ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยอมรับขณะนี้ต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนค่ามากเกินไป น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้
ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ว่า ธปท.ต้องเข้าไป
ดูแล เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น โดยขณะนี้มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากบัญชี
non-resident ในตลาด off shore อันเป็นผลมาจากตลาดคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปอีก นักลงทุน
จึงกู้เงินบาทเพื่อมาซื้อดอลลาร์ สรอ.เก็บไว้มากขึ้น สะท้อนให้เห็นได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายอัตราแลก
เปลี่ยน (swap premium) ที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอย่างต่อ
เนื่องนั้น คือ เรื่องของฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีการขาดดุลเป็นจำนวน
3,108 ล้านดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
2. บล.ภัทรประเมิน ธปท.ใช้ทุนสำรองแทรกแซงตลาดเงินประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
บล.ภัทรเผยแพร่บทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดในเรื่อง “อินไซเดอร์ในไทย : ความกังวลค่าเงินบาท” ระบุ
ว่าการแทรกแซงตลาดเงินเพื่อป้องกันบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจาก
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ทุนสำรองประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. แทรกแซงตลาดเงินไป
แล้ว โดย บล.ภัทรเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทางการไทยจำเป็นต้องผ่อนคลายแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมัน
ดีเซลปรับขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงผู้บริโภค ทั้งนี้ บทวิเคราะห์เชื่อว่า ธปท.ต้องการจะปกป้องเงินบาทไม่ให้อ่อน
ค่ามากเกินไปในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า และมีเจตนาจะใช้ทุนสำรองที่มีมากพอเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
(กรุงเทพธุรกิจ)
3. กรมสรรพากรคาดว่าจะจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 48 ได้ถึง 950,000 ล้านบาท รองอธิบดีกรม
สรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรคาดว่าจะจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 48 ได้ถึง 950,000 ล้านบาท จากที่ตั้ง
เป้าหมายไว้ 820,000 ล้านบาท เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ภาษี
มูลค่าเพิ่มที่ยังจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี ซึ่งสะท้อนออกมายังภาษี
อากรแสตมป์ที่ยังจัดเก็บได้ในเกณฑ์ดี โดยในช่วง 7 เดือนของปีงบประมาณ 48 กรมจัดเก็บภาษีได้แล้ว 41,000
ล้านบาท ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 49 กรมตั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษีไว้ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท (เดลินิวส์, มติชน)
4. ภาคอุตสาหกรรมลดกำลังการผลิตลงเหลือไม่เกินร้อยละ 60 รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 30-50 จาก
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว วิกฤติราคาพลังงานทั้งไฟฟ้า และน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ตลอด
จนการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบทั้งเหล็ก ทองแดง ปิโตรเคมี พลาสติก ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับ
ขึ้นราคาสินค้าเพื่อให้สะท้อนต้นทุนแท้จริง นอกจากนี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ
หดตัวลง โดยยอดสั่งซื้อสินค้าเดือน มิ.ย.นี้ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 30 ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า และ
โลหะการ เพราะประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัด เนื่องจากไม่มั่นใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยส่งผลให้ภาค
อุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตลงเหลือไม่เกินร้อยละ 60 จากเดิมใช้กำลังการผลิตร้อยละ 70 รวมทั้งเริ่มชะลอ
ขยายการลงทุน ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนได้ในไตรมาส 3 นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ราคาก๊าซหุงต้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก ก..ก.ละ 2 บาทในเดือน ก.ค.นี้ ตามแผนที่รัฐบาลประกาศ
ลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม อธิบดีกรมการค้าภายใน ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีแผนจะลอยตัวราคาจำหน่าย
ก๊าซหุงต้ม ซึ่งตามแผนเดิมกำหนดไว้ในเดือน ก.ค.48 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 400 ล้านบาท จะมีผล
ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มปรับเพิ่มขึ้นอีก ก.ก.ละ 2 บาท ว่า หากรัฐบาลลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มจะส่งผลกให้ราคา
จำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดบรรจุ 15 ก.ก.ปรับราคาขึ้นอีกถังละ 30 บาทคือ ปรับจากราคา 252 บาท/ถัง เป็น
282 บาท/ถัง ทั้งนี้ จากการศึกษาผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนจากการลอยตัวก๊าซหุงต้ม พบว่า ครัวเรือนจะมี
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละ 30 บาท หากแต่ละครัวเรือนใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 ก.ก.เดือนละ 1 ถัง อาหารสำเร็จ
รูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง และร้านอาหารตามสั่ง ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.066 บาท/จาน และผลกระทบ
ต่อแท็กซี่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 80 บาท/วัน นอกจากนี้ มีสินค้าที่มีการเสนอขอปรับขึ้นราคาในวันที่ 1 ก.ค.นี้
จำนวน 21 รายการ และมีสินค้าเสนอขอตั้งราคาจำหน่ายจำนวน 11 รายการ (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ราคาน้ำมันชะลอตัวลงจากการขายทำกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ รายงานจากสิงคโปร์
เมื่อ 21 มิ.ย.48 ราคาน้ำมัน light, sweet crude ของ สรอ. ที่มีกำหนดส่งมอบในเดือน ก.ค.48 ลดลง
57 เซนต์ ปิดที่ 58.80 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล หลังจากราคาเพิ่มขึ้น 90 เซนต์ จนทำให้ราคาอยู่ในระดับสูง
สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 59.52 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.48 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาส่งมอบ
ในเดือน ส.ค.48 ที่ลดลง 63 เซนต์ โดยปิดที่ 59.35 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมัน Brent
Crude ที่ตลาดลอนดอนอ่อนตัวลง 50 เซนต์เหลือ 57.82 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุมาจากการขาย
ทำกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ หลังจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในช่วง 4 วันที่ผ่านมา
จากข่าวที่ทำให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมัน เช่น ข่าวการสไตร์คของ พนง.ด้านเทคนิค
จำนวน 500 คนของ Statoil ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของนอร์เวย์ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน
รายใหญ่ระดับที่ 3 ของโลกรองจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับเพิ่มค่าจ้างก่อนครบ
กำหนดสัญญาจ้าง 2 ปีและข่าวการคุกคามสถานทูตของประเทศตะวันตกในเมือง Lagos ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของ
ไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับที่ 8 ของโลกโดยมี สรอ.เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ อย่างไรก็ดี
สรอ.ได้เปิดสถานทูตใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.48 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 12 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล
หรือร้อยละ 26 ในช่วงเดือนที่ผ่านมาจากการเก็งกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ที่คาดว่าน้ำมันจะขาดแคลนในฤดู
หนาวปลายปีนี้ กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือ OPEC กำลังพิจารณาเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันอีก 500,000
บาร์เรลต่อวันหากราคาน้ำมันยังไม่ลดลงซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองในคลังน้ำมันของโรงกลั่น
เพิ่มขึ้นหากกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่นยังไม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีคาดว่าปริมาณน้ำมันสำรองในคลัง
น้ำมันของโรงกลั่นได้ลดลงแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบรรดาโรงกลั่นได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับปริมาณ
ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ลดลงในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย.48 รายงานจากนิวยอร์ก
เมื่อ 21 มิ.ย.48 The ABC News/Washington Post เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สรอ. (Consumer Comfort Index) ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย.48 ว่า ลดลงที่ระดับ —10 จากระดับ —9
ในสัปดาห์ก่อนหน้า นับเป็นการลดลงหลังจากที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน สาเหตุจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคง
ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.16 ดอลลาร์ สรอ.ต่อแกลลอน โดยส่วนประกอบหลัก 2 ใน 3 ตัวได้ลดลง คือสัด
ส่วนของผู้บริโภคที่มีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมลดลงที่ระดับร้อยละ 38 จากร้อยละ 39 และสัดส่วน
ของผู้บริโภคที่มีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะการเงินส่วนตัวลดลงที่ระดับร้อยละ 58 จากร้อยละ 59 ขณะที่สัดส่วนผู้บริโภค
ที่มีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของตนเองไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับร้อยละ 39 (รอยเตอร์)
