กรุงเทพฯ--24 พ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วงเช้าของ วันที่ 13 ธันวาคม 2544 (เวลาท้องถิ่น) หลังจากนั้นในช่วงบ่าย ได้เข้าพบรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ โดนัลด์ รัมสเฟลด์
เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงของประเทศทั้งสอง นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบแก่ประชาคมนานาชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำโดยมีอดีตรองประธานาธิบดี แดน เควล เป็นเจ้าภาพ และได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัท Cerberus Asia Capital Management เพื่อเป็นการจัดตั้งกองทุนร่วมทุน (Matching Fund) มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 22,000 ล้านบาท ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ตอบ โดยได้แนะนำให้เหล่านักลงทุนรู้จักกับ "นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน" ที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศในระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ยังคงดำเนินนโยบายเปิดประเทศสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งออก
นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบประธานาธิบดี จอร์ช ดับเบิลยู บุช เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544 และได้ให้ความมั่นใจกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลไทยประณามและต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนสหรัฐฯ ในการปราบปรามการก่อการร้ายนานาชาติ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะอัฟกานิสถาน โดยการส่งหน่วยแพทย์และทหารช่างไปช่วยฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถาน หากได้รับการร้องขอดังที่ได้ทำมาแล้วในติมอร์ตะวันออก ทั้งนี้ ปธน.บุชได้กล่าวว่าการเยือนสหรัฐฯ ของ นรม.สะท้อนถึงความเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของไทยในการร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แนบแน่นมาช้านาน และยืนยันว่าพันธมิตรระหว่างไทยและสหรัฐจะมั่นคงต่อไป ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ระหว่าง ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย และ พลเอก คอลิน เพาวล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นฉบับแรกที่มีขึ้นมาในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ และจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือและการเจรจาร่วมกันในทางการค้า การลงทุน เทคโนโลยี การคมนาคม เป็นต้น จากนั้น ฯพณฯ นรม.ได้รับประทานกลางวันกับพลเอก คอลิน เพาวล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และนางคอนโดลีซา ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและคณะ ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบหารือข้อราชการกับ นาย พอล โอนีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นาย นอร์แมน มิเนต้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนาย โดนัลด์ เอแวนส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุม CEO Roundtable และงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ และ The Asia Society ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 380 คน ในโอกาสดังกล่าว ฯพณฯ นรม.ได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อยืนยันความเป็นพันธมิตรที่ดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ทั้งในด้านความร่วมมือในการก่อการร้ายทุกรูปแบบ ด้านการทูต และการค้าการลงทุนโดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลในการเปิดเสรีทางการค้า การพัฒนาเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการลงทุน
ในวันที่ 15 ธันวาคม ช่วงเช้า นรม.ได้มอบนโยบายให้กับทีมประเทศไทยประจำสหรัฐฯ เพื่อให้ร่วมกันรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของประเทศ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยังนครนิวยอร์ก เพื่อพบปะชุมชนไทยที่พำนักในนครนิวยอร์กและบริเวณใกล้เคียง ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารเช้า ซึ่งนาย เดวิด รอคกี้เฟลเลอร์ และนาย มอรีส กรีนเบอร์ก ประธานกลุ่มบริษัทประกันภัย AIG และประธาน The Asia Society เป็นเจ้าภาพ โดยได้หารือกันถึงนโยบายและภาวะเศรษฐกิจไทยและการเชิญชวนให้นักธุรกิจสหรัฐฯ มาลงทุนในประเทศไทย หลังจากนั้น ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมชมตลาดหุ้นนิวยอร์กบน Wall Street และ Ground Zero ซึ่งเป็นพื้นที่ ตั้งอาคาร World Trade Centre เดิม เพื่อไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตซึ่งรวมถึงคนไทยทั้ง 2 คน ด้วย จากนั้นได้ไปเยี่ยมอาคาร Gift Building เพื่อหาลู่ทาการนำเข้าสินค้าโครงการ1 ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ต่อไปในอนาคตในวันที่ 18 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ เพื่อเข้าพบหารือข้อราชการกับนาย โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในอนุสัญญา International Convention for the Supression of the Financing of Terrorism ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยในวันที่ 19 ธันวาคม 2544--จบ--
-อน-
