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 19.3 ล้านบาร์เรล (53 พันบาร์เรล/วัน) การผลิตระดับนี้จะทำให้เราสามารถใช้ได้เป็นเวลา 11.0 ปี
ก๊าซธรรมชาติ ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 12,168 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยอยู่ในทะเลจำนวน 11,308.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุต (รวม JDA เฉพาะที่เป็นของไทย จำนวน 3,001.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุต) ปริมาณการผลิตในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 1,988 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ณ ระดับการผลิตนี้จะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 16.8 ปี
ถ่านหิน/ลิกไนต์ ปริมาณสำรองถ่านหินของไทย ณ 31 ธันวาคม 2542 อยู่ที่ระดับ 1,390 ล้านตัน แหล่งสำคัญเป็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คือแหล่งแม่เมาะมีจำนวน 1,240 ล้านตัน การผลิตในปี 2543 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 18 ล้านตัน ซึ่งการผลิตในระดับนี้จะสามารถ คงอยู่ได้เป็นเวลา 77.2 ปี
ไฟฟ้าพลังน้ำ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2543 กฟผ. มีกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 2,880 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 16.7 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้นของ กฟผ. แต่เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจะใช้ในช่วงความต้องการสูงสุด ดังนั้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำอยู่ในระดับร้อยละ 6.2 ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
1.2 สถานการณ์ภาพรวมพลังงาน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2543 มีดังนี้
ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 เนื่องจากมีการใช้ในโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) , โรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) และอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ไฟฟ้าพลังน้ำและนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 64.6 เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนมีมาก และมีการนำเข้าจาก สปป.ลาว เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 3.6 การใช้ลิกไนต์และถ่านหินลดลงร้อยละ 4.6
การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปีก่อน น้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 86.1 จากระดับ 34 พันบาร์เรล/วัน ในปี 2542 เป็น 56 พันบาร์เรล/วัน เนื่องจากแหล่งเบญจมาส ซึ่งเริ่มการผลิตเมื่อกลางปี 2542 สามารถ ผลิตได้เต็มที่ในปีนี้ที่ระดับ 21 พันบาร์เรล/วัน การผลิตก๊าซธรรมชาติ (ไม่รวมการนำเข้าจากสหภาพพม่า) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 โดย อยู่ที่ระดับ 1,989 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน การผลิตคอนเดนเสทขยายตัวเพิ่มขึ้นตามก๊าซธรรมชาติ ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.2 การผลิตลิกไนต์ลดลงร้อยละ 11.5
การนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เป็นผลมาจากการนำเข้าไฟฟ้าจากลาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 การนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่ามาใช้ในโรง ไฟฟ้าราชบุรีเพิ่มขึ้น
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยภาคอุตสาหกรรมมีอัตราเพิ่มสูงสุดอยู่ในระดับร้อยละ 9.0 ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 และ 5.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ในเขตนครหลวงมีอัตราเพิ่มร้อยละ 7.6 และภูมิภาคเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4
1.3 ความต้องการพลังงานปี 2544 และในระยะยาว มีดังนี้
ในปี 2544 คาดว่าความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับปี 2543 ภายใต้สมมุติฐานว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.3 โดย
ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติยังคงเพิ่มขึ้นในระดับสูงถึงร้อยละ 12.0 เนื่องจากความต้องการยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม
ลิกไนต์/ถ่านหิน มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระดับร้อยละ 1.3 เนื่องจาก กฟผ. มีแผนการใช้ลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้า ที่แม่เมาะในระดับ 13 | 14 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2543
ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย คือลดลงร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ประมาณการว่าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด มีความต้องการเพิ่มขึ้น ยกเว้นน้ำมันเตาซึ่งการใช้ลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. จากระดับประมาณ 3,000 ล้านลิตร ในปี 2543 เหลือ 1,500 ล้านลิตร ในปี 2544 จึงส่งผลให้ภาพรวมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงดังกล่าว
การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/นำเข้าลดลง
ความต้องการพลังงานในช่วงปี 2545 | 2554 ซึ่งอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 และ 10 นั้น มีสมมติฐานว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในระดับร้อยละ 4.5 ต่อปี ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ ในช่วงแผนฯ 9 (2545 | 2549) มีอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยร้อยละ 4.9 ต่อปีและในช่วงแผนฯ 10 (2550 | 2554) มีอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.0 ต่อปี โดยยังมีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก รองลงไปได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ลิกไนต์/ถ่านหิน ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า โดยในปี 2554 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนฯ 10 สัดส่วนการใช้จะอยู่ในระดับร้อยละ 48.0, 33.4, 15.8 และ 2.8 ตามลำดับ และสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติยังคงสูงสุดอยู่ในระดับร้อยละ 64.4 รองลงไป ได้แก่ ลิกไนต์/ถ่านหินร้อยละ 22.8 ไฟฟ้านำเข้าร้อยละ 9.2 ไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 2.8 และจากน้ำมันเตา ร้อยละ 0.8
การพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากการผลิตภายในประเทศและปริมาณสำรองของพลังงานมีน้อย โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ 9 จะมีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในระดับ ร้อยละ 70.5 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ และเมื่อสิ้นแผนฯ 10 สัดส่วนการนำเข้าพลังงานจะสูงถึงระดับร้อยละ 79.5
2. การดำเนินงานด้านพลังงานในปี 2543
