ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2543 นี้ ภาวะเศรษฐกิจการเงินโดยรวมของภาคใต้ยังขยายตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ต่อเนื่องจากช่วงกลางปี ทั้งนี้ เพราะแม้ว่าในช่วงต้นปี อัตราการขยายตัวยังไม่เด่นชัด เนื่องจากมีปัญหาความไม่มั่นใจเรื่อง Y2K และผลกระทบจากระบบคอมพิวเตอร์ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยว ต่างประเทศเลื่อนการเดินทางออกไปเพราะไม่มั่นใจในการใช้บริการของสายการบิน การใช้บริการของระบบสื่อสาร รวมตลอดถึงระบบการเบิกจ่าย และการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต แต่ต่อมาเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ด้วยแรงหนุนจากการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรม ราคายางพารามีแนวโน้มดีขึ้น การผลิตของภาค อุตสาหกรรมและการขยายตัวของการลงทุนและการค้าชัดเจนขึ้น ผลดังกล่าวผลักดันให้ปริมาณเงิน หมุนเวียนภายในท้องถิ่นเริ่มสะพัดขึ้นกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน
1. ภาคเกษตร
ในช่วงต้นของไตรมาสแรกต่อเนื่องถึงกลางปีมีผลไม้ออกสู่ตลาด เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลางสาด และลองกอง ซึ่งเป็นการออกผลผิดฤดู ทำให้ราคาผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนพืชผลอื่น ๆ ผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล ทั้งข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และกาแฟ เพียงแต่ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลงจากปีก่อน และคุณภาพผลผลิตกาแฟลดลง ทางด้านราคาผลผลิตการเกษตรส่วนใหญ่ราคาลดลงจากปีก่อน ยกเว้นราคายางพาราซึ่งราคาขยับเพิ่มขึ้น เพราะได้รับผลดีจากการที่ผู้ส่งออกสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางพาราได้ในราคาที่สูงกว่าเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ โดยมีความเคลื่อนไหวของผลผลิตแต่ละประเภท ดังนี้
1.1 ยางพารา : การผลิตยังมีออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล ขณะที่ราคายางพาราขยับเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน เพราะได้รับผลดีจากการที่ผู้ส่งออกสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางพาราได้ในราคาที่สูงกว่าเมื่อปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสงค์และสถานการณ์น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยผันแปรต่อราคายางธรรมชาติในตลาดโลก นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าจากการที่ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้หารือร่วมกันที่จะจัดตั้งกองทุนเพื่อพยุงราคายางพารา สำหรับรับซื้อยางพาราจากองค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศ (INRO) ที่กำหนดระบายสต๊อค จำนวน 138,296 เมตริกตัน ให้หมดภายใน 18 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2544) นั้น ส่งผลให้คาดว่าราคายางที่เกษตรกรขายได้ไม่ต่ำกว่าเมื่อปีก่อน สำหรับราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคมเฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.95 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.77 บาทเมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 22.3
1.2 ปาล์มน้ำมัน : ผลผลิตปาล์มในปีนี้มีจำนวนไม่มากกว่าปีก่อน เนื่องจากเมื่อปี 2542 นั้น ต้นปาล์มเลื่อนฤดูกาลผลิตและให้ผลผลิตมากกว่าปกติ ส่วนทางด้านความเคลื่อนไหวของราคาผลปาล์มนั้น แม้ว่าได้มีการแทรกแซงราคาจากทางการ และทางการได้ขยายระยะเวลาโครงการแทรกแซงราคาผลปาล์มน้ำมันภายในประเทศโดยองค์การคลังสินค้าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2542 ถึงมกราคม 2543 ไปสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2543 ก็ตาม แต่ราคาผลปาล์มยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำ เนื่องจากปริมาณสินค้าในสต็อคยังมีเหลืออีกมาก สำหรับราคาผลปาล์มทั้งทะลายตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.07 บาท เทียบกับกิโลกรัมละ 2.96 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 30.1
1.3 กาแฟ : มีรายงานจากสำนักรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร กรมการค้าภายในว่า ในฤดูการผลิตปี 2542/43 มีผลผลิตรวมทั้งประเทศ 80,293 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 54,871 เมตริกตัน เมื่อฤดูการผลิตปี 2541/42 ร้อยละ 46.3 และเป็นที่น่าสังเกตว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนี้มีคุณภาพด้อยกว่าเมื่อปีก่อน
1.4 ข้าว : การผลิตข้าวนาปีในฤดูการผลิตปี 2542/43 ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนมีผลผลิตไม่มากนัก ขณะที่ในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกบริเวณภาคใต้ตอนล่าง เช่น จังหวัดพัทลุงนั้น สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ขณะเดียวกันเนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกมีความชื้นสูง อีกทั้งปัญหาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นภาระต้นทุนของโรงสี จึงส่งผลให้โรงสีรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาที่ไม่สูงนัก
1.5 ประมงทะล : ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องถึงในปีนี้ การทำประมงทะเลได้ประสบกับข้อจำกัดในการผลิตหลายประการ อาทิ การทำประมงร่วมกับประเทศเมียนมาร์มี อุปสรรคจากการที่เมียนมาร์ยกเลิกสัมปทานการทำประมงในเขตน่านน้ำเมียนมาร์ และปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงหันเหไปทำการประมงในบริเวณภาคใต้ตอนล่าง รวมถึงเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทั้ง ๆ ที่ยังมีภาวะความเสี่ยงภัยสูงก็ตาม
1.6 กุ้งกุลาดำ : ในการผลิตกุ้งกุลาดำนั้นเกษตรกรยังคงประสบปัญหาโรคระบาด ดังนั้น เกษตรกรจึงหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยการจับกุ้งขนาดเล็กลงกว่าเดิมจำหน่าย ทำให้ในช่วงกลางปีราคากุ้งเคลื่อนไหวในเกณฑ์สูง เพราะตลาดยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
1.7 ปศุสัตว์ : ผลิตภัณฑ์จากภาคปศุสัตว์เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลผลิตทั้งจากภายในภาคใต้และจากการระบายผลผลิตมาจากภาคกลาง ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์จากภาคปศุสัตว์อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดีนัก
2. ภาคอุตสาหกรรม
การผลิตและการค้าของภาคอุตสาหกรรมยังดำเนินไปได้ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถลุงโลหะดีบุก อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง
2.1 เหมืองแร่
