ในเดือนพฤศจิกายน ดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับปอนด์สเตอร์ลิง และเยนญี่ปุ่น แต่ปรับตัว อ่อนลงเมื่อเทียบกับยูโรดอลลาร์
ดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ consumer durables เดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 5.5 (mom) เทียบกับเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 (mom) ขณะที่ consumer confidence เดือนพฤศจิกายนลดลง ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ของตลาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน Nasdaq มีแนวโน้มลดลง ซึ่งปัจจัย ดังกล่าวทำให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงในช่วงต้นปีหน้า เพื่อป้องกัน การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ อนึ่ง ตัวเลข CPI เดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ทั้ง headline และ core เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ ร้อยละ 0.2 (mom) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.5 และ 0.3 ตามลำดับ
ยูโรดอลลาร์ ค่าเงิน
ยูโรดอลลาร์ทรงตัวในเดือนนี้ โดยตลาดมีความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่ ECB อาจเข้าแทรกแซงค่าเงินยูโร ทั้งนี้ หลังจากตัวเลข IFO (Information & Forschung Institut) ของเยอรมันเดือนตุลาคม ออกมาลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ 97.2 ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ระดับ 98.0 ส่งผลให้ยูโรดอลลาร์ปรับตัวอ่อนลงที่ระดับ 0.84 ดอลลาร์ สรอ. ต่อยูโรดอลลาร์ อนึ่ง นาย Duisenberg ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า เป็นการเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปผลกระทบจากการที่ ECB เข้าแทรกแซงค่าเงินยูโร ในระยะนี้ ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อต้องการส่งสัญญาณให้ตลาดว่า การค้า เงินยูโรมีความเสี่ยง 2 ด้าน ในภาวะที่ตลาดเชื่อว่ายูโรดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเพียงด้านเดียว
เยน
นาย Mori นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสามารถผ่านการลงคะแนนเสียงญัตติไม่ไว้วางใจในช่วงกลางเดือน แต่ก็ไม่ทำให้ค่าเงินเยนและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nekei ปรับตัวดีขึ้น โดยเงินเยนได้ปรับตัวอ่อนลงสู่ระดับต่ำสุดที่ระดับ 111 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. ในช่วงปลายเดือน ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากความนิยมของประชาชนต่อรัฐบาลที่ลดลง ซึ่งนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่มีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจน อนึ่ง ตัวเลข Industrial Output (seasonal adjusted) เดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ1.5 (mom) ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มร้อยละ 2.6
ค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาคส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรูเปียอินโดนีเซีย ยกเว้น ดอลลาร์สิงคโปร์
รูเปียอินโดนีเซีย
ทางการอินโดนีเซียแถลงว่า GDP ไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 5.12 (yoy) และร้อยละ 1.97 (qoq) ซึ่งรัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจ ทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายตัวเพียง ร้อยละ 0.2 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ช่วยทำให้ ค่าเงินรูเปียปรับตัวแข็งขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองและการปฏิรูประบบการเงินได้
เกาหลีใต้
ทางการเกาหลีใต้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ขยายตัว ร้อยละ 9.2 (yoy) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 9.6โดยเกิดจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าประเภท เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ทางการเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตามแนวโน้มการชะลอลงของอุปสงค์ของสหรัฐฯ ซึ่ง เป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีใต้
ฟิลิปปินส์
ทางการฟิลิปปินส์ได้แถลงว่าใน 10 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ขาดดุลงบประมาณทั้งสิ้น 95.5 พันล้านเปโซ (1.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 50.47 พันล้านเปโซ (1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมาย การขาดดุลงบประมาณทั้งปีไว้ที่ 62.5 พันล้านเปโซ (1.25 พันล้าน ดอลลาร์ สรอ.) ทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สามารถเบิกเงินกู้จาก IMF ได้