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะที่เป็นสำนักเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ตลอดจนติดตามดูแล ประสาน สนับสนุน และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เพื่อให้การดำเนินนโยบาย และมาตรการด้านพลังงานของประเทศ มีความก้าวหน้า โดยในช่วงปี 2543 ได้มีการดำเนินการด้านต่างๆ ที่สำคัญสรุปได้ดังนี้
ด้านการจัดหาพลังงาน รัฐบาลได้มีการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการรับซื้อไฟฟ้า จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้ง การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่กัมพูชา และความร่วมมือในการวางแผน และก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างไทย | กัมพูชา เพื่อเป็นการกระจายแหล่งพลังงาน และเสริมความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดและบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพบริการ ของกิจการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อให้การปฏิบัติงานของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คำนึงถึงคุณภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้า จะได้รับการชดเชยเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้า หากการให้บริการไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
ในส่วนของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2543 เป็น ปีแรกของการก้าวเข้าสู่แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น โดยมีการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน ในโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง และสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต
สำหรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน มีความก้าวหน้าในการดำเนินการยกเลิกการ ควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงระบบการค้า และมาตรฐานความปลอดภัย ให้มีความพร้อม ก่อนที่จะนำไปสู่การยกเลิกการควบคุมราคา นอกจากนี้ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานสาขาไฟฟ้า ก็มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ โดยได้มีการขายหุ้นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ให้กับประชาชนทั่วไปและนักลงทุน ตามแผนระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ในส่วนของการยกร่างกฎหมาย เพื่อจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ก็ได้มีการยกร่างพระ ราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. …. ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาตรวจร่าง ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
ในปี 2543 คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.0 และปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนของปี 2543 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดว่าปริมาณความต้องการพลังงานในภาพรวมของประเทศ ก็จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น การวางแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ต้องสามารถรองรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความต้องการพลังงาน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2544 อย่างไรก็ตาม มาตรการอนุรักษ์พลังงาน ยังเป็นมาตรการที่มีความสำคัญ ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาวะที่ราคาน้ำมัน ยังมีความผันผวน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้
3. นโยบายและแผนการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ 2544
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ (สพช.) ยังคงมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการตามนโยบายและมาตรการด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนโยบายด้านพลังงานยังคงเน้นนโยบายหลักๆ 4 ประการ คือ
1.จัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ มีความมั่นคง และมีระดับราคาที่เหมาะสม โดยส่งเสริมให้มีการสำรวจและพัฒนาแหล่งพลังงานจากภายในประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็แสวงหาแหล่งพลังงานจากภายนอกประเทศ เพื่อให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของพลังงาน
2.ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนทางด้านเชื้อเพลิงในกิจกรรมการผลิตแล้ว ยังช่วยลดการลงทุนในการจัดหาพลังงานอีกด้วย โดยใช้มาตรการด้านราคาและกลไกตลาดในการสร้างแรงจูงใจ ให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย การให้สิ่งจูงใจ การสร้างจิตสำนึก และมาตรการบังคับ (เช่นการกำหนดมาตรฐาน) ควบคู่กันไป
3.ส่งเสริมให้มีการแข่งขันและเพิ่มบทบาท ของภาคเอกชนในกิจการพลังงาน เพื่อให้กิจการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือก ได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม อีกทั้งยังช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐ
4.ป้องกันและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตและใช้พลังงาน โดยส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิง ที่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมน้อย และส่งเสริมให้มีการควบคุมมลพิษโดยใช้เทคโนโลยี ควบคุมมลพิษและมาตรฐานที่เหมาะสม จากนโยบายดังกล่าวข้างต้น สพช. จึงได้กำหนดแผนงานที่ต้องดำเนินการออกเป็น 6 แผนงาน ซึ่ง สอดคล้องตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 นโยบายของรัฐบาล และนโยบายด้านพลังงาน ดังนี้
แผนงานที่ 1 แผนงานจัดหาพลังงาน
แผนงานที่ 2 แผนงานส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด
แผนงานที่ 3 แผนงานส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการพลังงาน
แผนงานที่ 4 แผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
แผนงานที่ 5 แผนงานพัฒนากลไกการบริหารงานด้านพลังงาน
แผนงานที่ 6 แผนงานบริหารการพัฒนาพลังงาน
การดำเนินนโยบายและมาตรการด้านพลังงานในระยะต่อไป จะต้องให้ความสำคัญต่อการประหยัดและการอนุรักษ์พลังงานให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและมีต้นทุนต่ำที่สุดในการลดปริมาณการใช้พลังงาน ประการต่อมาคือ ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสำรวจและพัฒนาพลังงานร่วมกัน โดยเฉพาะประเทศ สปป. ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม รวมทั้ง จะต้องมีการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งได้แก่ แสงแดด ก๊าซชีวภาพ และเศษวัสดุเหลือใช้การเกษตร เป็นต้น และประการ สุดท้ายต้องส่งเสริมภาคเอกชนให้เข้ามามีบทบาทในกิจการพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการปรับ โครงสร้างและแปรรูปกิจการพลังงาน ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามกรอบ ของแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงาน เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ให้แก่ประชาชน
--สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ--