ปาฐกถา
เรื่อง
"ประเทศไทยได้อะไรจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ"
โดย ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า
15 สิงหาคม 2544
______________________
ผมต้องขอขอบคุณทางสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจที่ให้เกียรติเชิญผมมาในวันนี้ ผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชิญมาพูดในหัวข้อที่ผมต้องการจะพูดมานานแล้ว ผมอยากจะเรียนไว้เลยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา 3-4 เดือน การที่ต่างประเทศยอมให้ความมั่นใจกับเมืองไทย ส่วนหนึ่งนั้นก็เนื่องจากเรื่องของสินทรัพย์ของประเทศที่เรามีอยู่
ผมเติบโตมาจากสายของการบริหาร แม้ว่าจะมี background ทางเศรษฐศาสตร์ แต่ว่าภาวะที่ผ่านมา 15 ปีนั้นมาทางสายการบริหารทางธุรกิจ ฉะนั้นเมื่อเวลาที่ผมคิดอะไรหรือทำอะไร ผมดูในเชิงของการบริหาร ถ้าเราเปรียบประเทศเหมือนบริษัท บริษัทจะรอดได้ต้องมีเรื่องของรายรับ ดูแลรายจ่าย แต่ในขณะเดียวกันศักยภาพของประเทศหรือศักยภาพของบริษัทนั้น ต้องดูที่ความสามารถในการบริหารทรัพย์สิน บริหารหนี้สิน มุ่งหน้ามัวมองแต่เรื่องของรายรับรายจ่าย โดยไม่มองว่าทรัพย์สินหนี้สินเป็นอย่างไรนั้น เป็นการมองโลกด้านเดียว และอันตรายมาก ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้พบปะกับบรรดานักลงทุน หรือสถาบันระหว่างประเทศ ผมก็พยายามชี้ว่า ถึงแม้ประเทศเรานั้นช่วงนี้จะลำบาก ส่งออกอาจจะไม่ดีนัก รายจ่ายอาจจะมีสูง แต่อย่างน้อยที่สุดทรัพย์สินของประเทศยังมีมหาศาล หนี้สินของประเทศแม้ว่าจะมีมาก เราก็ดูแลได้ ประเทศเรายังเป็นประเทศที่มั่นคงและสมบูรณ์ ฉะนั้น เขาดูเราอยู่ ในกรอบยุทธศาสตร์ที่ผมเสนอไปที่เชียงใหม่ การวาดเป้าใน 5 ปีข้างหน้า รายได้ที่จะเข้ามา ส่วนหนึ่งก็จะมาจากเรื่องของรัฐวิสาหกิจเช่นกัน แต่ก่อนที่ผมจะพูดต่อไปมากกว่านี้ ผมอยากจะทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งก่อน อยากจะให้น้องๆ สื่อมวลชนช่วยกันดูแลด้วย
ผมอยากจะพูดถึงความหมายของคำว่า "privatization" หรือ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" คำๆ นี้ถูกบิดเบือนไปมากแล้ว การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าเป็นการขายรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าเป็นการเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป แต่คำว่า "privatization" หรือ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" ในความหมายของผมนั้น คือกระบวนการที่จะทำอย่างไรที่จะทำให้องค์กรของรัฐสามารถกลายเป็นองค์กรที่มีพลังแห่งการประกอบการได้ ทั้งในเชิงของประสิทธิภาพ และในเชิงของประสิทธิผล ที่ไม่แพ้องค์กรของเอกชน สิ่งนี้สำคัญมาก ผมเรียกมันว่า high performance organization ฉะนั้นมันจะมีในรูปอะไรก็แล้วแต่ แต่เจตนาของคำว่า privatize คือจะทำอย่างไรให้องค์กรเหล่านี้มีพลัง เปี่ยมไปด้วยพลังในการที่จะดำเนินงานที่ไม่แพ้เอกชน ที่เรามีความเชื่อว่าเอกชนนั้นเขาทำได้ดีกว่า เพราะว่าเขาไม่มีเรื่องของกฎระเบียบ เป็นต้น ฉะนั้นถ้าเรามาทำความเข้าใจ ณ จุดนี้กันก่อน ความหมายที่ผ่านมาจะคนละเรื่องเลย ฉะนั้น privatization ไม่ได้หมายความว่าเอาหุ้นเข้าตลาด คนละเรื่องกัน อันนั้นเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเรามาทำความเข้าใจตรงนี้ ผมก็จะโยงต่อไปว่า มีความจำเป็นเพียงใดที่เราจะต้องมีกระบวนการปรับเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ ผมอยากจะเรียนว่ามีความสำคัญมาก และมีความจำเป็นด้วย
ประการแรก เราลองมาดูว่าขณะนี้รัฐวิสาหกิจประมาณสัก 59 แห่ง มีทรัพย์สินทั้งสิ้นประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันมีหนี้สินทั้งสิ้นประมาณ 4.3 ล้านล้านบาท การที่ประเทศหนึ่งมีทรัพย์สินถึง 4.6 ล้านล้านบาท และมีหนี้สินถึง 4.3 ล้านล้านบาท มันมองได้ 2 แง่ 4.6 ล้านล้านบาทนี้ มันเทียบเท่ากับ 90% ของ GDP ความหมายมันก็คือ ถ้าเราสามารถบริหารมันให้ดี องค์กรเหล่านี้ก็จะเป็นองค์กรที่จะสามารถสร้างรายได้ในอนาคตข้างหน้าให้กับประเทศมหาศาลทีเดียว ต้องถือว่าเป็นโชคดีมหันต์ที่เรามีทรัพย์สินกองที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราบริหารมันไม่ดี ไม่เพียงแต่ว่าจะเป็นภาระให้กับประเทศ แต่มันยังมีความเสี่ยงให้กับประเทศ เพราะมีหนี้ถึง 4.3 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาผมอยากจะตั้งคำถามว่า มีรัฐบาลใดบ้าง ที่ส่วนกลางนั้นเข้าไปสอดส่องดูแลการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งว่า มีประสิทธิภาพเพียงใดในบรรดา 59 แห่งเหล่านี้ ตรงนี้เองที่ผมมองว่าถ้าเรามีสินทรัพย์ถึงขนาดนี้ มีหนี้สินถึงขนาดนี้ เราต้องทำให้ดี เพื่อผลออกมาเป็นเชิงบวก ไม่ใช่เชิงลบ
ประการที่ 2 มาดูถึงข้อเท็จจริง เรามีทรัพย์สิน 4.6 ล้านล้านบาท ผลประกอบการเป็นอย่างไร ตัวเลขล่าสุดของปี 2543 รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสูงสุด 10 แห่งรวมกัน มีกำไรสุทธิถึง 70,000 กว่าล้านบาท แต่พอเอามารวมทั้งหมด 59 แห่ง ไม่นับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน เรามีกำไรเหลือเพียง 15,000 ล้านบาท หรือเทียบศัพท์ทางบริหารธุรกิจคือว่า return on assets ผลตอบแทนต่อทรัพย์สินประมาณ 0.5 เท่านั้นเอง ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเราดูต่อไป มีรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ประมาณเกือบ 10 แห่ง ที่มี debt-to-equity ratio หรือสัดส่วนหนี้สินต่อทุน เกิน 10 เท่า เพราะฉะนั้นถ้าเราดูในรายละเอียดมากๆ เราจะเห็นรัฐวิสาหกิจที่เราได้ยินชื่อบ่อยเลย ที่เราคิดว่าน่าจะทำอะไรได้ดีมากขึ้น มีหนี้สินมหาศาลทีเดียว จะไปกู้แบงก์แต่ละครั้งรัฐบาลต้องเข้าไปค้ำประกันโดยตลอด
ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนอะไรบางอย่างว่า ถ้าเรามองในเชิงลบ เราจะบอกว่า performance หรือการประกอบการยังไม่ค่อยดี แต่ผมเป็นคนที่ชอบมองในทางบวก ผมมองว่าอันนี้นี่แหละแปลว่ายังมีศักยภาพอีกมหาศาลทีเดียว ที่รัฐบาลไทยด้วยความร่วมมือของพนักงานรัฐวิสาหกิจเอง จะสามารถทำให้ผลประกอบการเหล่านี้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้ ลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้า return on assets หรือผลตอบแทนต่อทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด ถ้าท่านสามารถเพิ่มได้ 1% มันหมายความว่า ท่านสามารถได้กำไรสุทธิถึง 46,000 ล้านบาท ถ้าท่านทำให้เต็มที่สัก 2-3% เงินเหล่านี้มันมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว ฉะนั้นอันนี้เป็นเครื่องสะท้อนว่า performance gap ผมใช้คำว่าช่องว่างแห่งผลประกอบการ มันยังมีโอกาสมากที่เราจะทำอะไรบางอย่างให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ และเราทำมานี้สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่ผมเรียกว่า value gap คือช่องว่างแห่งมูลค่าของทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจ ที่ขณะนี้มูลค่ามันยังถูกกดไว้ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ถ้าเราทำมันให้ดีมียุทธศาสตร์ที่ดีพอ เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจได้มหาศาลทีเดียว value gap หรือช่องว่างแห่งมูลค่าของทรัพย์สินนี้ คือสิ่งที่รัฐบาลอยากจะทำ แต่จะทำได้อย่างไร
วิธีการทำนั้น ไม่ใช่แค่ว่าเอาหุ้นเข้าตลาด การเพิ่มมูลค่าของรัฐวิสาหกิจให้เต็มที่ ข้อที่ 1 เราเรียกมันว่า operation turnaround ก็คือว่าจะทำอย่างไรให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งนั้น สามารถมีการประกอบการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นเพียงโจทย์แรกที่ดู ซึ่งผมเชื่อว่าอันนี้ทำได้
ข้อที่ 2 เป็นเรื่องของ financial turnaround หรือการตีกลับในเชิงของฐานะทางการเงิน หรือที่ผมกล่าวเมื่อสักครู่นี้ การที่รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังมีหนี้สินที่สูงมากและถ้าเราดูให้ดีๆ ถ้าท่านเอาบรรดารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในภาคของการผลิต ที่ไม่อยู่ในภาคของการผลิตไม่เกี่ยว ทรัพย์สินทั้งหมดของเขามีประมาณ 20,900 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีหนี้สินประมาณ 2.3 หรือ 2.4 ล้านล้านบาท แต่มีทุนอยู่เพียง 600,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง หมายความว่าอะไร ถ้าท่านมีหนี้อยู่ 2.3 หรือ 2.4 ล้านล้าน แต่มีทุนอยู่เพียง 600,000 ล้าน debt-equity นี้ มีหนี้สินมากกว่าทุนนี้ประมาณ 4 เท่าตัว ถ้าท่านสามารถลดช่องว่างนี้ลงมาได้ ท่านจะทำให้ภาระของรัฐวิสาหกิจหายไปเยอะทีเดียว ผลประกอบการก็จะดีขึ้น ตัวนี้หมายถึงการดูแลในส่วนของ capital structure ให้มีสัดส่วนของหนี้ ให้มีสัดส่วนของทุนที่เหมาะสม ตรงนี้นั่นเองที่การเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์จะเป็นตัวที่ช่วยลดภาระตัวนี้ได้เป็นอย่างดี คือการที่จะมีแต่การแบกหนี้ อนาคตข้างหน้าจะมีทุนเพิ่มขึ้นมา ทุนมาจากการกระจายหุ้นสู่ประชาชน สู่พนักงานรัฐวิสาหกิจ สู่นักลงทุน สู่ partner ต่างประเทศ ถ้าเขาสามารถเกื้อกูลเราได้ นี่คือข้อที่ 2 ที่จะเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจ
ข้อที่ 3 ตรงนี้สำคัญที่สุด คือการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ ท่านเน้นแค่ operation ก็เหมือนกับมองในกะลาอย่างเดียว ทำให้ตายก็ได้แค่นั้น มันจะเกินกว่านั้นไม่ได้ แต่สำคัญคือ ยุทธศาสตร์ เพราะอนาคตข้างหน้ารัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งต้องแข่งขันในต่างประเทศ ต้องแข่งขันกับผู้ผลิตที่จะเข้ามาในเมืองไทย ฉะนั้น strategic turnaround หรือการมองเชิงยุทธศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะลงทุนอะไร จะไม่ลงทุนอะไร อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ portfolio investment ของเขา เป็นสิ่งที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ปี 2544 งบประมาณเงินกู้ที่เขาให้กู้ทั้งหมดวงเงิน 90,000 กว่าล้านบาท อนาคตข้างหน้าต้องมาดูว่าในเชิงของการบริหารกิจการเขาจะลงทุนอะไร อะไรที่จะต้องหดตัวลงภายในรัฐวิสาหกิจนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ปตท. หน่วยงานใดที่อีกหน่อยแข่งขันไม่ไหว อาจจะไม่ต้องมี ตัวไหนมีประสิทธิภาพสูงๆ อีกหน่อย ต้องขยายตัวออกไปมากๆ และเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือว่า ท่านจะสามารถหา networking คือใคร แนวร่วมคือใคร ธรรมดาเวลาเราบริหารธุรกิจ เรามีบริษัทแห่งหนึ่ง ถ้าท่านสามารถเลือก partner ที่เก่งมีศักยภาพ และมาเป็นเพื่อนท่านได้ โดยที่ท่านไม่เสียการ control ศักยภาพในการบริหาร ศักยภาพทางธุรกิจ ศักยภาพของหุ้นของท่านจะสูงเป็นประวัติการณ์ อันนี้ก็เช่นกัน หมายความว่ารัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งต้องมีการเพาะในเชิงยุทธศาสตร์ว่า ในกลุ่มธุรกิจของตัวเองนั้นควรหรือไม่ที่จะมีแนวร่วมเข้ามา และแนวร่วมนั้นมาเกื้อกูลเราได้หรือเปล่า ถ้าพูดศัพท์ภาษาไทยก็คือว่า ถ้าเราต้องอาศัยฝรั่ง ต้องรู้จักใช้ฝรั่งให้เป็นประโยชน์ เกื้อกูลเรา ตรงนี้คือหัวใจสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
ฉะนั้นด้วยการที่เน้นเรื่อง operation การเน้นเรื่องเชิงของ capital structure การเน้นของเชิงยุทธศาสตร์และ networking ตัวนี้คือขั้นตอนทั้งหลายที่จะช่วยทำให้มูลค่าของทรัพย์สินของตัวเองนั้น สามารถเพิ่มพูนได้ทีละขั้นทีละตอนขึ้นไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งทีเดียว ฉะนั้นผมถึงได้เรียนตั้งแต่ตอนต้นว่า การเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นเพียงแค่ปลายติ่งเท่านั้นเอง เพราะต่อไปข้างหน้าถ้าท่านเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะให้วิธีการบริหารภายในนั้นต้องเปลี่ยน mind set หมายถึงว่าเปลี่ยนวิธีการมองโลก จะทำอย่างไรที่จะเน้นเรื่องของลูกค้า จะทำอย่างไรที่จะเน้นเรื่องของการบริการ จะทำอย่างไรที่จะมุ่งสู่การแข่งขัน เป็นการเปลี่ยนเชิงทัศนคติในการดูแลกิจการ
การทำ training เป็นสิ่งที่สำคัญ ฉะนั้นมันเป็นขั้นเป็นตอนที่จะต้องเพาะไปเรื่อยๆ ฉะนั้นบรรดารัฐวิสาหกิจทั้ง 59 แห่ง ต้องใช้เวลาเป็นปี ฉะนั้นจุดเริ่มต้นสำคัญมากว่า ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเข้าใจ ทำอย่างไรที่จะให้พี่น้องรัฐวิสาหกิจเข้าใจ ทำอย่างไรให้รัฐบาลไม่ว่าชุดใดก็แล้วแต่ให้คงสภาพสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าท่านทำได้ดีแปลว่าอะไร เอาแค่ว่ารัฐวิสาหกิจ 14 แห่งที่มีอยู่ที่มีศักยภาพบวกกับสถาบันการเงินที่เพิ่งกระจายเรื่องหุ้นออกไป ถ้าทำได้ดีพอ ใน 3-4 ปีข้างหน้า ตัว market capitalization ไม่ต่ำกว่า 800,000 ล้านบาท แต่ถ้าเราไม่ดูแลมัน ในเวลา 3 ปีข้างหน้า รัฐวิสาหกิจจะค่อยทรุดลง เพราะผมไปซัก ดูแล้ว ในอีก 3-4 ปี ข้างหน้า ดัชนีที่ชี้ผลการประกอบการทรุดต่ำลง ไม่ใช่หมายความว่าพนักงานเขาไม่ดี แต่เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ดูแลดีพอ ต่างคนต่างทำ ฉะนั้นตรงนี้คือสิ่งที่ผมพยายามสื่อความให้เข้าใจ
ถามว่าประเทศจะได้อะไร ข้อที่ 1 ท่านจะได้อะไรถ้าประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การดำเนินงานดีขึ้น ต้นทุนย่อมลดต่ำลง และต้นทุนอันนี้อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่า หมายความว่าพนักงานต้องถูกปลด ไม่จำเป็น ถ้าท่านทำกิจการให้ดี ศักยภาพขยายได้ รายได้เพิ่มขึ้น ตัวนี้ต่างหากจะเพิ่มรายได้ต่อพนักงาน ฉะนั้นในตลาดใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าในประเทศใดก็แล้วแต่ ถ้าเขาประสบความสำเร็จใน privatization program ต้นทุนของสินค้าบริการต่ำลงทั้งสิ้น แต่ที่มันจำเป็นต้องสูงขึ้นมาอยู่ตลอด ก็เพราะว่า efficiency มันยังไม่เกิด ฉะนั้นศักยภาพตัวนี้เป็นสิ่งที่หน้าท้าทายอย่างหนึ่งที่ต้องช่วยกันทำ นี่คือการลงทุนที่ได้ประโยชน์ข้อที่หนึ่ง ข้อที่ 2 รัฐวิสาหกิจเองก็ได้ประโยชน์ ผมเคยเป็นกรรมการอยู่ใน ปตท. และรัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่ง เวลาได้กำไร รายได้นำส่งคลัง หวังจะได้เป็นรัฐวิสาหกิจเกรด A แต่จริงๆ เรื่องของการบริหารมันไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อคุณทำได้ดี รายได้ก็เป็นกอบเป็นกำ ส่วนหนึ่งก็คือจ่ายเป็นปันผล ส่วนหนึ่งก็คือหมุนเวียนอยู่ใน office ลงทุนเพิ่มเติม บางส่วนส่งให้คลัง
ถ้าหากว่าโครงการแปรรูปเป็นไปอย่างได้ผล แปลว่า 1. คุณมีทุนเพิ่มขึ้น หนี้สินไม่ต้องแบกเยอะขนาดนี้ 2. ผลประกอบการดีขึ้น เมื่อผลประกอบการดีขึ้น รายได้ของพนักงานรัฐวิสาหกิจก็ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำให้มันดีขึ้น จะบอกว่ารายได้สูงขึ้นตลอดเวลา มันก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่รัฐบาลไม่อยากจะช่วย อยากจะช่วย แต่สถานะของรัฐวิสาหกิจนั้นมันไม่ดีพอ แต่ถ้าท่านทำให้มันดี รายได้ท่านก็เพิ่ม โบนัสท่านก็เพิ่ม หุ้นที่ท่านถือก็เพิ่ม ถ้าไม่รีบด่วนขายเสียก่อน เงินทั้งหลายไม่ต้องรีบส่งคลังเพราะอะไร เพราะคลังถือหุ้นในบริษัท holding holding ถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจอีกทีหนึ่ง ท่านจ่ายปันผล คลังก็ได้ปันผล แต่ละแห่งก็จะสามารถบริหารกิจการของเขาได้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ นี่คือสิ่งที่รัฐวิสาหกิจจะได้ประโยชน์ ประเทศจะได้ประโยชน์หรือไม่อันนี้ไม่ต้องถามเลย ทรัพย์สิน 4.6 ล้านล้านบาท ทำให้ดีสัก 2% ของ return on asset รายได้มหาศาล ถ้าสามารถหา partner ดีๆ เข้ามาร่วม ใช้ต่างชาติให้เป็นประโยชน์เกื้อหนุนกัน ไม่มีประเทศไหนสามารถจะยืนอยู่ได้โดยที่ไม่มีการร่วมเป็นเพื่อนกับชาวโลก โลกข้างหน้านั้นมันโลกของโลกาภิวัตน์แล้ว
ฉะนั้นการหา partner ที่ดี อย่าให้เขามาเอาเปรียบเรา เข้ามาแล้วเกื้อกูลเรา เหมือนเวลาเราคบเพื่อนเหมือนกัน ประเทศไม่มีการเสียประโยชน์ ถ้าหากทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทำไมไม่มาตั้งใจร่วมกันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำไมมัวแต่เข้าใจผิดๆ ว่า แปรรูปคือขายรัฐวิสาหกิจ ใครเป็นคนแปลคำศัพท์คำนี้ผมไม่ทราบ
แปรรูป คือ ปรับเปลี่ยนให้รัฐวิสาหกิจกลายเป็นองค์กรที่มี efficiency ในการทำงาน เฉกเช่นองค์กรเอกชน นั่นคือความหมายของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฉะนั้นจากวันนี้เป็นต้นไปกรุณาอย่าพาดหัวว่าแปรรูปคือการขายรัฐวิสาหกิจ ผมขอร้อง เพราะว่าสำคัญมากๆ เลยครับ ผมเลือก ปตท. เพราะอะไร ชีวิตคนเราทุกคนเหมือนกัน ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ผมอายุ 48 ปี ถ้าอายุสัก 30 ปี จะเป็นวัวกระทิงมากกว่านี้ อายุ 48 ปั๊บ ข้างหลังมีครอบครัวอยู่ อะไรจะให้ผมเปลี่ยนแปลง ผมไม่ยอมเด็ดขาด ต้องคิดแล้วคิดอีก