ฮ่องกง
ทางการฮ่องกงได้รายงานว่า ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 10.4 (yoy) สูงกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ร้อยละ 7-8 พร้อมทั้งได้ปรับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 2 สูงขึ้นจากร้อยละ 10.8 เป็นร้อยละ 10.9 และปรับการ คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2543 สูงขึ้นจากร้อยละ 8.5 เป็นร้อยละ 10 ส่วนปัจจัยที่สำคัญต่อการขยายตัว ดังกล่าวมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 17.7 (real term) ตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นของฮ่องกง รวมถึงการลงทุนที่ขยายตัวสูงขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.6
ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในตลาด onshore และราคาทองคำ
ในเดือนพฤศจิกายน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 43.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และอัตราเฉลี่ยซื้อ-ขายระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้า (retail rate) มีค่าเฉลี่ย43.69 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.20 และ 1.23 ตามลำดับ
ค่าเงินบาทเทียบเงินสกุลสำคัญและเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาค เดือนนี้มีค่าเฉลี่ยอ่อนลง ยกเว้นเมื่อเทียบกับรูเปียอินโดนีเซีย เปโซฟิลิปปินส์ และปอนด์สเตอร์ลิง โดยเงินบาทมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 1.44) ดอลลาร์บรูไน (1.41) ดอลลาร์ฮ่องกง (1.22) ริงกิตมาเลเซีย (1.22) เยนญี่ปุ่น (1.69) ดอลลาร์ สรอ. (1.20) ยูโรดอลลาร์ (1.11) และ เยนญี่ปุ่น (0.70) เงินบาทมีค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับ รูเปียอินโดนีเซีย (ร้อยละ 3.30) เปโซฟิลิปปินส์ (2.01) และปอนด์สเตอร์ลิง (0.59) ปัจจัยลบที่มีผลต่อค่าเงินบาท
การปรับตัวอ่อนลงของค่าเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อาทิ รูเปียอินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศดังกล่าว ตลอดจนการปรับตัวอ่อนลงของเงินเยน ดอลลาร์ไต้หวัน และวอนเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินในภูมิภาคและเงินบาท หลังจากที่ธปท. ยอมให้ธพ. สามารถปล่อยกู้ O/D แก่ Non-Resident ที่มีบัญชีอยู่กับธพ. ไทย ภายหลังที่ ธปท. ปรับปรุงกฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด ทำให้มีการซื้อดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ยังมีการซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedge) ของการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินบาทของนักลงทุนต่างประเทศที่ทำผ่าน ธพ. ในประเทศ ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนลง สรุปความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนในช่วง 11 เดือน
เงินบาทเคลื่อนโน้มตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 11 เดือน โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยรายเดือน (อัตราอ้างอิง) เคลื่อนไหวอยู่ ระหว่าง 37.35 - 43.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเกิดจากการซื้อดอลลาร์ สรอ. ของเอกชนเพื่อเตรียมชำระหนี้ เนื่องจากมี sentiment เชิงลบต่อค่าเงินบาท ตลอดจนการปรับตัวลดลงอย่างมากของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมา และการประกาศภาระหนี้ต่างประเทศจากการสำรวจทำให้ตัวเลขหนี้ต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ตลาดยังเชื่อว่าธปท. จะไม่เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท เว้นแต่เงินบาทมีความผันผวนมากเกินไป ซึ่งทำให้ตลาดคาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มปรับตัวอ่อนลงได้อีก ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง และการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในช่วง 11 เดือนของปี ความเคลื่อนไหวในตลาดเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
อัตรา swap premium ระยะ T/N ผันผวนตลอดทั้งเดือนและปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนปลายเดือนตามความผันผวนของค่าเงินบาท อัตรา swap premium ระยะ 1 เดือน ปรับตัวสูงขึ้นตาม swap premium ระยะ T/N ส่วนอัตรา swap premium ระยะ 3 เดือน โน้มตัวสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนเช่นกัน ส่วนต่างดอกเบี้ยบาท (อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร) และอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ. (Fed Funds Rate) มีค่าเฉลี่ยติดลบร้อยละ 4.73 ต่อปี (ดอกเบี้ย Fed Funds Rate สูงกว่าดอกเบี้ยบาท) เพิ่มขึ้นมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยอัตราดอกเบี้ย I/B ปรับตัวต่ำลงเป็นร้อยละ 1.8 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน จากร้อยละ 1.94 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า