3. การอ่อนค่าของเงินยูโรและการเลือกตั้งสร้างความหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจเยอรมนี
รายงานจาก เบอร์ลิน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย 48 สถาบันทางเศรษฐกิจ ZEW คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจเยอรมนีในเดือนมิ.ย. จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 19.5 จากระดับ 13.9 ในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ
3 เดือนนับตั้งแต่เดือนเม.ย. อย่างไรก็ตามก็ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่อยู่ที่ระดับประมาณ 34 และแต่สูงกว่าผลการ
สำรวจของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 17.5 เนื่อง
จากได้รับแรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าลงอย่างมากของเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. โดยการสำรวจล่าสุด
ของ ZEW เงินยูโรอ่อนค่าลงถึง 5 เซนต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. และความหวังว่าจะมีการปฎิรูป
เศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์วิตกว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะ
เป็นอุปสรรคดังกล่าว ทั้งนี้สัญญานของความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจเด่นชัดขึ้นในยุโรปโดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคใน
ฝรั่งเศสที่เคยขยายตัวอย่างมากกลับลดลงถึงร้อยละ 0.9 ในเดือนพ.ค. เกือบเป็น 2 เท่าของที่คาดไว้ ส่วนใน
สวีเดนความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้ธ.กลางสวีเดนตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลงโดยทันทีร้อยละ 0.50 อยู่ที่ร้อยละ 1.50 และเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามนัก
เศรษฐศาสตร์ยังคงเชื่อว่าเยอรมนีที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 จากที่
ขยายตัวร้อยละ 1.0 ในไตรมาสแรก (รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน พ.ค.48 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศ
ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.48 ข้อมูลของทางการแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าในเดือน พ.ค.48 อยู่ที่
ระดับ 297.0 พันล้านเยน (2.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 68.3 จากปีก่อน นับเป็นการลดลงครั้ง
ที่ 4 ในรอบ 5 เดือน และลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 510 พันล้านเยน สาเหตุ
จากการส่งออกไปจีนลดลง รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้การนำเข้าขยายตัวเกินจริง โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 1.4 จากปีก่อน เทียบกับที่มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เนื่องจากการส่งออกไปจีนที่เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่และเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 0.1 ซึ่ง
การส่งออกไปจีนในเดือน ก.พ.48 เริ่มลดลงไปครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่เวลานั้นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอาจจะ
เป็นผลกระทบจากเทศกาลวันตรุษจีน ทั้งนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการส่งออกไปจีนที่มีสัดส่วนร้อยละ 13 ของการส่ง
ออกทั่วโลกของญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 2 รองจากการส่งออกไป สรอ. ที่มีสัดส่วนร้อยละ 22 เริ่มชะลอตัวลงในปีนี้
จากการที่จีนเริ่มควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจจีนเติบโตร้อนแรงเกินไป ทำให้ความต้องการเครื่องจักรและวัตถุดิบในการ
ผลิตลดลง ซึ่งการส่งออกที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วง 3
เดือนแรกปีนี้จะขยายตัวได้ดีจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า
การส่งออกที่ขยายตัวและกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวได้แบบยั่งยืน ทั้งนี้
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 1.2 จากปีก่อน เนื่องจากมีการใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มขึ้น
และการบริโภคของประชาชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่ความต้องการบริโภคภายนอกประเทศอ่อนตัวลงทำให้
เศรษฐกิจขยายตัวลดลง 3 ไตรมาสติดต่อกัน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 มิ.ย. 48 21 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.191 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 9808/41.2717 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5200-2.53125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 689.64/18.19 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.98 52.51 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 23.74*/19.79** 23.74*/19.79** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 21 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 21 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยอมรับขณะนี้ต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนค่ามากเกินไป น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้
ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ว่า ธปท.ต้องเข้าไป
ดูแล เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น โดยขณะนี้มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากบัญชี
non-resident ในตลาด off shore อันเป็นผลมาจากตลาดคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปอีก นักลงทุน
จึงกู้เงินบาทเพื่อมาซื้อดอลลาร์ สรอ.เก็บไว้มากขึ้น สะท้อนให้เห็นได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายอัตราแลก
เปลี่ยน (swap premium) ที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอย่างต่อ
เนื่องนั้น คือ เรื่องของฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีการขาดดุลเป็นจำนวน
3,108 ล้านดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
2. บล.ภัทรประเมิน ธปท.ใช้ทุนสำรองแทรกแซงตลาดเงินประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
บล.ภัทรเผยแพร่บทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดในเรื่อง “อินไซเดอร์ในไทย : ความกังวลค่าเงินบาท” ระบุ
ว่าการแทรกแซงตลาดเงินเพื่อป้องกันบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจาก
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ทุนสำรองประมาณ 3-4 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. แทรกแซงตลาดเงินไป
แล้ว โดย บล.ภัทรเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทางการไทยจำเป็นต้องผ่อนคลายแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมัน
ดีเซลปรับขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงผู้บริโภค ทั้งนี้ บทวิเคราะห์เชื่อว่า ธปท.ต้องการจะปกป้องเงินบาทไม่ให้อ่อน
ค่ามากเกินไปในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า และมีเจตนาจะใช้ทุนสำรองที่มีมากพอเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
(กรุงเทพธุรกิจ)
3. กรมสรรพากรคาดว่าจะจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 48 ได้ถึง 950,000 ล้านบาท รองอธิบดีกรม
สรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรคาดว่าจะจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 48 ได้ถึง 950,000 ล้านบาท จากที่ตั้ง
เป้าหมายไว้ 820,000 ล้านบาท เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ภาษี
มูลค่าเพิ่มที่ยังจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี ซึ่งสะท้อนออกมายังภาษี
อากรแสตมป์ที่ยังจัดเก็บได้ในเกณฑ์ดี โดยในช่วง 7 เดือนของปีงบประมาณ 48 กรมจัดเก็บภาษีได้แล้ว 41,000
ล้านบาท ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 49 กรมตั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษีไว้ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท (เดลินิวส์, มติชน)
4. ภาคอุตสาหกรรมลดกำลังการผลิตลงเหลือไม่เกินร้อยละ 60 รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 30-50 จาก
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว วิกฤติราคาพลังงานทั้งไฟฟ้า และน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ตลอด
จนการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบทั้งเหล็ก ทองแดง ปิโตรเคมี พลาสติก ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับ
ขึ้นราคาสินค้าเพื่อให้สะท้อนต้นทุนแท้จริง นอกจากนี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ
หดตัวลง โดยยอดสั่งซื้อสินค้าเดือน มิ.ย.นี้ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 30 ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า และ
โลหะการ เพราะประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัด เนื่องจากไม่มั่นใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยส่งผลให้ภาค
อุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตลงเหลือไม่เกินร้อยละ 60 จากเดิมใช้กำลังการผลิตร้อยละ 70 รวมทั้งเริ่มชะลอ
ขยายการลงทุน ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนได้ในไตรมาส 3 นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
5. ราคาก๊าซหุงต้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก ก..ก.ละ 2 บาทในเดือน ก.ค.นี้ ตามแผนที่รัฐบาลประกาศ
ลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม อธิบดีกรมการค้าภายใน ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลมีแผนจะลอยตัวราคาจำหน่าย
ก๊าซหุงต้ม ซึ่งตามแผนเดิมกำหนดไว้ในเดือน ก.ค.48 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 400 ล้านบาท จะมีผล
ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มปรับเพิ่มขึ้นอีก ก.ก.ละ 2 บาท ว่า หากรัฐบาลลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มจะส่งผลกให้ราคา
จำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดบรรจุ 15 ก.ก.ปรับราคาขึ้นอีกถังละ 30 บาทคือ ปรับจากราคา 252 บาท/ถัง เป็น
