สรุปผลการประชุม : คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.)
สืบนื่องจากคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 115 ) วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2544 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์ ได้พิจารณาโครงการต่าง ๆ ที่ขอใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) ซึ่งสรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1) ข้าว : การแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำ (เพิ่มเติม)ปี 2543/44
สืบเนื่องจาก กนข. ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 ให้ ธกส. รับจำนำข้าวเปลือกในยุ้งฉางของเกษตรกรจำนวน 1.5 ล้านตัน ระยะเวลาจำนำ พย.43 - มีค.44 ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับจำนำ โดยมีราคาเป้าหมายนำ สำหรับข้าวหอมมะลิตันละ 6,840 บาท และราคาจำนำในอัตราร้อยละ 95 ของราคาเป้าหมายนำตันละ 6,495 บาท นั้น
ผลการรับจำนำ ของ ธกส. ในส่วนของข้าวเปลือกหอมมะลิมีปริมาณ 209,378.1 ตัน และเริ่มหลุดจำนำตั้งแต่เดือน พค. - กย.44 โดยช่วง พค.-มิย.44 มียอดหลุดจำนำ 102,646.5 ตัน
- ในส่วนของ อคส. มีการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ 2,478 ตัน ซึ่งได้หลุดจำนำในเดือนมิถุนายน 2544 ส่วน อ.ต.ก. ไม่มีการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ
- จากสถานการณ์ราคาข้าวหอมมะลิที่เกษตรกรขายได้ ในฤดูการผลิต ปี 2543/44 ราคาเดือนพฤศจิกายน 2543 เฉลี่ยตันละ 7,074 บาท ลดลงจากตันละ 7,600 บาท ในช่วงเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 7.44 และลดลงต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2544 ราคาเฉลี่ยเหลือตันละ 5,573 บาท กระทรวงพาณิชย์ได้ทำการตรวจสต็อก พบว่า ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2544 มีข้าวเปลือกหอมมะลิ ปี 2543/44 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ปี 2543/44 คงเหลือในมือเกษตรกรรายบุคคล จำนวน 65,870 ครัวเรือน ปริมาณ 275,371 ตันข้าวเปลือก แยกเป็น แหล่งปลูกข้าวภาคเหนือ 3 จังหวัด จำนวน 32,657 ตัน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด จำนวน 242,714 ตัน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ได้ประชุมพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคม 2544 ดังนี้
(1) เห็นชอบให้ดำเนินการ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ ฤดูการผลิตปี 2543/44 เพิ่มเติม โดยให้ ธกส. เป็นผู้รับจำนำจากเกษตรกรรายบุคคลที่เก็บข้าวอยู่ในยุ้งฉางของตนเอง ในแหล่งปลูกข้าวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป้าหมายปริมาณรับจำนำ 300,000 ตัน ในราคาเป้าหมายนำตันละ 6,840 บาท และราคารับจำนำตันละ 6,450 บาท ช่วงระยะเวลารับจำนำเริ่ม 16 กรกฎาคม -15 กันยายน 2544 และระยะเวลาไถ่ถอน 2 เดือน นับจากเดือนที่รับจำนำ โดยให้โครงการสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2544 เช่นเดียวกับโครงการเดิม
(2) เห็นชอบแนวทางการระบายข้าวเปลือกหอมมะลิ ดังนี้
(2.1) สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิที่ ธกส. รับจำนำไว้เดิมจำนวน 209,378.1 ตัน ซึ่งจะหลุดจำนำตั้งแต่ พค.-กย.44 นั้น กรณีปริมาณข้าวเปลือกหอมมะลิที่หลุดจำนำในจังหวัดมีปริมาณไม่มากให้ระบายโดยใช้มติของ กนข. เดิม เมื่อวันที่ 23 มีค.44 กรณีที่ปริมาณข้าวหอมมะลิที่หลุดจำนำของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรในจังหวัดมีปริมาณมาก ให้ ธกส. ส่งมอบข้าวให้ อคส. เพื่อดำเนินการแปรสภาพเป็นข้าวสารหอมมะลิและให้ดำเนินการส่งออกต่อไป
(2.2) สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิที่รับจำนำจากเกษตรกรรายบุคคลใหม่ ที่ฝากเก็บไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรเมื่อหลุดจำนำให้ ธกส. ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ (2.1)