ราคาทองคำ
ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศมีค่าเฉลี่ยลดลง 4.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ จากค่าเฉลี่ย 270.2 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนเป็น 266.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ ในเดือนพฤศจิกายน ราคาทองคำในช่วงต้นเดือนเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ เนื่องจากตลาดให้ความสนใจเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจากการที่ธนาคารอังกฤษได้เปิดประมูลทองคำส่วนเกิน โดยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลต่อราคาทองคำทางอ้อม เนื่องจากผู้สมัครแต่ละคนมีนโยบายเศรษฐกิจที่ต่างกันซึ่งจะส่งผลต่อดอลลาร์ สรอ. และราคาทองคำในที่สุด ส่วนผลการประมูลทองคำของธนาคารกลางอังกฤษออกมาดีกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยราคาที่ประมูลยอมรับอยู่ที่ระดับ 264.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอย-เอานซ์ และสัดส่วนการจองต่อปริมาณทองคำที่ประมูลอยู่ที่ 3.3 เท่า เทียบกับครั้งก่อนหน้าในเดือนกันยายนที่ 2.6 เท่า ในช่วงสิ้นเดือน ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น โดยมีสาเหตุจากการแข็งค่าของค่าเงินยูโรดอลลาร์ และ ออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่งทำให้ราคาทองคำที่เทียบเป็นสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. มีราคาต่ำลง ในขณะที่ผู้ขายไม่มีแรงจูงในการขายทองคำ สรุปความเคลื่อนไหวราคาทองคำในช่วง 11 เดือน
ราคาทองคำเฉลี่ยใน 11 เดือนมีความผันผวนและได้โน้มตัวต่ำลงอย่างต่อเนื่อง (ยกเว้น ในเดือนพฤษภาคม) ซึ่งเป็นผลจากการ คาดการณ์ในเรื่องของปริมาณทองคำที่จะเพิ่มขึ้นจากการขายทองคำของธนาคารกลางต่างๆ ในยุโรปในระหว่างปี จึงเกิดการขายในตลาดล่วงหน้า ตลอดจนมีการปิดฐานะทองคำก่อนวันส่งมอบ ซึ่งทำให้ราคาทองคำผันผวนในตลาดซื้อขายทองคำทันที ประกอบกับมีปัจจัยด้านค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ปรับตัวแข็งขึ้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อราคาทองคำในระยะนี้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ consumer durables เดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 5.5 (mom) เทียบกับเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 (mom) ขณะที่ consumer confidence เดือนพฤศจิกายนลดลง ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ของตลาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน Nasdaq มีแนวโน้มลดลง ซึ่งปัจจัย ดังกล่าวทำให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงในช่วงต้นปีหน้า เพื่อป้องกัน การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ อนึ่ง ตัวเลข CPI เดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ทั้ง headline และ core เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ ร้อยละ 0.2 (mom) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.5 และ 0.3 ตามลำดับ
ยูโรดอลลาร์ ค่าเงิน
ยูโรดอลลาร์ทรงตัวในเดือนนี้ โดยตลาดมีความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่ ECB อาจเข้าแทรกแซงค่าเงินยูโร ทั้งนี้ หลังจากตัวเลข IFO (Information & Forschung Institut) ของเยอรมันเดือนตุลาคม ออกมาลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ 97.2 ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ระดับ 98.0 ส่งผลให้ยูโรดอลลาร์ปรับตัวอ่อนลงที่ระดับ 0.84 ดอลลาร์ สรอ. ต่อยูโรดอลลาร์ อนึ่ง นาย Duisenberg ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า เป็นการเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปผลกระทบจากการที่ ECB เข้าแทรกแซงค่าเงินยูโร ในระยะนี้ ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อต้องการส่งสัญญาณให้ตลาดว่า การค้า เงินยูโรมีความเสี่ยง 2 ด้าน ในภาวะที่ตลาดเชื่อว่ายูโรดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเพียงด้านเดียว
เยน