ในเมื่อคนเรานั้นไม่อยากปรับเปลี่ยนอยู่แล้ว หน้าที่เราก็คือว่า ชี้ให้เขาเห็นว่าการปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เป็นผลร้ายต่อท่านเลย แต่เป็นผลดีต่อท่าน ต่อองค์กรของท่าน ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม ถ้าเราชี้ให้เขาเห็นได้ resist to change หรือการต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่มี จะหันกลับมาสนับสนุน ปตท. เป็นกรณีที่พร้อมที่สุด ศักยภาพมีสูง หนี้ก็สูงด้วย ฉะนั้นท่านวิเศษท่านต้องโชว์ performance อันนี้ออกมา ศักยภาพสูง หนี้สูง กำไรสูง พนักงานให้ความร่วมมือ ต่างชาติให้ความสนใจ ถ้าทำ case นี้ให้ประจักษ์ ให้ชาวบ้าน รวมทั้งประชาชนทั้งประเทศเข้ามามีส่วนร่วม ให้เขาเข้าใจ ไม่เพียงแต่รัฐวิสาหกิจได้ประโยชน์เท่านั้น ตลาดทุนจะได้ประโยชน์มหาศาล case ปตท. case เดียวท่านจะทำให้ผู้ที่สนใจเข้ามาในตลาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นแสนๆ ราย ตลาดทุนจะได้ขยับขยายได้
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าถ้า 14 แห่งที่ผมบอก เอามาเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นกระบวนการเป็นกิจจะลักษณะท่านสามารถขยายขนาดของตลาดหลักทรัพย์เมืองไทย กว่า 50% ในเวลาแค่ 3 ปี ขณะนี้นักลงทุนกำลังจะเข้ามาจากต่างประเทศ เขาไม่รู้ว่าจะเข้ามาจากตรงไหน ในเมื่อตลาดที่ซื้อได้ขนาดเล็กไม่เพียงพอ กองทุนเขาเป็น billion ฉะนั้นทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างที่ผมเคยพยายามให้สัมภาษณ์ไปในอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องทำและเป็นสิ่งที่ท้าทาย ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ อันนี้ต้องทำอยู่แล้ว แต่คือจะทำอย่างไรที่จะปรับปรุง ปฏิรูปให้ประเทศไทยนั้นก้าวไปข้างหน้า สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก อันนี้สำคัญมาก การ reform คือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ และการ reform จริงๆ ในขณะนี้คือเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน ต่อให้รัฐบาลใช้จ่ายมากขึ้น กระตุ้นมากขึ้น มันก็จะมีขีดจำกัดเข้ามาอยู่ แต่หัวใจสำคัญก็คือว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนหมายถึง ความยั่งยืนของการจ้างงาน การลงทุนเหล่านี้ต้องมีทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การปฏิรูปต้องมีทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ภาคเอกชนในขณะนี้ต้องเริ่มปฏิรูป ถามว่า บสท. สำคัญอย่างไร บสท. คือจุดเริ่มต้นในการปฏิรูปภาคเอกชน ถ้า บสท.มีแต่การแก้ NPL นั้นไม่มีประโยชน์เลย หมายความว่าบริษัทเอกชนเหล่านั้นที่ยังมีศักยภาพแต่มีหนี้สิน ขณะนี้จะเฉลี่ยให้เม็ดเงินทุนที่จะใส่เข้าไปได้ ต้องจูงใจให้ประชาชนที่เอาเงินไปฝากแบงก์ เอาเงินเหล่านั้นเข้ามาใส่เป็นทุนของบริษัทเหล่านี้ แปลว่าต้องพยายามเอาบริษัทเหล่านี้เข้าตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งหนึ่งให้ได้ เงินฝากที่อยู่ในแบงก์ทั้งระบบประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท ฝากอยู่ในแบงก์ นอนอยู่อย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะเอามาลงทุนในกิจการทางธุรกิจ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับการจ้างงานและการผลิต ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่แข็งแรงอยู่แล้วในขณะนี้ก็ต้องปฏิรูป เพราะฉะนั้นวิธีการบริหารแบบดั้งเดิมของเราไม่พร้อมที่จะแข่งขันกับตลาดโลกได้ ฉะนั้นการ reform สำคัญมากๆ ภาคเอกชนขณะนี้เขารู้ดี เขารู้ว่าจะแข่งขันกับต่างประเทศไม่ใช่ง่ายๆ จะ raise fund ใน market ในขณะนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ฉะนั้นถ้าเขาไม่ปฏิรูปตัวเขาเอง เขาทำยาก
ภาครัฐบาลเราเริ่มต้นที่ workshop ที่พัทยา การปรับเปลี่ยนแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็คือหนทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดมีความเข้มแข็งในองค์กรของรัฐ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ต่างประเทศเขามองก็คือ ในกระบวนการของการ reform เหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ good governance คือความโปร่งใสของการกำกับดูแลกิจการ นักลงทุนจากต่างประเทศในขณะนี้สนใจประเทศไทยมากทีเดียว เพราะภูมิภาคอื่นย่ำแย่ แต่ในอาเซียนเรายังเป็นหนึ่ง ในเอเชียเราไม่เป็นรองใครในเชิงของยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจ แต่เขาจะไม่เอาเงินเหล่านั้นมาทิ้งๆ ขว้างๆ เหมือนในอดีต เขาจะเลือกดูว่าคุณมี good governance หรือเปล่า คุณมีทิศทางของการบริหารหรือเปล่า ถ้าเราทำได้ดี อันนี้จะเป็นพลังมหาศาลทีเดียว ดึงดูดให้เงินลงทุนต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย ฉะนั้นสองสิ่งที่ผมกล่าวมาก็คือ การ reform คือหัวใจทีเดียว และถ้าเราจะ reform ภาครัฐ ก็หมายถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรที่มีพลัง ผมเลือก ปตท. เป็นหลักใหญ่ เพราะผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าทำได้ดี ตรงนี้มันจะทำให้ต่างประเทศเห็นว่า เมืองไทยนั้นมีทรัพย์สินที่มีมูลค่า เขาพร้อมจะเข้ามาร่วมโตกับเรา และเขาก็จะรู้ว่าเราไม่ได้ขาย แต่เอาคุณมาเป็นเพื่อน
ฉะนั้นวันนี้ทั้งทีมงาน ปตท. รวมทั้งคุณบรรยง ฯ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พร้อมที่จะชี้แจงตอบข้อซักถาม และผมเชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนเข้าใจพร้อมเพรียงกัน 3-4 ปีข้างหน้า จะไม่มีอะไรที่สำคัญเท่ากับกระบวนการอันนี้ เพราะมันมีถึง 59 แห่ง และพลังนั้นมีมหาศาลทีเดียว ผมอยากจะเห็นรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นองค์กรที่มีพลัง อยากเห็นพนักงานรัฐวิสาหกิจมีรายได้สูง แต่มีรายได้สูงเพราะกิจการดีขึ้น ขอบคุณทุกท่านที่เชิญผมมา
_______________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กระทรวงการคลัง
ชนาธิป : ถอดเทป/พิมพ์--จบ--
-ศน-