2.1.1 แร่ดีบุก : การผลิตสินแร่ดีบุกของภาคใต้ยังคงลดลง ทั้งนี้ มีมูลเหตุสำคัญเนื่องจากราคาสินแร่ดีบุกยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ไม่จูงใจในการขยายการลงทุน เพราะต้นทุนการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทั้งค่าที่ดิน (กรณีเหมืองบนดิน) หรือเรือขุด (กรณีเหมืองในทะเล) และอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้มีกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติต่อต้านคัดค้านเพื่อสงวนทรัพยากรธรรมชาติไว้สำหรับการท่องเที่ยว ดังนั้น ธุรกิจที่ยังดำเนินงานอยู่ ในปัจจุบันจึงมีเพียงธุรกิจ ซึ่งเคยทำเหมืองแร่มาตั้งแต่ดั้งเดิม สำหรับผลผลิตสินแร่ดีบุกซึ่งผลิตได้ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคมนี้มีทั้งสิ้น 1,427.9 เมตริกตัน ลดลงจากจำนวน 1,883.6 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 24.2 ส่วนทางด้านการผลิตโลหะดีบุกนั้นยังคงสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โดยโรงงานถลุงแร่สามารถแก้ไขปัญหา ด้วยการ นำเข้าวัตถุดิบสินแร่จากต่างประเทศเข้ามาทดแทนเพื่อนำมาถลุงเป็นโลหะดีบุกแล้วส่งจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม นี้โรงงานถลุงแร่สามารถผลิตโลหะดีบุกได้ทั้งสิ้น 10,026.3 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 9,487.1 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 ในจำนวนดังกล่าว สามารถส่งออกได้ทั้งสิ้น 7,348.5 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 1,569.6 ล้านบาท เทียบกับจำนวน 6,462.3 เมตริกตันและมูลค่า 1,273.5 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 และร้อยละ 23.3 ตามลำดับ สำหรับความเคลื่อนไหวของราคานั้น จำแนกเป็นราคาสินแร่ดีบุกเฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 146.77 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 และราคาส่งออกโลหะดีบุกเฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 213.07 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
2.1.2 แร่ยิปซัม : ผลผลิตแร่ยิปซัมซึ่งผลิตได้ระหว่างช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม นี้เท่ากับ 2,276,797 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,853,419 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 22.8 ทั้งนี้ การผลิตและการจำหน่ายยังผูกพันโดยตรงกับตลาดญี่ปุ่น เป็นสำคัญ รายการ ม.ค. | ก.ค. เปลี่ยนแปลง 2542 2543 (ร้อยละ) 1.สินแร่ดีบุก(เมตริกตัน) 1,883.6 1,427.9 -24.2 2.โลหะดีบุก(เมตริกตัน) 9,487.1 10,026.3 5.7 3.ราคาสินแร่ดีบุก(บาท/กก.) 136.57 146.77 7.5 4.ราคาส่งออกโลหะดีบุก(บาท/กก.) 197.12 213.07 8.1 5.แร่ยิปซัม(เมตริกตัน) 1,853,419 2,276,797 22.8
2.2 อุตสาหกรรมยางพารา
ในปี 2543 นั้น ธุรกรรมการผลิต การค้า และการส่งออกของอุตสาหกรรมยางพารา แจ่มใสทุกประเภท ทั้งยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ไม้ยางพาราแปรรูป น้ำยางข้น และถุงมือยาง ทั้งนี้ เพราะในช่วงต้นปีลูกค้าในตลาดต่างประเทศหลายแห่งซึ่งเคยทำธุรกิจกับผู้ส่งออกของอินโดนีเซียได้หันเหมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยทดแทน เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ ภายใน ประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังสามารถทำสัญญาจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงกว่าปีก่อนอีกด้วย จึงช่วยดึงให้มูลค่าส่งออกสินค้ายางแผ่นรมควัน และยางแท่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ทางตลาดมาเลเซียได้เพิ่มความต้องการน้ำยางข้นและถุงมือยางมากขึ้น เนื่องจากทางมาเลเซียได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยหันเห ไปปลูกปาล์มทดแทนยางพารา จึงทำให้ขาดวัตถุดิบ ส่วนทางด้านไม้ยางพาราแปรรูปนั้นการผลิตและการค้ายังขยายตัวมาก โดยนอกจากได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าแล้ว ในปีนี้นอกจากตลาดญี่ปุ่นแล้ว ยังมีตลาดสหรัฐอเมริกา และอิตาลี เข้ามาเพิ่มเติม ทั้งนี้ โดยในการทำธุรกิจนั้นผู้ประกอบการ จำเป็นต้องเลือกตลาดที่มีความต้องการ สินค้าตามคุณภาพที่ผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ (รูปแบบและความปราณีต) จึงจะสามารถจำหน่ายได้ดีอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถิติต่าง ๆ ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ค. นั้นมีดังนี้
1. มูลค่าส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งสิ้น 9,384.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 7,889.3 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.0 ทั้งนี้ ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 25.78 บาท สูงกว่ากิโลกรัมละ 22.60 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.1
2. มูลค่าส่งออกยางแท่งทั้งสิ้น 11,440.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 4,792.9 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนกว่า 1 เท่าตัว ทั้งนี้ ราคายางแท่ง STR20 เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 25.20 สูงกว่ากิโลกรัมละ 21.02 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.9
3. มูลค่าส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปทั้งสิ้น 2,082.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า1,105.4 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 88.4
4. มูลค่าส่งออกน้ำยางข้นทั้งสิ้น 2,902.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 2,696.8 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.6 5. มูลค่าส่งออกถุงมือยางทั้งสิ้น 2,798.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 2,469.1 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.3
2.3 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปีนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาสินค้า น้ำมันปาล์มดิบอ่อนตัวลงจากปีก่อนมากทั้ง ๆ ที่มีผลผลิตน้อย ทั้งนี้ เพราะมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามา เกี่ยวข้องหลายประการ คือ
1. ปริมาณ Stock ของโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มภายในประเทศยังมีเหลืออีกมาก จากการที่เมื่อปี 2542 ต้นปาล์มให้ผลผลิตมากกว่าปกติ
2. มีการขนย้ายสินค้าน้ำมันปาล์มตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เพราะทางมาเลเซียมี Stock เหลือมากเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศซึ่ง มาเลเซีย เคยส่งออกถูกทางผู้ประกอบการของอินโดนีเซียแข่งขันตัดราคาจำหน่าย จึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มในมาเลเซียลดลง และจูงใจให้มีการขนย้ายสินค้าเข้ามาจำหน่ายตาม แนวบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย
3. มีสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองเข้ามาแข่งขันในตลาดน้ำมันพืช เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาถั่วเหลืองตกต่ำลง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถ ลดต้นทุนและสามารถแข่งขัน กับสินค้าน้ำมันพืชซึ่งผลิตจากปาล์มได้มาก
สำหรับราคาน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. นี้เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 13.52 บาท ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.62 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 40.2
2.4 อุตสาหกรรมอาหารทะเล
2.4.1 อุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง : ในปีนี้แม้ว่าโรงงานประสบปัญหาขาดวัตถุดิบที่มีคุณภาพ (ชนิด ขนาด และความสด) ตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการทำประมงทะเลในน่านน้ำเมียนมาร์ประสบปัญหาจากการที่ทางการเมียนมาร์งดให้สัมปทาน แต่ผู้ประกอบการสามารถแก้ไขปัญหาโดยหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่น เช่น จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ เวียดนาม ทดแทน นอกจากนี้ยังใช้วัตถุดิบกุ้งกุลาดำในประเทศทดแทน ทั้งนี้ เพราะตลาดต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถิติส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งระหว่างช่วงเดือน ม.ค. | ก.ค. นี้ จำนวนทั้งสิ้น 163,916.0 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 10,661.8 ล้านบาท เทียบกับปริมาณ 145,367.8 เมตริกตัน และ มูลค่า 9,560.8 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 และร้อยละ 11.5 ตามลำดับ
2.4.2 อุตสาหกรรมอาหารทะเลกระป๋อง : ในปีนี้ธุรกรรมการผลิตและการค้าลดลงอย่างเป็นที่น่าสังเกต ทั้งนี้ ความต้องการของตลาด (Demand) ลดลง ทั้ง ๆ ที่ราคาสินค้าลดลงเช่นเดียวกัน ทางด้านสถิติส่งออกอาหารทะเลกระป๋องในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. นี้มีทั้งสิ้น 68,401.1 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 4,828.0 ล้านบาท เทียบกับปริมาณ 69,726.7 เมตริกตัน และมูลค่า 5,515.4 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 1.9 และร้อยละ 12.5 จากการประมวลปัญหา ข้อจำกัดของธุรกิจ อาหารทะเลกระป๋องนั้น ประกอบด้วย
1. มีประเด็นข้อกีดกันทางการค้า โดยอ้างว่าสินค้าอาหารทะเลกระป๋องมีสารปนเปื้อนจากน้ำมันถั่วเหลือง
2. สันนิษฐานว่า ได้มีแหล่งผลิตใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาด เช่น การขยายกำลังการผลิตของคู่แข่งขัน หรือมีการสร้างโรงงานใหม่ ดังนั้น แม้ว่าราคาสินค้าลดต่ำลง ยังทำให้ปริมาณธุรกรรมลดลงด้วย ทั้ง ๆ ที่อาหารกระป๋องเป็นสินค้าที่จำเป็น เป็นสินค้าบริโภคซึ่งใช้แล้วหมดไป และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
3. มีกระแสข่าวว่า ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม EU ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทำให้มีต้นทุนต่ำลงและสามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น (ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของไทยลดลง)
3. ภาคการลงทุน
บรรยากาศการลงทุนของเอกชนในปีนี้ดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา โดยเป็นการขยายตัว เพื่อรองรับธุรกรรมการส่งออกธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง การผลิตน้ำมันปาล์ม และการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ดังเห็นได้จาก
3.1 สถิติกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนระหว่างช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม จำนวน 57 ราย เงินลงทุน 9,081.1 ล้านบาท สามารถจ้างงานได้ 15,890 คน ขณะที่เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนมีกิจการได้รับอนุมัติ 38 ราย เงินลงทุน 5,163.4 ล้านบาท และสามารถจ้างงานได้ 9,474 คน โครงการที่ได้รับการส่งเสริมส่วนใหญ ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยางในจังหวัดสงขลาและการผลิตน้ำมันปาล์มในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
3.2 สถิติการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีจำนวน 1,541 ราย เงินลงทุน 4,511.6 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 284 ราย และ 1,859.8 ล้านบาท เนื่องจากมีการจดทะเบียนธุรกิจเพื่อผลิตรถจักรยานยนต ์และการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
3.3 สถิติพื้นที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างในเขตเทศบาลระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม รวมทั้งสิ้น 510,835 ตารางเมตร เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 53,420 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 4. ภาคการท่องเที่ยว บรรยากาศการท่องเที่ยวของภาคใต้เริ่มแจ่มใสขึ้นตั้งแต่ประมาณปลายไตรมาสแรกเป็นต้นมา หลังจากได้ผ่านพ้นช่วงที่ นักท่องเที่ยวคลายกังวลในปัญหา Y2K และธุรกิจการท่องเที่ยวได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มเที่ยวบินและขยายเส้นทางการบิน ของสายการบินจากต่างประเทศ ตลอดจนการจัดประชุมนานาชาติต่าง ๆ เทศกาลต่าง ๆ ของไทย เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ รวมถึงช่วงวันปิดภาคเรียนของมาเลเซียและสิงคโปร์ และวันหยุดของมาเลเซีย อาทิ วันแรงงานและวันชาติมาเลเซีย ได้จูงใจให้นักท่องเที่ยวสนใจเดินทางเข้ามามากขึ้น ดังเห็นได้จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทาง เข้ามาในภาคใต้ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีจำนวน 1,192,745 คน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,104,342 คน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 ทั้งนี้ เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย 516,165 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 สิงคโปร์ 127,786 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 และชาติอื่น ๆ 548,794 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4
5. ภาคการค้า
5.1 การค้าในท้องถิ่น : ปริมาณการจำหน่ายยานพาหนะยังคงเพิ่มขึ้นทุกประเภท ดังเห็นได้จากสถิติการจดทะเบียนรถใหม่ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม จำแนกเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 4,280 คัน เพิ่มขึ้น 1,598 คัน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจำนวน 10,631 คัน เพิ่มขึ้น 2,478 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 70,832 คัน เพิ่มขึ้น 20,891 คัน ส่วนทางด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคยังคงทรงตัว เนื่องจากประชาชนยังกังวลและไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของสถานการณ์เศรษฐกิจ และปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี
5.2 การค้าระหว่างประเทศ : จากผลของการขยายตัวของความต้องการในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทได้ส่งผลให้ธุรกรรมการค้าส่งออกขยายตัวขึ้นจากปีก่อน ดังเห็นได้จากสถิติสินค้าส่งออกผ่านด่านศุลกากรในภาคใต้ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมมีมูลค่า 80,614.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,730.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.6 ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกยางแผ่นรมควันและอาหารทะเลแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 และร้อยละ 11.5 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าสินค้านำเข้าเท่ากับ 27,977.9 ล้านบาท ลดลง 11,774.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29.6 ทั้งนี้ เป็นการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ อันเป็นผลจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า โดยเฉพาะสินค้าทุนได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และสัตว์น้ำซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบอาหารกระป๋อง
5.3 ดัชนีราคา : อัตราเงินเฟ้อของภาคใต้โดยเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม เท่ากับร้อยละ 1.2 และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามปัจจัยราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยค่าเงินบาทอ่อนตัว ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า โดยดัชนีราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น ตามการเพิ่มของค่าสาธารณูปโภค ยานพาหนะ การขนส่ง ค่าตรวจรักษาและยารักษาโรค ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวลดลง จากการลดลงของราคาไข่และผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสำคัญ
6. ภาคการจ้างงาน
ในปีนี้ภาวะการจ้างงานของภาคใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางการขยายตัวของการ ลงทุน ตามโครงกาารที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีการจ้างงาน เพิ่มขึ้นมากประกอบด้วย ธุรกิจค้ารถยนต์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันปาล์ม สำหรับสถิติในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมประกอบด้วย ตำแหน่งงานว่าง 67,028 ตำแหน่ง ผู้สมัครงาน 25,812 คน และสามารถบรรจุได้ 7,906 คน ขณะที่เมื่อระยะเดียวกัน ปีก่อนมีตำแหน่งงานว่าง 38,404 ตำแหน่ง ผู้สมัครงาน 28,100 คน และสามารถบรรจุได้ 10,261 คน ความต้องการแรงงานในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานระดับล่าง ในภาคการเกษตร ประมง การค้า เป็นต้น
7. ภาคการคลัง
ทางด้านการคลัง การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 53,640.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.5 ตามนโยบายเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2543 ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐก็ยังคงดำเนินการ อย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร อาคารสำนักงานของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนทางด้านรายได้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 8,615.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.6 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการที่รัฐบาลได้ปรับ ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 7 ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 โดยหากพิจารณาตามประเภทของภาษี พบว่าภาษีสรรพากรจัดเก็บได้ 7,248.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.7 ตามสาเหตุข้างต้น ภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 688.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 55.1 สาเหตุสำคัญมาจากนโยบายการเปิดเสรีเหล้า ผู้ประกอบการ จึงเร่งผลิตเหล้าขาวเพื่อสต๊อกไว้เป็นจำนวนมากในปีก่อน ส่งผลให้มีการจัดเก็บภาษีสุราได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนภาษีศุลกากรจัดเก็บได้ 679.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9 ตามการจัดเก็บภาษีส่งออกไม้ยางพาราได้เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
อนึ่ง สำหรับมาตรการด้านการคลังที่สำคัญของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของ ปีนี้ ได้แก่ การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 เนื่องจากได้ใช้อัตราร้อยละ 7 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว
8. ภาคการเงินการธนาคาร
ธุรกรรมทางด้านการเงินการธนาคารในภาคใต้ยังอยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการ มีปัจจัยด้าน ราคาน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่องเข้ามากระทบ ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาเดิมของระบบสถาบันการเงิน นั่นก็คือปัญหา สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดีนัก นอกจากนั้นการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นน้อยมาก จากการชะลอและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเครดิต โดยภาคธุรกิจหันมาใช้ระบบเงินสดแทนการใช้เช็คมากขึ้น ทั้งนี้สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินสดรับจ่ายที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ และผู้แทนฯ และการลดลงของปริมาณและมูลค่าเช็คที่ผ่านสำนักหักบัญชี ในส่วนของปริมาณเงินสดจ่ายในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 103,505.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 12.9 ขณะที่เงินสดรับมีจำนวน 104,958.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 ส่วนทางด้านการใช้เช็คในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีเช็คผ่านสำนักหักบัญชี ในภาคใต้จำนวน 2,736,168 ฉบับ มูลค่า 225,953.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.4 และ 10.0 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนมูลค่าเช็คคืนต่อเช็ครับเข้า อยู่ในอัตราร้อยละ 1.2 ต่ำกว่าร้อยละ 1.7 ในปีก่อน
ทางด้านการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่สามารถขยายสินเชื่อได้ ส่งผลให้มีสภาพคล่องล้นระบบธนาคาร โดยในส่วนของภาคใต้มียอดเงินฝากคงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2543 จำนวน 240,299.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 ทั้งนี้เนื่องจากทางเลือกการออมของประชาชนมีน้อย ถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะต่ำ ประชาชนก็ยังฝากเงินกับธนาคาร ส่วนทางด้านสินเชื่ออยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากธนาคารเพิ่มความระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะกลัว NPL ใหม่ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนเดียวกันจำนวน 191,417.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.3
ทางด้านสำนักงานอำนวยสินเชื่อ ซึ่งเปิดดำเนินการจำนวน 9 สำนักงาน มียอดให้กู้ยืมคงค้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมจำนวน 3,096.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 158.9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ถึงแม้จะมี สัดส่วนสินเชื่อไม่มากนัก
ในด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ยังอยู่ในภาวะซบเซาเนื่องจากหลักทรัพย์หลักของตลาดคือกลุ่มสถาบันการเงิน มีผลการประกอบการที่ไม่ดี ส่งผลให้การซื้อขายหลักทรัพย์ในภาคใต้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าลดลง โดยมีจำนวนรวม 46,875.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 50.9
9. แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2543
ทางด้านแนวโน้มตลอดปี 2543 นั้น คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะสามารถเคลื่อนตัวได้ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปและอเมริกาเข้ามาอีกมาก ตามที่ธุรกิจท่องเที่ยวได้ดำเนินแผนการตลาดไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับช่วงครึ่งหลังของปีผลผลิตด้านการเกษตรมีออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะในปีนี้หลังจากที่ผู้ประกอบการค้ายางสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางได้ในราคาที่สูงขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าราคายางพาราของภาคใต้จะขยับตัวสูงขึ้น เป็นลำดับ ผลดังกล่าวจะช่วยเสริมให้ประชากรในพื้นที่มีรายได้ สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สะดวกและคล่องตัว และจะกระตุ้นให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมขยับตัวได้ เป็นลำดับ ขณะเดียวกันภาวะการ ส่งออกของภาคใต้ส่วนใหญ่มีแนวโน้มแจ่มใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยาง ไม้ยางพารา อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง และอาหารทะเลแช่แข็ง เว้นแต่ปลาทูน่ากระป๋องที่มีปัญหาเรื่องการกีดกันทางการค้า ซึ่งคาดว่ารัฐบาลคงสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ส่วนประเด็นที่น่ากังวลมีเพียงปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างภาระต้นทุนการผลิตอันจะนำไปสู่ข้อจำกัดในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเมื่อมองโดยภาพรวมแล้วคาดว่าคงจะแจ่มใสขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
1. ภาคเกษตร
ในช่วงต้นของไตรมาสแรกต่อเนื่องถึงกลางปีมีผลไม้ออกสู่ตลาด เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลางสาด และลองกอง ซึ่งเป็นการออกผลผิดฤดู ทำให้ราคาผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนพืชผลอื่น ๆ ผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล ทั้งข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และกาแฟ เพียงแต่ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลงจากปีก่อน และคุณภาพผลผลิตกาแฟลดลง ทางด้านราคาผลผลิตการเกษตรส่วนใหญ่ราคาลดลงจากปีก่อน ยกเว้นราคายางพาราซึ่งราคาขยับเพิ่มขึ้น เพราะได้รับผลดีจากการที่ผู้ส่งออกสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางพาราได้ในราคาที่สูงกว่าเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ โดยมีความเคลื่อนไหวของผลผลิตแต่ละประเภท ดังนี้
1.1 ยางพารา : การผลิตยังมีออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล ขณะที่ราคายางพาราขยับเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน เพราะได้รับผลดีจากการที่ผู้ส่งออกสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางพาราได้ในราคาที่สูงกว่าเมื่อปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากทั้งอุปสงค์และสถานการณ์น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยผันแปรต่อราคายางธรรมชาติในตลาดโลก นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าจากการที่ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้หารือร่วมกันที่จะจัดตั้งกองทุนเพื่อพยุงราคายางพารา สำหรับรับซื้อยางพาราจากองค์การยางธรรมชาติระหว่างประเทศ (INRO) ที่กำหนดระบายสต๊อค จำนวน 138,296 เมตริกตัน ให้หมดภายใน 18 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2544) นั้น ส่งผลให้คาดว่าราคายางที่เกษตรกรขายได้ไม่ต่ำกว่าเมื่อปีก่อน สำหรับราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคมเฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.95 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.77 บาทเมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 22.3
1.2 ปาล์มน้ำมัน : ผลผลิตปาล์มในปีนี้มีจำนวนไม่มากกว่าปีก่อน เนื่องจากเมื่อปี 2542 นั้น ต้นปาล์มเลื่อนฤดูกาลผลิตและให้ผลผลิตมากกว่าปกติ ส่วนทางด้านความเคลื่อนไหวของราคาผลปาล์มนั้น แม้ว่าได้มีการแทรกแซงราคาจากทางการ และทางการได้ขยายระยะเวลาโครงการแทรกแซงราคาผลปาล์มน้ำมันภายในประเทศโดยองค์การคลังสินค้าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2542 ถึงมกราคม 2543 ไปสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2543 ก็ตาม แต่ราคาผลปาล์มยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำ เนื่องจากปริมาณสินค้าในสต็อคยังมีเหลืออีกมาก สำหรับราคาผลปาล์มทั้งทะลายตลอดช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.07 บาท เทียบกับกิโลกรัมละ 2.96 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 30.1
1.3 กาแฟ : มีรายงานจากสำนักรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร กรมการค้าภายในว่า ในฤดูการผลิตปี 2542/43 มีผลผลิตรวมทั้งประเทศ 80,293 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 54,871 เมตริกตัน เมื่อฤดูการผลิตปี 2541/42 ร้อยละ 46.3 และเป็นที่น่าสังเกตว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนี้มีคุณภาพด้อยกว่าเมื่อปีก่อน
1.4 ข้าว : การผลิตข้าวนาปีในฤดูการผลิตปี 2542/43 ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนมีผลผลิตไม่มากนัก ขณะที่ในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกบริเวณภาคใต้ตอนล่าง เช่น จังหวัดพัทลุงนั้น สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ขณะเดียวกันเนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกมีความชื้นสูง อีกทั้งปัญหาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นภาระต้นทุนของโรงสี จึงส่งผลให้โรงสีรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาที่ไม่สูงนัก
1.5 ประมงทะล : ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องถึงในปีนี้ การทำประมงทะเลได้ประสบกับข้อจำกัดในการผลิตหลายประการ อาทิ การทำประมงร่วมกับประเทศเมียนมาร์มี อุปสรรคจากการที่เมียนมาร์ยกเลิกสัมปทานการทำประมงในเขตน่านน้ำเมียนมาร์ และปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงหันเหไปทำการประมงในบริเวณภาคใต้ตอนล่าง รวมถึงเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทั้ง ๆ ที่ยังมีภาวะความเสี่ยงภัยสูงก็ตาม
1.6 กุ้งกุลาดำ : ในการผลิตกุ้งกุลาดำนั้นเกษตรกรยังคงประสบปัญหาโรคระบาด ดังนั้น เกษตรกรจึงหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยการจับกุ้งขนาดเล็กลงกว่าเดิมจำหน่าย ทำให้ในช่วงกลางปีราคากุ้งเคลื่อนไหวในเกณฑ์สูง เพราะตลาดยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
1.7 ปศุสัตว์ : ผลิตภัณฑ์จากภาคปศุสัตว์เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลผลิตทั้งจากภายในภาคใต้และจากการระบายผลผลิตมาจากภาคกลาง ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์จากภาคปศุสัตว์อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดีนัก
2. ภาคอุตสาหกรรม
การผลิตและการค้าของภาคอุตสาหกรรมยังดำเนินไปได้ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถลุงโลหะดีบุก อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง
2.1 เหมืองแร่
2.1.1 แร่ดีบุก : การผลิตสินแร่ดีบุกของภาคใต้ยังคงลดลง ทั้งนี้ มีมูลเหตุสำคัญเนื่องจากราคาสินแร่ดีบุกยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ไม่จูงใจในการขยายการลงทุน เพราะต้นทุนการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทั้งค่าที่ดิน (กรณีเหมืองบนดิน) หรือเรือขุด (กรณีเหมืองในทะเล) และอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้มีกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติต่อต้านคัดค้านเพื่อสงวนทรัพยากรธรรมชาติไว้สำหรับการท่องเที่ยว ดังนั้น ธุรกิจที่ยังดำเนินงานอยู่ ในปัจจุบันจึงมีเพียงธุรกิจ ซึ่งเคยทำเหมืองแร่มาตั้งแต่ดั้งเดิม สำหรับผลผลิตสินแร่ดีบุกซึ่งผลิตได้ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคมนี้มีทั้งสิ้น 1,427.9 เมตริกตัน ลดลงจากจำนวน 1,883.6 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 24.2 ส่วนทางด้านการผลิตโลหะดีบุกนั้นยังคงสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โดยโรงงานถลุงแร่สามารถแก้ไขปัญหา ด้วยการ นำเข้าวัตถุดิบสินแร่จากต่างประเทศเข้ามาทดแทนเพื่อนำมาถลุงเป็นโลหะดีบุกแล้วส่งจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม นี้โรงงานถลุงแร่สามารถผลิตโลหะดีบุกได้ทั้งสิ้น 10,026.3 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 9,487.1 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 ในจำนวนดังกล่าว สามารถส่งออกได้ทั้งสิ้น 7,348.5 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 1,569.6 ล้านบาท เทียบกับจำนวน 6,462.3 เมตริกตันและมูลค่า 1,273.5 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 และร้อยละ 23.3 ตามลำดับ สำหรับความเคลื่อนไหวของราคานั้น จำแนกเป็นราคาสินแร่ดีบุกเฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 146.77 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 และราคาส่งออกโลหะดีบุกเฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 213.07 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