นาย Mori นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสามารถผ่านการลงคะแนนเสียงญัตติไม่ไว้วางใจในช่วงกลางเดือน แต่ก็ไม่ทำให้ค่าเงินเยนและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nekei ปรับตัวดีขึ้น โดยเงินเยนได้ปรับตัวอ่อนลงสู่ระดับต่ำสุดที่ระดับ 111 เยนต่อดอลลาร์ สรอ. ในช่วงปลายเดือน ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากความนิยมของประชาชนต่อรัฐบาลที่ลดลง ซึ่งนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่มีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจน อนึ่ง ตัวเลข Industrial Output (seasonal adjusted) เดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ1.5 (mom) ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มร้อยละ 2.6
ค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาคส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรูเปียอินโดนีเซีย ยกเว้น ดอลลาร์สิงคโปร์
รูเปียอินโดนีเซีย
ทางการอินโดนีเซียแถลงว่า GDP ไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 5.12 (yoy) และร้อยละ 1.97 (qoq) ซึ่งรัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจ ทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายตัวเพียง ร้อยละ 0.2 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ช่วยทำให้ ค่าเงินรูเปียปรับตัวแข็งขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองและการปฏิรูประบบการเงินได้
เกาหลีใต้
ทางการเกาหลีใต้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ขยายตัว ร้อยละ 9.2 (yoy) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 9.6โดยเกิดจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าประเภท เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ทางการเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตามแนวโน้มการชะลอลงของอุปสงค์ของสหรัฐฯ ซึ่ง เป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีใต้
ฟิลิปปินส์
ทางการฟิลิปปินส์ได้แถลงว่าใน 10 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ขาดดุลงบประมาณทั้งสิ้น 95.5 พันล้านเปโซ (1.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 50.47 พันล้านเปโซ (1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมาย การขาดดุลงบประมาณทั้งปีไว้ที่ 62.5 พันล้านเปโซ (1.25 พันล้าน ดอลลาร์ สรอ.) ทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สามารถเบิกเงินกู้จาก IMF ได้
ฮ่องกง
ทางการฮ่องกงได้รายงานว่า ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 10.4 (yoy) สูงกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ร้อยละ 7-8 พร้อมทั้งได้ปรับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 2 สูงขึ้นจากร้อยละ 10.8 เป็นร้อยละ 10.9 และปรับการ คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2543 สูงขึ้นจากร้อยละ 8.5 เป็นร้อยละ 10 ส่วนปัจจัยที่สำคัญต่อการขยายตัว ดังกล่าวมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 17.7 (real term) ตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นของฮ่องกง รวมถึงการลงทุนที่ขยายตัวสูงขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.6
ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในตลาด onshore และราคาทองคำ
ในเดือนพฤศจิกายน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 43.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และอัตราเฉลี่ยซื้อ-ขายระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้า (retail rate) มีค่าเฉลี่ย43.69 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.20 และ 1.23 ตามลำดับ
ค่าเงินบาทเทียบเงินสกุลสำคัญและเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาค เดือนนี้มีค่าเฉลี่ยอ่อนลง ยกเว้นเมื่อเทียบกับรูเปียอินโดนีเซีย เปโซฟิลิปปินส์ และปอนด์สเตอร์ลิง โดยเงินบาทมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 1.44) ดอลลาร์บรูไน (1.41) ดอลลาร์ฮ่องกง (1.22) ริงกิตมาเลเซีย (1.22) เยนญี่ปุ่น (1.69) ดอลลาร์ สรอ. (1.20) ยูโรดอลลาร์ (1.11) และ เยนญี่ปุ่น (0.70) เงินบาทมีค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับ รูเปียอินโดนีเซีย (ร้อยละ 3.30) เปโซฟิลิปปินส์ (2.01) และปอนด์สเตอร์ลิง (0.59) ปัจจัยลบที่มีผลต่อค่าเงินบาท
การปรับตัวอ่อนลงของค่าเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อาทิ รูเปียอินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศดังกล่าว ตลอดจนการปรับตัวอ่อนลงของเงินเยน ดอลลาร์ไต้หวัน และวอนเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินในภูมิภาคและเงินบาท หลังจากที่ธปท. ยอมให้ธพ. สามารถปล่อยกู้ O/D แก่ Non-Resident ที่มีบัญชีอยู่กับธพ. ไทย ภายหลังที่ ธปท. ปรับปรุงกฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด ทำให้มีการซื้อดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ยังมีการซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedge) ของการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินบาทของนักลงทุนต่างประเทศที่ทำผ่าน ธพ. ในประเทศ ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนลง สรุปความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนในช่วง 11 เดือน