(2.3) การแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เมื่อ อคส. รับข้าวเปลือกหอมมะลิจาก ธกส. แล้วให้คัดเลือกโรงสีที่มีประสิทธิภาพในการสีข้าวเปลือกหอมมะลิให้ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยให้ค่าจ้างสีแปรสภาพตันละไม่เกิน 400 บาท โดยขายรำข้าวและแกลบให้โรงสี ส่วนปลายข้าวและต้นข้าวนั้นส่งมอบให้ อคส. เพื่อการส่งออก
(2.4) การส่งออกไปต่างประเทศ กำหนดเป้าหมายในการส่งออกข้าวสารหอมมะลิจำนวนประมาณ 100,000 ตัน โดยให้ อคส. และกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการหาตลาดและเป็นผู้กำหนดวิธีการขายว่าจะขายที่ใด ราคาใด จำนวนเท่าใดแล้วนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความเห็นชอบก่อนเสนอประธาน กนข. พิจารณาอนุมัติ
(3) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ เห็นชอบประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น สำหรับปริมาณข้าวสารหอมมะลิที่จะส่งออก 100,000 ตัน โดยแยกเป็น
(3.1) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิของ ธกส. จำแนกเป็นวงเงินให้กู้เพื่อดำเนินการตามมูลค่าข้าว โดยชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ ธกส. ในอัตรา 5% ต่อปี ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท และค่าชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรหลังหลุดจำนำจนกระทั่งมีการระบายข้าวและนำเงินกู้มาชำระแล้ว ซึ่ง ธกส. สามารถใช้วงเงินที่อนุมัติให้แก่ ธกส. ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก-นาปีได้
(3.2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแปรสภาพและส่งออกข้าวสารหอมมะลิ จำนวน 100,000 ตัน รวมเป็นเงิน 299.453 ล้านบาท ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) เห็นชอบให้ดำเนินการตามมติ กนข. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2544
2) ลำไย : คชก. อนุมัติจำหน่ายลำไยอบแห้งให้ผู้นำเข้าสิงคโปร์
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ซึ่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนลำไยอบแห้งจาก 5 เดือนเป็นไถ่ถอนภายในเดือนพฤษภาคม 2544 และให้ขยายเวลาโครงการเป็นสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2544 โดยให้มีคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่พ้นกำหนดการไถ่ถอนแล้ว ประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง-เกษตรและสหกรณ์ (นายนที ขลิบทอง ) เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นเลขานุการ
ในการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่พ้นกำหนดการไถ่ถอนแล้ว ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 2,751 ตัน แยกเป็นเกรด AA 1,702 ตัน เกรด A 969 ตัน และเกรด B+C 80 ตัน คณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้ง โดยกรมวิชาการเกษตรได้เจรจาขายลำไยอบแห้งให้กับประเทศจีนจำนวน 2,000 ตัน ตามข้อตกลงระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับจีนที่ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างกันิ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ผลการเจรจาซื้อขายล่าสุด ปรากฏว่า จีนเสนอซื้อลำไยอบแห้งจากไทยเกรด AA จำนวน 1,300 ตัน ในราคาที่ไทยต้องนำมา Regrade และ Repack ใหม่ กิโลกรัมละ 66.38 บาท เกรด A จำนวน 700 ตัน กิโลกรัมละ 46.38 บาท รายได้จากการจำหน่ายรวม 118.76 ล้านบาท ทั้งนี้ให้มีการตรวจสอบคุณภาพทั้งที่ต้นทางและปลายทาง