2.1.2 แร่ยิปซัม : ผลผลิตแร่ยิปซัมซึ่งผลิตได้ระหว่างช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม นี้เท่ากับ 2,276,797 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,853,419 เมตริกตัน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 22.8 ทั้งนี้ การผลิตและการจำหน่ายยังผูกพันโดยตรงกับตลาดญี่ปุ่น เป็นสำคัญ รายการ ม.ค. | ก.ค. เปลี่ยนแปลง 2542 2543 (ร้อยละ) 1.สินแร่ดีบุก(เมตริกตัน) 1,883.6 1,427.9 -24.2 2.โลหะดีบุก(เมตริกตัน) 9,487.1 10,026.3 5.7 3.ราคาสินแร่ดีบุก(บาท/กก.) 136.57 146.77 7.5 4.ราคาส่งออกโลหะดีบุก(บาท/กก.) 197.12 213.07 8.1 5.แร่ยิปซัม(เมตริกตัน) 1,853,419 2,276,797 22.8
2.2 อุตสาหกรรมยางพารา
ในปี 2543 นั้น ธุรกรรมการผลิต การค้า และการส่งออกของอุตสาหกรรมยางพารา แจ่มใสทุกประเภท ทั้งยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ไม้ยางพาราแปรรูป น้ำยางข้น และถุงมือยาง ทั้งนี้ เพราะในช่วงต้นปีลูกค้าในตลาดต่างประเทศหลายแห่งซึ่งเคยทำธุรกิจกับผู้ส่งออกของอินโดนีเซียได้หันเหมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยทดแทน เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ ภายใน ประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังสามารถทำสัญญาจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงกว่าปีก่อนอีกด้วย จึงช่วยดึงให้มูลค่าส่งออกสินค้ายางแผ่นรมควัน และยางแท่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ทางตลาดมาเลเซียได้เพิ่มความต้องการน้ำยางข้นและถุงมือยางมากขึ้น เนื่องจากทางมาเลเซียได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยหันเห ไปปลูกปาล์มทดแทนยางพารา จึงทำให้ขาดวัตถุดิบ ส่วนทางด้านไม้ยางพาราแปรรูปนั้นการผลิตและการค้ายังขยายตัวมาก โดยนอกจากได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าแล้ว ในปีนี้นอกจากตลาดญี่ปุ่นแล้ว ยังมีตลาดสหรัฐอเมริกา และอิตาลี เข้ามาเพิ่มเติม ทั้งนี้ โดยในการทำธุรกิจนั้นผู้ประกอบการ จำเป็นต้องเลือกตลาดที่มีความต้องการ สินค้าตามคุณภาพที่ผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ (รูปแบบและความปราณีต) จึงจะสามารถจำหน่ายได้ดีอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถิติต่าง ๆ ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ค. นั้นมีดังนี้
1. มูลค่าส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งสิ้น 9,384.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 7,889.3 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.0 ทั้งนี้ ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 25.78 บาท สูงกว่ากิโลกรัมละ 22.60 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.1
2. มูลค่าส่งออกยางแท่งทั้งสิ้น 11,440.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 4,792.9 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนกว่า 1 เท่าตัว ทั้งนี้ ราคายางแท่ง STR20 เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 25.20 สูงกว่ากิโลกรัมละ 21.02 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.9
3. มูลค่าส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปทั้งสิ้น 2,082.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า1,105.4 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 88.4
4. มูลค่าส่งออกน้ำยางข้นทั้งสิ้น 2,902.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 2,696.8 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.6 5. มูลค่าส่งออกถุงมือยางทั้งสิ้น 2,798.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 2,469.1 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.3
2.3 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปีนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ราคาสินค้า น้ำมันปาล์มดิบอ่อนตัวลงจากปีก่อนมากทั้ง ๆ ที่มีผลผลิตน้อย ทั้งนี้ เพราะมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามา เกี่ยวข้องหลายประการ คือ
1. ปริมาณ Stock ของโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มภายในประเทศยังมีเหลืออีกมาก จากการที่เมื่อปี 2542 ต้นปาล์มให้ผลผลิตมากกว่าปกติ
2. มีการขนย้ายสินค้าน้ำมันปาล์มตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เพราะทางมาเลเซียมี Stock เหลือมากเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศซึ่ง มาเลเซีย เคยส่งออกถูกทางผู้ประกอบการของอินโดนีเซียแข่งขันตัดราคาจำหน่าย จึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มในมาเลเซียลดลง และจูงใจให้มีการขนย้ายสินค้าเข้ามาจำหน่ายตาม แนวบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย
3. มีสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองเข้ามาแข่งขันในตลาดน้ำมันพืช เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาถั่วเหลืองตกต่ำลง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถ ลดต้นทุนและสามารถแข่งขัน กับสินค้าน้ำมันพืชซึ่งผลิตจากปาล์มได้มาก
สำหรับราคาน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. นี้เฉลี่ยเท่ากับกิโลกรัมละ 13.52 บาท ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.62 บาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 40.2
2.4 อุตสาหกรรมอาหารทะเล
2.4.1 อุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง : ในปีนี้แม้ว่าโรงงานประสบปัญหาขาดวัตถุดิบที่มีคุณภาพ (ชนิด ขนาด และความสด) ตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการทำประมงทะเลในน่านน้ำเมียนมาร์ประสบปัญหาจากการที่ทางการเมียนมาร์งดให้สัมปทาน แต่ผู้ประกอบการสามารถแก้ไขปัญหาโดยหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่น เช่น จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ เวียดนาม ทดแทน นอกจากนี้ยังใช้วัตถุดิบกุ้งกุลาดำในประเทศทดแทน ทั้งนี้ เพราะตลาดต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถิติส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งระหว่างช่วงเดือน ม.ค. | ก.ค. นี้ จำนวนทั้งสิ้น 163,916.0 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 10,661.8 ล้านบาท เทียบกับปริมาณ 145,367.8 เมตริกตัน และ มูลค่า 9,560.8 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 และร้อยละ 11.5 ตามลำดับ