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วงเช้าของ วันที่ 13 ธันวาคม 2544 (เวลาท้องถิ่น) หลังจากนั้นในช่วงบ่าย ได้เข้าพบรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ โดนัลด์ รัมสเฟลด์
เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงของประเทศทั้งสอง นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบแก่ประชาคมนานาชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำโดยมีอดีตรองประธานาธิบดี แดน เควล เป็นเจ้าภาพ และได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัท Cerberus Asia Capital Management เพื่อเป็นการจัดตั้งกองทุนร่วมทุน (Matching Fund) มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 22,000 ล้านบาท ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ตอบ โดยได้แนะนำให้เหล่านักลงทุนรู้จักกับ "นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน" ที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศในระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ยังคงดำเนินนโยบายเปิดประเทศสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการส่งออก
นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบประธานาธิบดี จอร์ช ดับเบิลยู บุช เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544 และได้ให้ความมั่นใจกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลไทยประณามและต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนสหรัฐฯ ในการปราบปรามการก่อการร้ายนานาชาติ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะอัฟกานิสถาน โดยการส่งหน่วยแพทย์และทหารช่างไปช่วยฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถาน หากได้รับการร้องขอดังที่ได้ทำมาแล้วในติมอร์ตะวันออก ทั้งนี้ ปธน.บุชได้กล่าวว่าการเยือนสหรัฐฯ ของ นรม.สะท้อนถึงความเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของไทยในการร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แนบแน่นมาช้านาน และยืนยันว่าพันธมิตรระหว่างไทยและสหรัฐจะมั่นคงต่อไป ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ระหว่าง ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย และ พลเอก คอลิน เพาวล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นฉบับแรกที่มีขึ้นมาในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ และจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือและการเจรจาร่วมกันในทางการค้า การลงทุน เทคโนโลยี การคมนาคม เป็นต้น จากนั้น ฯพณฯ นรม.ได้รับประทานกลางวันกับพลเอก คอลิน เพาวล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และนางคอนโดลีซา ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและคณะ ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบหารือข้อราชการกับ นาย พอล โอนีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นาย นอร์แมน มิเนต้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนาย โดนัลด์ เอแวนส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุม CEO Roundtable และงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน และสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ และ The Asia Society ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 380 คน ในโอกาสดังกล่าว ฯพณฯ นรม.ได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อยืนยันความเป็นพันธมิตรที่ดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ทั้งในด้านความร่วมมือในการก่อการร้ายทุกรูปแบบ ด้านการทูต และการค้าการลงทุนโดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลในการเปิดเสรีทางการค้า การพัฒนาเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการลงทุน
ในวันที่ 15 ธันวาคม ช่วงเช้า นรม.ได้มอบนโยบายให้กับทีมประเทศไทยประจำสหรัฐฯ เพื่อให้ร่วมกันรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของประเทศ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยังนครนิวยอร์ก เพื่อพบปะชุมชนไทยที่พำนักในนครนิวยอร์กและบริเวณใกล้เคียง ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารเช้า ซึ่งนาย เดวิด รอคกี้เฟลเลอร์ และนาย มอรีส กรีนเบอร์ก ประธานกลุ่มบริษัทประกันภัย AIG และประธาน The Asia Society เป็นเจ้าภาพ โดยได้หารือกันถึงนโยบายและภาวะเศรษฐกิจไทยและการเชิญชวนให้นักธุรกิจสหรัฐฯ มาลงทุนในประเทศไทย หลังจากนั้น ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมชมตลาดหุ้นนิวยอร์กบน Wall Street และ Ground Zero ซึ่งเป็นพื้นที่ ตั้งอาคาร World Trade Centre เดิม เพื่อไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตซึ่งรวมถึงคนไทยทั้ง 2 คน ด้วย จากนั้นได้ไปเยี่ยมอาคาร Gift Building เพื่อหาลู่ทาการนำเข้าสินค้าโครงการ1 ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ต่อไปในอนาคตในวันที่ 18 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ เพื่อเข้าพบหารือข้อราชการกับนาย โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในอนุสัญญา International Convention for the Supression of the Financing of Terrorism ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยในวันที่ 19 ธันวาคม 2544--จบ--
-อน-