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเจรจาซื้อขายกับจีนนั้น บริษัท TURBO AUTO TRADING PTE LTD. ประเทศสิงคโปร์ได้แจ้งความจำนงขอเสนอซื้อลำไยอบแห้งจำนวนรวม 2,672 ตัน ในราคาเกรด AA กิโลกรัมละ 68.00 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 46.75 บาท โดยให้มีการตรวจคุณภาพเฉพาะที่ต้นทางเพียงครั้งเดียว ซึ่งคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้ง พิจารณาเห็นว่า การจำหน่ายลำไยอบแห้งให้แก่ประเทศสิงคโปร์ ไทยจะได้รับผลประโยชน์สูงกว่าขายให้ประเทศจีน ทั้งในเรื่องของรายได้ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการเก็บรักษาส่วนที่เหลือจากการจำหน่ายให้จีน รวมทั้งการตรวจสอบคุณภาพ ดังนั้น จึงให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2544 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 ซึ่งที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ขายลำไยอบแห้งให้แก่ประเทศสิงคโปร์แทนประเทศจีน
3) ปุ๋ย : ผลการประชุม คชก. เรื่องโครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเป็นประจำทุกปี สำหรับปี 2544 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2544 อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรครอบคลุมปุ๋ยทุกชนิดทั้งปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยอื่น ๆ โดยให้องค์กรเกษตรกรเป็นผู้จัดหาเงินยืมและให้เกษตรกรกู้เงินเพื่อไปจัดซื้อปุ๋ย โดยขอใช้เงินยืมปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ในวงเงิน 3,204.48 ล้านบาท และเงินจ่ายขาดจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของส่วนราชการตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 1 ของวงเงินดำเนินงาน จำนวน 32.05 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 3,236.63 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาโครงการ 2 ปี
และจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 มีมติเห็นชอบ
(1) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืมเงินหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย จำนวน 1,600 ล้านบาท นำไปให้องค์กรเกษตรกรกู้ยืม สำหรับให้เกษตรกรกู้ไปจัดซื้อปุ๋ยตามความต้องการของเกษตรกร โดยให้ค่าใช้จ่ายดำเนินการในวงเงินไม่เกินร้อยละ 1 ของวงเงินดำเนินการ
(2) ให้ระยะเวลาโครงการ 24 เดือน นับจากวันที่ คชก. ลงมติ
ความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัย : ในจังหวัดจันทบุรี
ภายหลังพายุโซนร้อนอูตอร์ (UTOR) ได้สร้างความเสียหายทางตอนใต้ ของประเทศจีนแล้ว มีกำลังอ่อนลงกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ จากอิทธิพลของพายุดังกล่าวทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนบนและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดในภาคตะวันอออก โดยเฉพาะในบริเวณต้นน้ำของลุ่มน้ำจันทบุรีส่งผลให้ระดับน้ำสายต่าง ๆ สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและน้ำป่าจากกิ่ง อ.เขาคิชกูฎได้ไหลเข้าสู่ อ.เมือง และเขตเทศบาลเมือง โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2544 มีดังนี้
พื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตะภัยทั้งหมด 8 อำเภอ ได้แก่ กิ่ง อ.เขาคิชกูฎ อ. มะขาม อ. โป่งน้ำร้อน อ. เมืองจันทบุรี อ. แก่งหางแมว อ.ขลุง อ. ท่าใหม่ และ อ. นายายอาบ รวมทั้งหมด 31 ตำบล 154 หมู่บ้าน 2,375 ครัวเรือน พื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย จำนวน 51,358 ไร่
1. พื้นที่ปลูกพืชที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย
1.1 นาข้าว พื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 3,896 ไร่
1.2 ไม้ผล พื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 47,292 ไร่
1.3 ไม้ผล พื้นที่ประสบวาตภัย จำนวน 170 ไร่
2. พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัย
2.1 ปศุสัตว์ จำนวน 48,873 ตัว
2.2 บ่อปลา/ตะพาบ จำนวน 101 บ่อ
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา แสดงว่าแนวพัดสอบของลมมรสุมมีการเปลี่ยนทิศทางจากภาคใต้ตอนบนเป็นภาคตะวันออก ขอให้จังหวัดแถบภาคตะวันออกเตรียมพร้อมเสมอในช่วงฤดูมรสุม
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 26 ประจำวันที่ 9-15 ก.ค. 2544--