2.4.2 อุตสาหกรรมอาหารทะเลกระป๋อง : ในปีนี้ธุรกรรมการผลิตและการค้าลดลงอย่างเป็นที่น่าสังเกต ทั้งนี้ ความต้องการของตลาด (Demand) ลดลง ทั้ง ๆ ที่ราคาสินค้าลดลงเช่นเดียวกัน ทางด้านสถิติส่งออกอาหารทะเลกระป๋องในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. นี้มีทั้งสิ้น 68,401.1 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 4,828.0 ล้านบาท เทียบกับปริมาณ 69,726.7 เมตริกตัน และมูลค่า 5,515.4 ล้านบาท เมื่อระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 1.9 และร้อยละ 12.5 จากการประมวลปัญหา ข้อจำกัดของธุรกิจ อาหารทะเลกระป๋องนั้น ประกอบด้วย
1. มีประเด็นข้อกีดกันทางการค้า โดยอ้างว่าสินค้าอาหารทะเลกระป๋องมีสารปนเปื้อนจากน้ำมันถั่วเหลือง
2. สันนิษฐานว่า ได้มีแหล่งผลิตใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาด เช่น การขยายกำลังการผลิตของคู่แข่งขัน หรือมีการสร้างโรงงานใหม่ ดังนั้น แม้ว่าราคาสินค้าลดต่ำลง ยังทำให้ปริมาณธุรกรรมลดลงด้วย ทั้ง ๆ ที่อาหารกระป๋องเป็นสินค้าที่จำเป็น เป็นสินค้าบริโภคซึ่งใช้แล้วหมดไป และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
3. มีกระแสข่าวว่า ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม EU ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทำให้มีต้นทุนต่ำลงและสามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น (ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของไทยลดลง)
3. ภาคการลงทุน
บรรยากาศการลงทุนของเอกชนในปีนี้ดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา โดยเป็นการขยายตัว เพื่อรองรับธุรกรรมการส่งออกธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง การผลิตน้ำมันปาล์ม และการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ดังเห็นได้จาก
3.1 สถิติกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนระหว่างช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม จำนวน 57 ราย เงินลงทุน 9,081.1 ล้านบาท สามารถจ้างงานได้ 15,890 คน ขณะที่เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนมีกิจการได้รับอนุมัติ 38 ราย เงินลงทุน 5,163.4 ล้านบาท และสามารถจ้างงานได้ 9,474 คน โครงการที่ได้รับการส่งเสริมส่วนใหญ ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยางในจังหวัดสงขลาและการผลิตน้ำมันปาล์มในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
3.2 สถิติการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีจำนวน 1,541 ราย เงินลงทุน 4,511.6 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 284 ราย และ 1,859.8 ล้านบาท เนื่องจากมีการจดทะเบียนธุรกิจเพื่อผลิตรถจักรยานยนต ์และการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
3.3 สถิติพื้นที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างในเขตเทศบาลระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม รวมทั้งสิ้น 510,835 ตารางเมตร เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 53,420 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 4. ภาคการท่องเที่ยว บรรยากาศการท่องเที่ยวของภาคใต้เริ่มแจ่มใสขึ้นตั้งแต่ประมาณปลายไตรมาสแรกเป็นต้นมา หลังจากได้ผ่านพ้นช่วงที่ นักท่องเที่ยวคลายกังวลในปัญหา Y2K และธุรกิจการท่องเที่ยวได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มเที่ยวบินและขยายเส้นทางการบิน ของสายการบินจากต่างประเทศ ตลอดจนการจัดประชุมนานาชาติต่าง ๆ เทศกาลต่าง ๆ ของไทย เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ รวมถึงช่วงวันปิดภาคเรียนของมาเลเซียและสิงคโปร์ และวันหยุดของมาเลเซีย อาทิ วันแรงงานและวันชาติมาเลเซีย ได้จูงใจให้นักท่องเที่ยวสนใจเดินทางเข้ามามากขึ้น ดังเห็นได้จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทาง เข้ามาในภาคใต้ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีจำนวน 1,192,745 คน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,104,342 คน เมื่อระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 ทั้งนี้ เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย 516,165 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 สิงคโปร์ 127,786 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 และชาติอื่น ๆ 548,794 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4
5. ภาคการค้า
5.1 การค้าในท้องถิ่น : ปริมาณการจำหน่ายยานพาหนะยังคงเพิ่มขึ้นทุกประเภท ดังเห็นได้จากสถิติการจดทะเบียนรถใหม่ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม จำแนกเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 4,280 คัน เพิ่มขึ้น 1,598 คัน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจำนวน 10,631 คัน เพิ่มขึ้น 2,478 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 70,832 คัน เพิ่มขึ้น 20,891 คัน ส่วนทางด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคยังคงทรงตัว เนื่องจากประชาชนยังกังวลและไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของสถานการณ์เศรษฐกิจ และปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี
5.2 การค้าระหว่างประเทศ : จากผลของการขยายตัวของความต้องการในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทได้ส่งผลให้ธุรกรรมการค้าส่งออกขยายตัวขึ้นจากปีก่อน ดังเห็นได้จากสถิติสินค้าส่งออกผ่านด่านศุลกากรในภาคใต้ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมมีมูลค่า 80,614.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,730.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.6 ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกยางแผ่นรมควันและอาหารทะเลแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 และร้อยละ 11.5 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าสินค้านำเข้าเท่ากับ 27,977.9 ล้านบาท ลดลง 11,774.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29.6 ทั้งนี้ เป็นการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ อันเป็นผลจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า โดยเฉพาะสินค้าทุนได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และสัตว์น้ำซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบอาหารกระป๋อง
5.3 ดัชนีราคา : อัตราเงินเฟ้อของภาคใต้โดยเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม เท่ากับร้อยละ 1.2 และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามปัจจัยราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยค่าเงินบาทอ่อนตัว ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า โดยดัชนีราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น ตามการเพิ่มของค่าสาธารณูปโภค ยานพาหนะ การขนส่ง ค่าตรวจรักษาและยารักษาโรค ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวลดลง จากการลดลงของราคาไข่และผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสำคัญ
6. ภาคการจ้างงาน