282 บาท/ถัง ทั้งนี้ จากการศึกษาผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนจากการลอยตัวก๊าซหุงต้ม พบว่า ครัวเรือนจะมี
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละ 30 บาท หากแต่ละครัวเรือนใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 ก.ก.เดือนละ 1 ถัง อาหารสำเร็จ
รูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง และร้านอาหารตามสั่ง ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.066 บาท/จาน และผลกระทบ
ต่อแท็กซี่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 80 บาท/วัน นอกจากนี้ มีสินค้าที่มีการเสนอขอปรับขึ้นราคาในวันที่ 1 ก.ค.นี้
จำนวน 21 รายการ และมีสินค้าเสนอขอตั้งราคาจำหน่ายจำนวน 11 รายการ (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ราคาน้ำมันชะลอตัวลงจากการขายทำกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ รายงานจากสิงคโปร์
เมื่อ 21 มิ.ย.48 ราคาน้ำมัน light, sweet crude ของ สรอ. ที่มีกำหนดส่งมอบในเดือน ก.ค.48 ลดลง
57 เซนต์ ปิดที่ 58.80 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล หลังจากราคาเพิ่มขึ้น 90 เซนต์ จนทำให้ราคาอยู่ในระดับสูง
สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 59.52 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.48 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาส่งมอบ
ในเดือน ส.ค.48 ที่ลดลง 63 เซนต์ โดยปิดที่ 59.35 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมัน Brent
Crude ที่ตลาดลอนดอนอ่อนตัวลง 50 เซนต์เหลือ 57.82 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุมาจากการขาย
ทำกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ หลังจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในช่วง 4 วันที่ผ่านมา
จากข่าวที่ทำให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมัน เช่น ข่าวการสไตร์คของ พนง.ด้านเทคนิค
จำนวน 500 คนของ Statoil ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของนอร์เวย์ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน
รายใหญ่ระดับที่ 3 ของโลกรองจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับเพิ่มค่าจ้างก่อนครบ
กำหนดสัญญาจ้าง 2 ปีและข่าวการคุกคามสถานทูตของประเทศตะวันตกในเมือง Lagos ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของ
ไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับที่ 8 ของโลกโดยมี สรอ.เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ อย่างไรก็ดี
สรอ.ได้เปิดสถานทูตใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.48 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 12 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล
หรือร้อยละ 26 ในช่วงเดือนที่ผ่านมาจากการเก็งกำไรของบรรดากองทุนเฮ็จฟันด์ที่คาดว่าน้ำมันจะขาดแคลนในฤดู
หนาวปลายปีนี้ กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือ OPEC กำลังพิจารณาเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันอีก 500,000
บาร์เรลต่อวันหากราคาน้ำมันยังไม่ลดลงซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองในคลังน้ำมันของโรงกลั่น
เพิ่มขึ้นหากกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่นยังไม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีคาดว่าปริมาณน้ำมันสำรองในคลัง
น้ำมันของโรงกลั่นได้ลดลงแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบรรดาโรงกลั่นได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับปริมาณ
ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ลดลงในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย.48 รายงานจากนิวยอร์ก
เมื่อ 21 มิ.ย.48 The ABC News/Washington Post เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สรอ. (Consumer Comfort Index) ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย.48 ว่า ลดลงที่ระดับ —10 จากระดับ —9
ในสัปดาห์ก่อนหน้า นับเป็นการลดลงหลังจากที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน สาเหตุจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคง
ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.16 ดอลลาร์ สรอ.ต่อแกลลอน โดยส่วนประกอบหลัก 2 ใน 3 ตัวได้ลดลง คือสัด
ส่วนของผู้บริโภคที่มีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมลดลงที่ระดับร้อยละ 38 จากร้อยละ 39 และสัดส่วน
ของผู้บริโภคที่มีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะการเงินส่วนตัวลดลงที่ระดับร้อยละ 58 จากร้อยละ 59 ขณะที่สัดส่วนผู้บริโภค
ที่มีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของตนเองไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับร้อยละ 39 (รอยเตอร์)
3. การอ่อนค่าของเงินยูโรและการเลือกตั้งสร้างความหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจเยอรมนี
รายงานจาก เบอร์ลิน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย 48 สถาบันทางเศรษฐกิจ ZEW คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจเยอรมนีในเดือนมิ.ย. จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 19.5 จากระดับ 13.9 ในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ
3 เดือนนับตั้งแต่เดือนเม.ย. อย่างไรก็ตามก็ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่อยู่ที่ระดับประมาณ 34 และแต่สูงกว่าผลการ
สำรวจของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดว่าความเชื่อมั่นของธุรกิจดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 17.5 เนื่อง
จากได้รับแรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าลงอย่างมากของเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. โดยการสำรวจล่าสุด
ของ ZEW เงินยูโรอ่อนค่าลงถึง 5 เซนต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. และความหวังว่าจะมีการปฎิรูป
เศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์วิตกว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะ
เป็นอุปสรรคดังกล่าว ทั้งนี้สัญญานของความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจเด่นชัดขึ้นในยุโรปโดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคใน
ฝรั่งเศสที่เคยขยายตัวอย่างมากกลับลดลงถึงร้อยละ 0.9 ในเดือนพ.ค. เกือบเป็น 2 เท่าของที่คาดไว้ ส่วนใน
สวีเดนความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้ธ.กลางสวีเดนตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลงโดยทันทีร้อยละ 0.50 อยู่ที่ร้อยละ 1.50 และเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามนัก
เศรษฐศาสตร์ยังคงเชื่อว่าเยอรมนีที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 จากที่
ขยายตัวร้อยละ 1.0 ในไตรมาสแรก (รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าเดือน พ.ค.48 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศ
ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.48 ข้อมูลของทางการแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าในเดือน พ.ค.48 อยู่ที่
ระดับ 297.0 พันล้านเยน (2.74 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 68.3 จากปีก่อน นับเป็นการลดลงครั้ง
ที่ 4 ในรอบ 5 เดือน และลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 510 พันล้านเยน สาเหตุ
จากการส่งออกไปจีนลดลง รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้การนำเข้าขยายตัวเกินจริง โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อย
ละ 1.4 จากปีก่อน เทียบกับที่มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เนื่องจากการส่งออกไปจีนที่เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่และเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 0.1 ซึ่ง
การส่งออกไปจีนในเดือน ก.พ.48 เริ่มลดลงไปครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่เวลานั้นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอาจจะ
เป็นผลกระทบจากเทศกาลวันตรุษจีน ทั้งนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการส่งออกไปจีนที่มีสัดส่วนร้อยละ 13 ของการส่ง
ออกทั่วโลกของญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 2 รองจากการส่งออกไป สรอ. ที่มีสัดส่วนร้อยละ 22 เริ่มชะลอตัวลงในปีนี้
จากการที่จีนเริ่มควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจจีนเติบโตร้อนแรงเกินไป ทำให้ความต้องการเครื่องจักรและวัตถุดิบในการ
ผลิตลดลง ซึ่งการส่งออกที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วง 3
เดือนแรกปีนี้จะขยายตัวได้ดีจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า
การส่งออกที่ขยายตัวและกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวได้แบบยั่งยืน ทั้งนี้
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 1.2 จากปีก่อน เนื่องจากมีการใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มขึ้น
และการบริโภคของประชาชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่ความต้องการบริโภคภายนอกประเทศอ่อนตัวลงทำให้
เศรษฐกิจขยายตัวลดลง 3 ไตรมาสติดต่อกัน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 มิ.ย. 48 21 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.191 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40. 9808/41.2717 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.5200-2.53125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 689.64/18.19 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.98 52.51 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 23.74*/19.79** 23.74*/19.79** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 21 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 21 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--