-สส-
สืบนื่องจากคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 115 ) วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2544 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์ ได้พิจารณาโครงการต่าง ๆ ที่ขอใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) ซึ่งสรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1) ข้าว : การแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำ (เพิ่มเติม)ปี 2543/44
สืบเนื่องจาก กนข. ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 ให้ ธกส. รับจำนำข้าวเปลือกในยุ้งฉางของเกษตรกรจำนวน 1.5 ล้านตัน ระยะเวลาจำนำ พย.43 - มีค.44 ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับจำนำ โดยมีราคาเป้าหมายนำ สำหรับข้าวหอมมะลิตันละ 6,840 บาท และราคาจำนำในอัตราร้อยละ 95 ของราคาเป้าหมายนำตันละ 6,495 บาท นั้น
ผลการรับจำนำ ของ ธกส. ในส่วนของข้าวเปลือกหอมมะลิมีปริมาณ 209,378.1 ตัน และเริ่มหลุดจำนำตั้งแต่เดือน พค. - กย.44 โดยช่วง พค.-มิย.44 มียอดหลุดจำนำ 102,646.5 ตัน
- ในส่วนของ อคส. มีการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ 2,478 ตัน ซึ่งได้หลุดจำนำในเดือนมิถุนายน 2544 ส่วน อ.ต.ก. ไม่มีการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ
- จากสถานการณ์ราคาข้าวหอมมะลิที่เกษตรกรขายได้ ในฤดูการผลิต ปี 2543/44 ราคาเดือนพฤศจิกายน 2543 เฉลี่ยตันละ 7,074 บาท ลดลงจากตันละ 7,600 บาท ในช่วงเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 7.44 และลดลงต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2544 ราคาเฉลี่ยเหลือตันละ 5,573 บาท กระทรวงพาณิชย์ได้ทำการตรวจสต็อก พบว่า ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2544 มีข้าวเปลือกหอมมะลิ ปี 2543/44 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ปี 2543/44 คงเหลือในมือเกษตรกรรายบุคคล จำนวน 65,870 ครัวเรือน ปริมาณ 275,371 ตันข้าวเปลือก แยกเป็น แหล่งปลูกข้าวภาคเหนือ 3 จังหวัด จำนวน 32,657 ตัน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด จำนวน 242,714 ตัน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ได้ประชุมพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคม 2544 ดังนี้
(1) เห็นชอบให้ดำเนินการ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ ฤดูการผลิตปี 2543/44 เพิ่มเติม โดยให้ ธกส. เป็นผู้รับจำนำจากเกษตรกรรายบุคคลที่เก็บข้าวอยู่ในยุ้งฉางของตนเอง ในแหล่งปลูกข้าวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป้าหมายปริมาณรับจำนำ 300,000 ตัน ในราคาเป้าหมายนำตันละ 6,840 บาท และราคารับจำนำตันละ 6,450 บาท ช่วงระยะเวลารับจำนำเริ่ม 16 กรกฎาคม -15 กันยายน 2544 และระยะเวลาไถ่ถอน 2 เดือน นับจากเดือนที่รับจำนำ โดยให้โครงการสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2544 เช่นเดียวกับโครงการเดิม
(2) เห็นชอบแนวทางการระบายข้าวเปลือกหอมมะลิ ดังนี้
(2.1) สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิที่ ธกส. รับจำนำไว้เดิมจำนวน 209,378.1 ตัน ซึ่งจะหลุดจำนำตั้งแต่ พค.-กย.44 นั้น กรณีปริมาณข้าวเปลือกหอมมะลิที่หลุดจำนำในจังหวัดมีปริมาณไม่มากให้ระบายโดยใช้มติของ กนข. เดิม เมื่อวันที่ 23 มีค.44 กรณีที่ปริมาณข้าวหอมมะลิที่หลุดจำนำของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรในจังหวัดมีปริมาณมาก ให้ ธกส. ส่งมอบข้าวให้ อคส. เพื่อดำเนินการแปรสภาพเป็นข้าวสารหอมมะลิและให้ดำเนินการส่งออกต่อไป
(2.2) สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิที่รับจำนำจากเกษตรกรรายบุคคลใหม่ ที่ฝากเก็บไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรเมื่อหลุดจำนำให้ ธกส. ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ (2.1)