ในปีนี้ภาวะการจ้างงานของภาคใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางการขยายตัวของการ ลงทุน ตามโครงกาารที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีการจ้างงาน เพิ่มขึ้นมากประกอบด้วย ธุรกิจค้ารถยนต์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันปาล์ม สำหรับสถิติในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมประกอบด้วย ตำแหน่งงานว่าง 67,028 ตำแหน่ง ผู้สมัครงาน 25,812 คน และสามารถบรรจุได้ 7,906 คน ขณะที่เมื่อระยะเดียวกัน ปีก่อนมีตำแหน่งงานว่าง 38,404 ตำแหน่ง ผู้สมัครงาน 28,100 คน และสามารถบรรจุได้ 10,261 คน ความต้องการแรงงานในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานระดับล่าง ในภาคการเกษตร ประมง การค้า เป็นต้น
7. ภาคการคลัง
ทางด้านการคลัง การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ ในภาคใต้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 53,640.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.5 ตามนโยบายเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2543 ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐก็ยังคงดำเนินการ อย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อสร้างถนน 4 ช่องจราจร อาคารสำนักงานของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนทางด้านรายได้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 8,615.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.6 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการที่รัฐบาลได้ปรับ ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 7 ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 โดยหากพิจารณาตามประเภทของภาษี พบว่าภาษีสรรพากรจัดเก็บได้ 7,248.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.7 ตามสาเหตุข้างต้น ภาษีสรรพสามิตจัดเก็บได้ 688.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 55.1 สาเหตุสำคัญมาจากนโยบายการเปิดเสรีเหล้า ผู้ประกอบการ จึงเร่งผลิตเหล้าขาวเพื่อสต๊อกไว้เป็นจำนวนมากในปีก่อน ส่งผลให้มีการจัดเก็บภาษีสุราได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนภาษีศุลกากรจัดเก็บได้ 679.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9 ตามการจัดเก็บภาษีส่งออกไม้ยางพาราได้เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
อนึ่ง สำหรับมาตรการด้านการคลังที่สำคัญของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของ ปีนี้ ได้แก่ การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 เนื่องจากได้ใช้อัตราร้อยละ 7 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว
8. ภาคการเงินการธนาคาร
ธุรกรรมทางด้านการเงินการธนาคารในภาคใต้ยังอยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการ มีปัจจัยด้าน ราคาน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่องเข้ามากระทบ ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาเดิมของระบบสถาบันการเงิน นั่นก็คือปัญหา สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดีนัก นอกจากนั้นการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นน้อยมาก จากการชะลอและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเครดิต โดยภาคธุรกิจหันมาใช้ระบบเงินสดแทนการใช้เช็คมากขึ้น ทั้งนี้สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินสดรับจ่ายที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ และผู้แทนฯ และการลดลงของปริมาณและมูลค่าเช็คที่ผ่านสำนักหักบัญชี ในส่วนของปริมาณเงินสดจ่ายในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 103,505.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 12.9 ขณะที่เงินสดรับมีจำนวน 104,958.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2 ส่วนทางด้านการใช้เช็คในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีเช็คผ่านสำนักหักบัญชี ในภาคใต้จำนวน 2,736,168 ฉบับ มูลค่า 225,953.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.4 และ 10.0 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนมูลค่าเช็คคืนต่อเช็ครับเข้า อยู่ในอัตราร้อยละ 1.2 ต่ำกว่าร้อยละ 1.7 ในปีก่อน
ทางด้านการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่สามารถขยายสินเชื่อได้ ส่งผลให้มีสภาพคล่องล้นระบบธนาคาร โดยในส่วนของภาคใต้มียอดเงินฝากคงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2543 จำนวน 240,299.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.9 ทั้งนี้เนื่องจากทางเลือกการออมของประชาชนมีน้อย ถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะต่ำ ประชาชนก็ยังฝากเงินกับธนาคาร ส่วนทางด้านสินเชื่ออยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากธนาคารเพิ่มความระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะกลัว NPL ใหม่ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนเดียวกันจำนวน 191,417.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.3
ทางด้านสำนักงานอำนวยสินเชื่อ ซึ่งเปิดดำเนินการจำนวน 9 สำนักงาน มียอดให้กู้ยืมคงค้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมจำนวน 3,096.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 158.9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ถึงแม้จะมี สัดส่วนสินเชื่อไม่มากนัก
ในด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ยังอยู่ในภาวะซบเซาเนื่องจากหลักทรัพย์หลักของตลาดคือกลุ่มสถาบันการเงิน มีผลการประกอบการที่ไม่ดี ส่งผลให้การซื้อขายหลักทรัพย์ในภาคใต้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าลดลง โดยมีจำนวนรวม 46,875.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 50.9
9. แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2543
ทางด้านแนวโน้มตลอดปี 2543 นั้น คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะสามารถเคลื่อนตัวได้ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปและอเมริกาเข้ามาอีกมาก ตามที่ธุรกิจท่องเที่ยวได้ดำเนินแผนการตลาดไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับช่วงครึ่งหลังของปีผลผลิตด้านการเกษตรมีออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะในปีนี้หลังจากที่ผู้ประกอบการค้ายางสามารถทำสัญญาจำหน่ายยางได้ในราคาที่สูงขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าราคายางพาราของภาคใต้จะขยับตัวสูงขึ้น เป็นลำดับ ผลดังกล่าวจะช่วยเสริมให้ประชากรในพื้นที่มีรายได้ สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สะดวกและคล่องตัว และจะกระตุ้นให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมขยับตัวได้ เป็นลำดับ ขณะเดียวกันภาวะการ ส่งออกของภาคใต้ส่วนใหญ่มีแนวโน้มแจ่มใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยาง ไม้ยางพารา อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง และอาหารทะเลแช่แข็ง เว้นแต่ปลาทูน่ากระป๋องที่มีปัญหาเรื่องการกีดกันทางการค้า ซึ่งคาดว่ารัฐบาลคงสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ส่วนประเด็นที่น่ากังวลมีเพียงปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างภาระต้นทุนการผลิตอันจะนำไปสู่ข้อจำกัดในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเมื่อมองโดยภาพรวมแล้วคาดว่าคงจะแจ่มใสขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-