เรื่อง
"ประเทศไทยได้อะไรจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ"
โดย ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า
15 สิงหาคม 2544
______________________
ผมต้องขอขอบคุณทางสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจที่ให้เกียรติเชิญผมมาในวันนี้ ผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชิญมาพูดในหัวข้อที่ผมต้องการจะพูดมานานแล้ว ผมอยากจะเรียนไว้เลยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา 3-4 เดือน การที่ต่างประเทศยอมให้ความมั่นใจกับเมืองไทย ส่วนหนึ่งนั้นก็เนื่องจากเรื่องของสินทรัพย์ของประเทศที่เรามีอยู่
ผมเติบโตมาจากสายของการบริหาร แม้ว่าจะมี background ทางเศรษฐศาสตร์ แต่ว่าภาวะที่ผ่านมา 15 ปีนั้นมาทางสายการบริหารทางธุรกิจ ฉะนั้นเมื่อเวลาที่ผมคิดอะไรหรือทำอะไร ผมดูในเชิงของการบริหาร ถ้าเราเปรียบประเทศเหมือนบริษัท บริษัทจะรอดได้ต้องมีเรื่องของรายรับ ดูแลรายจ่าย แต่ในขณะเดียวกันศักยภาพของประเทศหรือศักยภาพของบริษัทนั้น ต้องดูที่ความสามารถในการบริหารทรัพย์สิน บริหารหนี้สิน มุ่งหน้ามัวมองแต่เรื่องของรายรับรายจ่าย โดยไม่มองว่าทรัพย์สินหนี้สินเป็นอย่างไรนั้น เป็นการมองโลกด้านเดียว และอันตรายมาก ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้พบปะกับบรรดานักลงทุน หรือสถาบันระหว่างประเทศ ผมก็พยายามชี้ว่า ถึงแม้ประเทศเรานั้นช่วงนี้จะลำบาก ส่งออกอาจจะไม่ดีนัก รายจ่ายอาจจะมีสูง แต่อย่างน้อยที่สุดทรัพย์สินของประเทศยังมีมหาศาล หนี้สินของประเทศแม้ว่าจะมีมาก เราก็ดูแลได้ ประเทศเรายังเป็นประเทศที่มั่นคงและสมบูรณ์ ฉะนั้น เขาดูเราอยู่ ในกรอบยุทธศาสตร์ที่ผมเสนอไปที่เชียงใหม่ การวาดเป้าใน 5 ปีข้างหน้า รายได้ที่จะเข้ามา ส่วนหนึ่งก็จะมาจากเรื่องของรัฐวิสาหกิจเช่นกัน แต่ก่อนที่ผมจะพูดต่อไปมากกว่านี้ ผมอยากจะทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งก่อน อยากจะให้น้องๆ สื่อมวลชนช่วยกันดูแลด้วย
ผมอยากจะพูดถึงความหมายของคำว่า "privatization" หรือ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" คำๆ นี้ถูกบิดเบือนไปมากแล้ว การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าเป็นการขายรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าเป็นการเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป แต่คำว่า "privatization" หรือ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" ในความหมายของผมนั้น คือกระบวนการที่จะทำอย่างไรที่จะทำให้องค์กรของรัฐสามารถกลายเป็นองค์กรที่มีพลังแห่งการประกอบการได้ ทั้งในเชิงของประสิทธิภาพ และในเชิงของประสิทธิผล ที่ไม่แพ้องค์กรของเอกชน สิ่งนี้สำคัญมาก ผมเรียกมันว่า high performance organization ฉะนั้นมันจะมีในรูปอะไรก็แล้วแต่ แต่เจตนาของคำว่า privatize คือจะทำอย่างไรให้องค์กรเหล่านี้มีพลัง เปี่ยมไปด้วยพลังในการที่จะดำเนินงานที่ไม่แพ้เอกชน ที่เรามีความเชื่อว่าเอกชนนั้นเขาทำได้ดีกว่า เพราะว่าเขาไม่มีเรื่องของกฎระเบียบ เป็นต้น ฉะนั้นถ้าเรามาทำความเข้าใจ ณ จุดนี้กันก่อน ความหมายที่ผ่านมาจะคนละเรื่องเลย ฉะนั้น privatization ไม่ได้หมายความว่าเอาหุ้นเข้าตลาด คนละเรื่องกัน อันนั้นเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเรามาทำความเข้าใจตรงนี้ ผมก็จะโยงต่อไปว่า มีความจำเป็นเพียงใดที่เราจะต้องมีกระบวนการปรับเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ ผมอยากจะเรียนว่ามีความสำคัญมาก และมีความจำเป็นด้วย
ประการแรก เราลองมาดูว่าขณะนี้รัฐวิสาหกิจประมาณสัก 59 แห่ง มีทรัพย์สินทั้งสิ้นประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันมีหนี้สินทั้งสิ้นประมาณ 4.3 ล้านล้านบาท การที่ประเทศหนึ่งมีทรัพย์สินถึง 4.6 ล้านล้านบาท และมีหนี้สินถึง 4.3 ล้านล้านบาท มันมองได้ 2 แง่ 4.6 ล้านล้านบาทนี้ มันเทียบเท่ากับ 90% ของ GDP ความหมายมันก็คือ ถ้าเราสามารถบริหารมันให้ดี องค์กรเหล่านี้ก็จะเป็นองค์กรที่จะสามารถสร้างรายได้ในอนาคตข้างหน้าให้กับประเทศมหาศาลทีเดียว ต้องถือว่าเป็นโชคดีมหันต์ที่เรามีทรัพย์สินกองที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราบริหารมันไม่ดี ไม่เพียงแต่ว่าจะเป็นภาระให้กับประเทศ แต่มันยังมีความเสี่ยงให้กับประเทศ เพราะมีหนี้ถึง 4.3 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาผมอยากจะตั้งคำถามว่า มีรัฐบาลใดบ้าง ที่ส่วนกลางนั้นเข้าไปสอดส่องดูแลการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งว่า มีประสิทธิภาพเพียงใดในบรรดา 59 แห่งเหล่านี้ ตรงนี้เองที่ผมมองว่าถ้าเรามีสินทรัพย์ถึงขนาดนี้ มีหนี้สินถึงขนาดนี้ เราต้องทำให้ดี เพื่อผลออกมาเป็นเชิงบวก ไม่ใช่เชิงลบ
ประการที่ 2 มาดูถึงข้อเท็จจริง เรามีทรัพย์สิน 4.6 ล้านล้านบาท ผลประกอบการเป็นอย่างไร ตัวเลขล่าสุดของปี 2543 รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสูงสุด 10 แห่งรวมกัน มีกำไรสุทธิถึง 70,000 กว่าล้านบาท แต่พอเอามารวมทั้งหมด 59 แห่ง ไม่นับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน เรามีกำไรเหลือเพียง 15,000 ล้านบาท หรือเทียบศัพท์ทางบริหารธุรกิจคือว่า return on assets ผลตอบแทนต่อทรัพย์สินประมาณ 0.5 เท่านั้นเอง ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเราดูต่อไป มีรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ประมาณเกือบ 10 แห่ง ที่มี debt-to-equity ratio หรือสัดส่วนหนี้สินต่อทุน เกิน 10 เท่า เพราะฉะนั้นถ้าเราดูในรายละเอียดมากๆ เราจะเห็นรัฐวิสาหกิจที่เราได้ยินชื่อบ่อยเลย ที่เราคิดว่าน่าจะทำอะไรได้ดีมากขึ้น มีหนี้สินมหาศาลทีเดียว จะไปกู้แบงก์แต่ละครั้งรัฐบาลต้องเข้าไปค้ำประกันโดยตลอด
ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนอะไรบางอย่างว่า ถ้าเรามองในเชิงลบ เราจะบอกว่า performance หรือการประกอบการยังไม่ค่อยดี แต่ผมเป็นคนที่ชอบมองในทางบวก ผมมองว่าอันนี้นี่แหละแปลว่ายังมีศักยภาพอีกมหาศาลทีเดียว ที่รัฐบาลไทยด้วยความร่วมมือของพนักงานรัฐวิสาหกิจเอง จะสามารถทำให้ผลประกอบการเหล่านี้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้ ลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้า return on assets หรือผลตอบแทนต่อทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด ถ้าท่านสามารถเพิ่มได้ 1% มันหมายความว่า ท่านสามารถได้กำไรสุทธิถึง 46,000 ล้านบาท ถ้าท่านทำให้เต็มที่สัก 2-3% เงินเหล่านี้มันมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว ฉะนั้นอันนี้เป็นเครื่องสะท้อนว่า performance gap ผมใช้คำว่าช่องว่างแห่งผลประกอบการ มันยังมีโอกาสมากที่เราจะทำอะไรบางอย่างให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ และเราทำมานี้สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่ผมเรียกว่า value gap คือช่องว่างแห่งมูลค่าของทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจ ที่ขณะนี้มูลค่ามันยังถูกกดไว้ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ถ้าเราทำมันให้ดีมียุทธศาสตร์ที่ดีพอ เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจได้มหาศาลทีเดียว value gap หรือช่องว่างแห่งมูลค่าของทรัพย์สินนี้ คือสิ่งที่รัฐบาลอยากจะทำ แต่จะทำได้อย่างไร
วิธีการทำนั้น ไม่ใช่แค่ว่าเอาหุ้นเข้าตลาด การเพิ่มมูลค่าของรัฐวิสาหกิจให้เต็มที่ ข้อที่ 1 เราเรียกมันว่า operation turnaround ก็คือว่าจะทำอย่างไรให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งนั้น สามารถมีการประกอบการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นเพียงโจทย์แรกที่ดู ซึ่งผมเชื่อว่าอันนี้ทำได้
ข้อที่ 2 เป็นเรื่องของ financial turnaround หรือการตีกลับในเชิงของฐานะทางการเงิน หรือที่ผมกล่าวเมื่อสักครู่นี้ การที่รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังมีหนี้สินที่สูงมากและถ้าเราดูให้ดีๆ ถ้าท่านเอาบรรดารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในภาคของการผลิต ที่ไม่อยู่ในภาคของการผลิตไม่เกี่ยว ทรัพย์สินทั้งหมดของเขามีประมาณ 20,900 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีหนี้สินประมาณ 2.3 หรือ 2.4 ล้านล้านบาท แต่มีทุนอยู่เพียง 600,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง หมายความว่าอะไร ถ้าท่านมีหนี้อยู่ 2.3 หรือ 2.4 ล้านล้าน แต่มีทุนอยู่เพียง 600,000 ล้าน debt-equity นี้ มีหนี้สินมากกว่าทุนนี้ประมาณ 4 เท่าตัว ถ้าท่านสามารถลดช่องว่างนี้ลงมาได้ ท่านจะทำให้ภาระของรัฐวิสาหกิจหายไปเยอะทีเดียว ผลประกอบการก็จะดีขึ้น ตัวนี้หมายถึงการดูแลในส่วนของ capital structure ให้มีสัดส่วนของหนี้ ให้มีสัดส่วนของทุนที่เหมาะสม ตรงนี้นั่นเองที่การเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์จะเป็นตัวที่ช่วยลดภาระตัวนี้ได้เป็นอย่างดี คือการที่จะมีแต่การแบกหนี้ อนาคตข้างหน้าจะมีทุนเพิ่มขึ้นมา ทุนมาจากการกระจายหุ้นสู่ประชาชน สู่พนักงานรัฐวิสาหกิจ สู่นักลงทุน สู่ partner ต่างประเทศ ถ้าเขาสามารถเกื้อกูลเราได้ นี่คือข้อที่ 2 ที่จะเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินรัฐวิสาหกิจ
ข้อที่ 3 ตรงนี้สำคัญที่สุด คือการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ ท่านเน้นแค่ operation ก็เหมือนกับมองในกะลาอย่างเดียว ทำให้ตายก็ได้แค่นั้น มันจะเกินกว่านั้นไม่ได้ แต่สำคัญคือ ยุทธศาสตร์ เพราะอนาคตข้างหน้ารัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งต้องแข่งขันในต่างประเทศ ต้องแข่งขันกับผู้ผลิตที่จะเข้ามาในเมืองไทย ฉะนั้น strategic turnaround หรือการมองเชิงยุทธศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะลงทุนอะไร จะไม่ลงทุนอะไร อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ portfolio investment ของเขา เป็นสิ่งที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ปี 2544 งบประมาณเงินกู้ที่เขาให้กู้ทั้งหมดวงเงิน 90,000 กว่าล้านบาท อนาคตข้างหน้าต้องมาดูว่าในเชิงของการบริหารกิจการเขาจะลงทุนอะไร อะไรที่จะต้องหดตัวลงภายในรัฐวิสาหกิจนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ปตท. หน่วยงานใดที่อีกหน่อยแข่งขันไม่ไหว อาจจะไม่ต้องมี ตัวไหนมีประสิทธิภาพสูงๆ อีกหน่อย ต้องขยายตัวออกไปมากๆ และเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือว่า ท่านจะสามารถหา networking คือใคร แนวร่วมคือใคร ธรรมดาเวลาเราบริหารธุรกิจ เรามีบริษัทแห่งหนึ่ง ถ้าท่านสามารถเลือก partner ที่เก่งมีศักยภาพ และมาเป็นเพื่อนท่านได้ โดยที่ท่านไม่เสียการ control ศักยภาพในการบริหาร ศักยภาพทางธุรกิจ ศักยภาพของหุ้นของท่านจะสูงเป็นประวัติการณ์ อันนี้ก็เช่นกัน หมายความว่ารัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งต้องมีการเพาะในเชิงยุทธศาสตร์ว่า ในกลุ่มธุรกิจของตัวเองนั้นควรหรือไม่ที่จะมีแนวร่วมเข้ามา และแนวร่วมนั้นมาเกื้อกูลเราได้หรือเปล่า ถ้าพูดศัพท์ภาษาไทยก็คือว่า ถ้าเราต้องอาศัยฝรั่ง ต้องรู้จักใช้ฝรั่งให้เป็นประโยชน์ เกื้อกูลเรา ตรงนี้คือหัวใจสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