(2.3) การแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เมื่อ อคส. รับข้าวเปลือกหอมมะลิจาก ธกส. แล้วให้คัดเลือกโรงสีที่มีประสิทธิภาพในการสีข้าวเปลือกหอมมะลิให้ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยให้ค่าจ้างสีแปรสภาพตันละไม่เกิน 400 บาท โดยขายรำข้าวและแกลบให้โรงสี ส่วนปลายข้าวและต้นข้าวนั้นส่งมอบให้ อคส. เพื่อการส่งออก
(2.4) การส่งออกไปต่างประเทศ กำหนดเป้าหมายในการส่งออกข้าวสารหอมมะลิจำนวนประมาณ 100,000 ตัน โดยให้ อคส. และกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการหาตลาดและเป็นผู้กำหนดวิธีการขายว่าจะขายที่ใด ราคาใด จำนวนเท่าใดแล้วนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความเห็นชอบก่อนเสนอประธาน กนข. พิจารณาอนุมัติ
(3) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ เห็นชอบประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น สำหรับปริมาณข้าวสารหอมมะลิที่จะส่งออก 100,000 ตัน โดยแยกเป็น
(3.1) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิของ ธกส. จำแนกเป็นวงเงินให้กู้เพื่อดำเนินการตามมูลค่าข้าว โดยชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ ธกส. ในอัตรา 5% ต่อปี ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท และค่าชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรหลังหลุดจำนำจนกระทั่งมีการระบายข้าวและนำเงินกู้มาชำระแล้ว ซึ่ง ธกส. สามารถใช้วงเงินที่อนุมัติให้แก่ ธกส. ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก-นาปีได้
(3.2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแปรสภาพและส่งออกข้าวสารหอมมะลิ จำนวน 100,000 ตัน รวมเป็นเงิน 299.453 ล้านบาท ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) เห็นชอบให้ดำเนินการตามมติ กนข. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2544
2) ลำไย : คชก. อนุมัติจำหน่ายลำไยอบแห้งให้ผู้นำเข้าสิงคโปร์
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ซึ่งอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนลำไยอบแห้งจาก 5 เดือนเป็นไถ่ถอนภายในเดือนพฤษภาคม 2544 และให้ขยายเวลาโครงการเป็นสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2544 โดยให้มีคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่พ้นกำหนดการไถ่ถอนแล้ว ประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง-เกษตรและสหกรณ์ (นายนที ขลิบทอง ) เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นเลขานุการ
ในการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่พ้นกำหนดการไถ่ถอนแล้ว ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 2,751 ตัน แยกเป็นเกรด AA 1,702 ตัน เกรด A 969 ตัน และเกรด B+C 80 ตัน คณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้ง โดยกรมวิชาการเกษตรได้เจรจาขายลำไยอบแห้งให้กับประเทศจีนจำนวน 2,000 ตัน ตามข้อตกลงระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับจีนที่ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างกันิ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ผลการเจรจาซื้อขายล่าสุด ปรากฏว่า จีนเสนอซื้อลำไยอบแห้งจากไทยเกรด AA จำนวน 1,300 ตัน ในราคาที่ไทยต้องนำมา Regrade และ Repack ใหม่ กิโลกรัมละ 66.38 บาท เกรด A จำนวน 700 ตัน กิโลกรัมละ 46.38 บาท รายได้จากการจำหน่ายรวม 118.76 ล้านบาท ทั้งนี้ให้มีการตรวจสอบคุณภาพทั้งที่ต้นทางและปลายทาง