เงินบาทเคลื่อนโน้มตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 11 เดือน โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยรายเดือน (อัตราอ้างอิง) เคลื่อนไหวอยู่ ระหว่าง 37.35 - 43.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเกิดจากการซื้อดอลลาร์ สรอ. ของเอกชนเพื่อเตรียมชำระหนี้ เนื่องจากมี sentiment เชิงลบต่อค่าเงินบาท ตลอดจนการปรับตัวลดลงอย่างมากของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมา และการประกาศภาระหนี้ต่างประเทศจากการสำรวจทำให้ตัวเลขหนี้ต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ตลาดยังเชื่อว่าธปท. จะไม่เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท เว้นแต่เงินบาทมีความผันผวนมากเกินไป ซึ่งทำให้ตลาดคาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มปรับตัวอ่อนลงได้อีก ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง และการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในช่วง 11 เดือนของปี ความเคลื่อนไหวในตลาดเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
อัตรา swap premium ระยะ T/N ผันผวนตลอดทั้งเดือนและปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนปลายเดือนตามความผันผวนของค่าเงินบาท อัตรา swap premium ระยะ 1 เดือน ปรับตัวสูงขึ้นตาม swap premium ระยะ T/N ส่วนอัตรา swap premium ระยะ 3 เดือน โน้มตัวสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนเช่นกัน ส่วนต่างดอกเบี้ยบาท (อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร) และอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ. (Fed Funds Rate) มีค่าเฉลี่ยติดลบร้อยละ 4.73 ต่อปี (ดอกเบี้ย Fed Funds Rate สูงกว่าดอกเบี้ยบาท) เพิ่มขึ้นมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยอัตราดอกเบี้ย I/B ปรับตัวต่ำลงเป็นร้อยละ 1.8 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน จากร้อยละ 1.94 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า
ราคาทองคำ
ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศมีค่าเฉลี่ยลดลง 4.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ จากค่าเฉลี่ย 270.2 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนเป็น 266.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ ในเดือนพฤศจิกายน ราคาทองคำในช่วงต้นเดือนเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ เนื่องจากตลาดให้ความสนใจเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจากการที่ธนาคารอังกฤษได้เปิดประมูลทองคำส่วนเกิน โดยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลต่อราคาทองคำทางอ้อม เนื่องจากผู้สมัครแต่ละคนมีนโยบายเศรษฐกิจที่ต่างกันซึ่งจะส่งผลต่อดอลลาร์ สรอ. และราคาทองคำในที่สุด ส่วนผลการประมูลทองคำของธนาคารกลางอังกฤษออกมาดีกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยราคาที่ประมูลยอมรับอยู่ที่ระดับ 264.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอย-เอานซ์ และสัดส่วนการจองต่อปริมาณทองคำที่ประมูลอยู่ที่ 3.3 เท่า เทียบกับครั้งก่อนหน้าในเดือนกันยายนที่ 2.6 เท่า ในช่วงสิ้นเดือน ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น โดยมีสาเหตุจากการแข็งค่าของค่าเงินยูโรดอลลาร์ และ ออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่งทำให้ราคาทองคำที่เทียบเป็นสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. มีราคาต่ำลง ในขณะที่ผู้ขายไม่มีแรงจูงในการขายทองคำ สรุปความเคลื่อนไหวราคาทองคำในช่วง 11 เดือน
ราคาทองคำเฉลี่ยใน 11 เดือนมีความผันผวนและได้โน้มตัวต่ำลงอย่างต่อเนื่อง (ยกเว้น ในเดือนพฤษภาคม) ซึ่งเป็นผลจากการ คาดการณ์ในเรื่องของปริมาณทองคำที่จะเพิ่มขึ้นจากการขายทองคำของธนาคารกลางต่างๆ ในยุโรปในระหว่างปี จึงเกิดการขายในตลาดล่วงหน้า ตลอดจนมีการปิดฐานะทองคำก่อนวันส่งมอบ ซึ่งทำให้ราคาทองคำผันผวนในตลาดซื้อขายทองคำทันที ประกอบกับมีปัจจัยด้านค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ปรับตัวแข็งขึ้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อราคาทองคำในระยะนี้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-