ฉะนั้นด้วยการที่เน้นเรื่อง operation การเน้นเรื่องเชิงของ capital structure การเน้นของเชิงยุทธศาสตร์และ networking ตัวนี้คือขั้นตอนทั้งหลายที่จะช่วยทำให้มูลค่าของทรัพย์สินของตัวเองนั้น สามารถเพิ่มพูนได้ทีละขั้นทีละตอนขึ้นไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งทีเดียว ฉะนั้นผมถึงได้เรียนตั้งแต่ตอนต้นว่า การเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นเพียงแค่ปลายติ่งเท่านั้นเอง เพราะต่อไปข้างหน้าถ้าท่านเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะให้วิธีการบริหารภายในนั้นต้องเปลี่ยน mind set หมายถึงว่าเปลี่ยนวิธีการมองโลก จะทำอย่างไรที่จะเน้นเรื่องของลูกค้า จะทำอย่างไรที่จะเน้นเรื่องของการบริการ จะทำอย่างไรที่จะมุ่งสู่การแข่งขัน เป็นการเปลี่ยนเชิงทัศนคติในการดูแลกิจการ
การทำ training เป็นสิ่งที่สำคัญ ฉะนั้นมันเป็นขั้นเป็นตอนที่จะต้องเพาะไปเรื่อยๆ ฉะนั้นบรรดารัฐวิสาหกิจทั้ง 59 แห่ง ต้องใช้เวลาเป็นปี ฉะนั้นจุดเริ่มต้นสำคัญมากว่า ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเข้าใจ ทำอย่างไรที่จะให้พี่น้องรัฐวิสาหกิจเข้าใจ ทำอย่างไรให้รัฐบาลไม่ว่าชุดใดก็แล้วแต่ให้คงสภาพสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าท่านทำได้ดีแปลว่าอะไร เอาแค่ว่ารัฐวิสาหกิจ 14 แห่งที่มีอยู่ที่มีศักยภาพบวกกับสถาบันการเงินที่เพิ่งกระจายเรื่องหุ้นออกไป ถ้าทำได้ดีพอ ใน 3-4 ปีข้างหน้า ตัว market capitalization ไม่ต่ำกว่า 800,000 ล้านบาท แต่ถ้าเราไม่ดูแลมัน ในเวลา 3 ปีข้างหน้า รัฐวิสาหกิจจะค่อยทรุดลง เพราะผมไปซัก ดูแล้ว ในอีก 3-4 ปี ข้างหน้า ดัชนีที่ชี้ผลการประกอบการทรุดต่ำลง ไม่ใช่หมายความว่าพนักงานเขาไม่ดี แต่เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ดูแลดีพอ ต่างคนต่างทำ ฉะนั้นตรงนี้คือสิ่งที่ผมพยายามสื่อความให้เข้าใจ
ถามว่าประเทศจะได้อะไร ข้อที่ 1 ท่านจะได้อะไรถ้าประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การดำเนินงานดีขึ้น ต้นทุนย่อมลดต่ำลง และต้นทุนอันนี้อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่า หมายความว่าพนักงานต้องถูกปลด ไม่จำเป็น ถ้าท่านทำกิจการให้ดี ศักยภาพขยายได้ รายได้เพิ่มขึ้น ตัวนี้ต่างหากจะเพิ่มรายได้ต่อพนักงาน ฉะนั้นในตลาดใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าในประเทศใดก็แล้วแต่ ถ้าเขาประสบความสำเร็จใน privatization program ต้นทุนของสินค้าบริการต่ำลงทั้งสิ้น แต่ที่มันจำเป็นต้องสูงขึ้นมาอยู่ตลอด ก็เพราะว่า efficiency มันยังไม่เกิด ฉะนั้นศักยภาพตัวนี้เป็นสิ่งที่หน้าท้าทายอย่างหนึ่งที่ต้องช่วยกันทำ นี่คือการลงทุนที่ได้ประโยชน์ข้อที่หนึ่ง ข้อที่ 2 รัฐวิสาหกิจเองก็ได้ประโยชน์ ผมเคยเป็นกรรมการอยู่ใน ปตท. และรัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่ง เวลาได้กำไร รายได้นำส่งคลัง หวังจะได้เป็นรัฐวิสาหกิจเกรด A แต่จริงๆ เรื่องของการบริหารมันไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อคุณทำได้ดี รายได้ก็เป็นกอบเป็นกำ ส่วนหนึ่งก็คือจ่ายเป็นปันผล ส่วนหนึ่งก็คือหมุนเวียนอยู่ใน office ลงทุนเพิ่มเติม บางส่วนส่งให้คลัง
ถ้าหากว่าโครงการแปรรูปเป็นไปอย่างได้ผล แปลว่า 1. คุณมีทุนเพิ่มขึ้น หนี้สินไม่ต้องแบกเยอะขนาดนี้ 2. ผลประกอบการดีขึ้น เมื่อผลประกอบการดีขึ้น รายได้ของพนักงานรัฐวิสาหกิจก็ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำให้มันดีขึ้น จะบอกว่ารายได้สูงขึ้นตลอดเวลา มันก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่รัฐบาลไม่อยากจะช่วย อยากจะช่วย แต่สถานะของรัฐวิสาหกิจนั้นมันไม่ดีพอ แต่ถ้าท่านทำให้มันดี รายได้ท่านก็เพิ่ม โบนัสท่านก็เพิ่ม หุ้นที่ท่านถือก็เพิ่ม ถ้าไม่รีบด่วนขายเสียก่อน เงินทั้งหลายไม่ต้องรีบส่งคลังเพราะอะไร เพราะคลังถือหุ้นในบริษัท holding holding ถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจอีกทีหนึ่ง ท่านจ่ายปันผล คลังก็ได้ปันผล แต่ละแห่งก็จะสามารถบริหารกิจการของเขาได้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ นี่คือสิ่งที่รัฐวิสาหกิจจะได้ประโยชน์ ประเทศจะได้ประโยชน์หรือไม่อันนี้ไม่ต้องถามเลย ทรัพย์สิน 4.6 ล้านล้านบาท ทำให้ดีสัก 2% ของ return on asset รายได้มหาศาล ถ้าสามารถหา partner ดีๆ เข้ามาร่วม ใช้ต่างชาติให้เป็นประโยชน์เกื้อหนุนกัน ไม่มีประเทศไหนสามารถจะยืนอยู่ได้โดยที่ไม่มีการร่วมเป็นเพื่อนกับชาวโลก โลกข้างหน้านั้นมันโลกของโลกาภิวัตน์แล้ว
ฉะนั้นการหา partner ที่ดี อย่าให้เขามาเอาเปรียบเรา เข้ามาแล้วเกื้อกูลเรา เหมือนเวลาเราคบเพื่อนเหมือนกัน ประเทศไม่มีการเสียประโยชน์ ถ้าหากทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทำไมไม่มาตั้งใจร่วมกันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำไมมัวแต่เข้าใจผิดๆ ว่า แปรรูปคือขายรัฐวิสาหกิจ ใครเป็นคนแปลคำศัพท์คำนี้ผมไม่ทราบ
แปรรูป คือ ปรับเปลี่ยนให้รัฐวิสาหกิจกลายเป็นองค์กรที่มี efficiency ในการทำงาน เฉกเช่นองค์กรเอกชน นั่นคือความหมายของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฉะนั้นจากวันนี้เป็นต้นไปกรุณาอย่าพาดหัวว่าแปรรูปคือการขายรัฐวิสาหกิจ ผมขอร้อง เพราะว่าสำคัญมากๆ เลยครับ ผมเลือก ปตท. เพราะอะไร ชีวิตคนเราทุกคนเหมือนกัน ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ผมอายุ 48 ปี ถ้าอายุสัก 30 ปี จะเป็นวัวกระทิงมากกว่านี้ อายุ 48 ปั๊บ ข้างหลังมีครอบครัวอยู่ อะไรจะให้ผมเปลี่ยนแปลง ผมไม่ยอมเด็ดขาด ต้องคิดแล้วคิดอีก