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเจรจาซื้อขายกับจีนนั้น บริษัท TURBO AUTO TRADING PTE LTD. ประเทศสิงคโปร์ได้แจ้งความจำนงขอเสนอซื้อลำไยอบแห้งจำนวนรวม 2,672 ตัน ในราคาเกรด AA กิโลกรัมละ 68.00 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 46.75 บาท โดยให้มีการตรวจคุณภาพเฉพาะที่ต้นทางเพียงครั้งเดียว ซึ่งคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้ง พิจารณาเห็นว่า การจำหน่ายลำไยอบแห้งให้แก่ประเทศสิงคโปร์ ไทยจะได้รับผลประโยชน์สูงกว่าขายให้ประเทศจีน ทั้งในเรื่องของรายได้ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการเก็บรักษาส่วนที่เหลือจากการจำหน่ายให้จีน รวมทั้งการตรวจสอบคุณภาพ ดังนั้น จึงให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2544 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 ซึ่งที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ขายลำไยอบแห้งให้แก่ประเทศสิงคโปร์แทนประเทศจีน
3) ปุ๋ย : ผลการประชุม คชก. เรื่องโครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเป็นประจำทุกปี สำหรับปี 2544 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2544 อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรครอบคลุมปุ๋ยทุกชนิดทั้งปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยอื่น ๆ โดยให้องค์กรเกษตรกรเป็นผู้จัดหาเงินยืมและให้เกษตรกรกู้เงินเพื่อไปจัดซื้อปุ๋ย โดยขอใช้เงินยืมปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ในวงเงิน 3,204.48 ล้านบาท และเงินจ่ายขาดจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของส่วนราชการตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 1 ของวงเงินดำเนินงาน จำนวน 32.05 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 3,236.63 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาโครงการ 2 ปี
และจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 มีมติเห็นชอบ
(1) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืมเงินหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย จำนวน 1,600 ล้านบาท นำไปให้องค์กรเกษตรกรกู้ยืม สำหรับให้เกษตรกรกู้ไปจัดซื้อปุ๋ยตามความต้องการของเกษตรกร โดยให้ค่าใช้จ่ายดำเนินการในวงเงินไม่เกินร้อยละ 1 ของวงเงินดำเนินการ
(2) ให้ระยะเวลาโครงการ 24 เดือน นับจากวันที่ คชก. ลงมติ
ความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัย : ในจังหวัดจันทบุรี
ภายหลังพายุโซนร้อนอูตอร์ (UTOR) ได้สร้างความเสียหายทางตอนใต้ ของประเทศจีนแล้ว มีกำลังอ่อนลงกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ จากอิทธิพลของพายุดังกล่าวทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนบนและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดในภาคตะวันอออก โดยเฉพาะในบริเวณต้นน้ำของลุ่มน้ำจันทบุรีส่งผลให้ระดับน้ำสายต่าง ๆ สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและน้ำป่าจากกิ่ง อ.เขาคิชกูฎได้ไหลเข้าสู่ อ.เมือง และเขตเทศบาลเมือง โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2544 มีดังนี้
พื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตะภัยทั้งหมด 8 อำเภอ ได้แก่ กิ่ง อ.เขาคิชกูฎ อ. มะขาม อ. โป่งน้ำร้อน อ. เมืองจันทบุรี อ. แก่งหางแมว อ.ขลุง อ. ท่าใหม่ และ อ. นายายอาบ รวมทั้งหมด 31 ตำบล 154 หมู่บ้าน 2,375 ครัวเรือน พื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย จำนวน 51,358 ไร่
1. พื้นที่ปลูกพืชที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย
1.1 นาข้าว พื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 3,896 ไร่
1.2 ไม้ผล พื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 47,292 ไร่
1.3 ไม้ผล พื้นที่ประสบวาตภัย จำนวน 170 ไร่
2. พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัย
2.1 ปศุสัตว์ จำนวน 48,873 ตัว
2.2 บ่อปลา/ตะพาบ จำนวน 101 บ่อ
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา แสดงว่าแนวพัดสอบของลมมรสุมมีการเปลี่ยนทิศทางจากภาคใต้ตอนบนเป็นภาคตะวันออก ขอให้จังหวัดแถบภาคตะวันออกเตรียมพร้อมเสมอในช่วงฤดูมรสุม
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 26 ประจำวันที่ 9-15 ก.ค. 2544--
-สส-