ในเมื่อคนเรานั้นไม่อยากปรับเปลี่ยนอยู่แล้ว หน้าที่เราก็คือว่า ชี้ให้เขาเห็นว่าการปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เป็นผลร้ายต่อท่านเลย แต่เป็นผลดีต่อท่าน ต่อองค์กรของท่าน ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม ถ้าเราชี้ให้เขาเห็นได้ resist to change หรือการต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่มี จะหันกลับมาสนับสนุน ปตท. เป็นกรณีที่พร้อมที่สุด ศักยภาพมีสูง หนี้ก็สูงด้วย ฉะนั้นท่านวิเศษท่านต้องโชว์ performance อันนี้ออกมา ศักยภาพสูง หนี้สูง กำไรสูง พนักงานให้ความร่วมมือ ต่างชาติให้ความสนใจ ถ้าทำ case นี้ให้ประจักษ์ ให้ชาวบ้าน รวมทั้งประชาชนทั้งประเทศเข้ามามีส่วนร่วม ให้เขาเข้าใจ ไม่เพียงแต่รัฐวิสาหกิจได้ประโยชน์เท่านั้น ตลาดทุนจะได้ประโยชน์มหาศาล case ปตท. case เดียวท่านจะทำให้ผู้ที่สนใจเข้ามาในตลาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นแสนๆ ราย ตลาดทุนจะได้ขยับขยายได้
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าถ้า 14 แห่งที่ผมบอก เอามาเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นกระบวนการเป็นกิจจะลักษณะท่านสามารถขยายขนาดของตลาดหลักทรัพย์เมืองไทย กว่า 50% ในเวลาแค่ 3 ปี ขณะนี้นักลงทุนกำลังจะเข้ามาจากต่างประเทศ เขาไม่รู้ว่าจะเข้ามาจากตรงไหน ในเมื่อตลาดที่ซื้อได้ขนาดเล็กไม่เพียงพอ กองทุนเขาเป็น billion ฉะนั้นทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างที่ผมเคยพยายามให้สัมภาษณ์ไปในอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องทำและเป็นสิ่งที่ท้าทาย ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ อันนี้ต้องทำอยู่แล้ว แต่คือจะทำอย่างไรที่จะปรับปรุง ปฏิรูปให้ประเทศไทยนั้นก้าวไปข้างหน้า สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก อันนี้สำคัญมาก การ reform คือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ และการ reform จริงๆ ในขณะนี้คือเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน ต่อให้รัฐบาลใช้จ่ายมากขึ้น กระตุ้นมากขึ้น มันก็จะมีขีดจำกัดเข้ามาอยู่ แต่หัวใจสำคัญก็คือว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนหมายถึง ความยั่งยืนของการจ้างงาน การลงทุนเหล่านี้ต้องมีทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การปฏิรูปต้องมีทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ภาคเอกชนในขณะนี้ต้องเริ่มปฏิรูป ถามว่า บสท. สำคัญอย่างไร บสท. คือจุดเริ่มต้นในการปฏิรูปภาคเอกชน ถ้า บสท.มีแต่การแก้ NPL นั้นไม่มีประโยชน์เลย หมายความว่าบริษัทเอกชนเหล่านั้นที่ยังมีศักยภาพแต่มีหนี้สิน ขณะนี้จะเฉลี่ยให้เม็ดเงินทุนที่จะใส่เข้าไปได้ ต้องจูงใจให้ประชาชนที่เอาเงินไปฝากแบงก์ เอาเงินเหล่านั้นเข้ามาใส่เป็นทุนของบริษัทเหล่านี้ แปลว่าต้องพยายามเอาบริษัทเหล่านี้เข้าตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งหนึ่งให้ได้ เงินฝากที่อยู่ในแบงก์ทั้งระบบประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท ฝากอยู่ในแบงก์ นอนอยู่อย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะเอามาลงทุนในกิจการทางธุรกิจ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับการจ้างงานและการผลิต ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่แข็งแรงอยู่แล้วในขณะนี้ก็ต้องปฏิรูป เพราะฉะนั้นวิธีการบริหารแบบดั้งเดิมของเราไม่พร้อมที่จะแข่งขันกับตลาดโลกได้ ฉะนั้นการ reform สำคัญมากๆ ภาคเอกชนขณะนี้เขารู้ดี เขารู้ว่าจะแข่งขันกับต่างประเทศไม่ใช่ง่ายๆ จะ raise fund ใน market ในขณะนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ฉะนั้นถ้าเขาไม่ปฏิรูปตัวเขาเอง เขาทำยาก
ภาครัฐบาลเราเริ่มต้นที่ workshop ที่พัทยา การปรับเปลี่ยนแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็คือหนทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดมีความเข้มแข็งในองค์กรของรัฐ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ต่างประเทศเขามองก็คือ ในกระบวนการของการ reform เหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ good governance คือความโปร่งใสของการกำกับดูแลกิจการ นักลงทุนจากต่างประเทศในขณะนี้สนใจประเทศไทยมากทีเดียว เพราะภูมิภาคอื่นย่ำแย่ แต่ในอาเซียนเรายังเป็นหนึ่ง ในเอเชียเราไม่เป็นรองใครในเชิงของยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจ แต่เขาจะไม่เอาเงินเหล่านั้นมาทิ้งๆ ขว้างๆ เหมือนในอดีต เขาจะเลือกดูว่าคุณมี good governance หรือเปล่า คุณมีทิศทางของการบริหารหรือเปล่า ถ้าเราทำได้ดี อันนี้จะเป็นพลังมหาศาลทีเดียว ดึงดูดให้เงินลงทุนต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย ฉะนั้นสองสิ่งที่ผมกล่าวมาก็คือ การ reform คือหัวใจทีเดียว และถ้าเราจะ reform ภาครัฐ ก็หมายถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรที่มีพลัง ผมเลือก ปตท. เป็นหลักใหญ่ เพราะผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าทำได้ดี ตรงนี้มันจะทำให้ต่างประเทศเห็นว่า เมืองไทยนั้นมีทรัพย์สินที่มีมูลค่า เขาพร้อมจะเข้ามาร่วมโตกับเรา และเขาก็จะรู้ว่าเราไม่ได้ขาย แต่เอาคุณมาเป็นเพื่อน
ฉะนั้นวันนี้ทั้งทีมงาน ปตท. รวมทั้งคุณบรรยง ฯ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พร้อมที่จะชี้แจงตอบข้อซักถาม และผมเชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนเข้าใจพร้อมเพรียงกัน 3-4 ปีข้างหน้า จะไม่มีอะไรที่สำคัญเท่ากับกระบวนการอันนี้ เพราะมันมีถึง 59 แห่ง และพลังนั้นมีมหาศาลทีเดียว ผมอยากจะเห็นรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นองค์กรที่มีพลัง อยากเห็นพนักงานรัฐวิสาหกิจมีรายได้สูง แต่มีรายได้สูงเพราะกิจการดีขึ้น ขอบคุณทุกท่านที่เชิญผมมา
_______________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กระทรวงการคลัง
ชนาธิป : ถอดเทป/พิมพ์--จบ--
-ศน-