นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 โดยตั้งข้อสังเกตถึงประมาณการรายรับว่ามีประสิทธิภาพจัดเก็บได้จริงหรือไม่ อีกทั้งยุทธศาสตร์ในการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลตามที่รัฐบาลประกาศหรือไม่ งบประมาณปีนี้กำหนดส่วนสำคัญๆ คือ 1.งบประมาณที่เป็นงบประจำ และ 2.งบประมาณที่เป็นงบลงทุน ซึ่งเป็นงบประมาณที่จะเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง แต่เมื่อดูจากงบประมาณปีที่ผ่านๆมา ดูตัวเลขจากกระทรวงการคลังซึ่งเป็นตัวเลขของราชการ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยราชการต่างๆ ซึ่งกระทำโดยกรมบัญชีกลาง จะเห็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นงบลงทุน
ที่น่าสนใจคือยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาสังคม แก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิต และยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศชาติ ในปี 2547 ได้ใช้งบประมาณไป 1 ล้านกว่าบาท สัมฤทธิ์ผลตามที่ประสงค์หรือเปล่าหรือเบิกจ่ายงบประมาณเป็นอย่างไร ขณะนี้งบประมาณค่าใช้จ่ายจ่ายไปได้เพียงแค่ประมาณ 30 — 40% ทั้งที่เหลืออีก 3-4 เดือนจะสิ้นปีงบประมาณ งบลงทุนเหล่านี้คือส่วนที่จะตกถึงประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการหรือการแก้ไขปัญหา แทบจะไม่ได้จ่ายเลย เฉพาะงบของสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 506 ล้านบาท แต่สำนักนายกรัฐมนตรีที่มีภาระสำคัญต่อประชาชนหลาย ๆ เรื่อง เพิ่งจ่ายงบประมาณไปเพียงแค่ 7,160,000 บาท อัตราการเบิกจ่าย 1.2% ส่วนที่เกี่ยวกับกรมประชาสัมพันธ์มีงบ 103 ล้านบาท จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีการเบิกจ่ายจริง เพราะฉะนั้นงบลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอยู่ตรงไหน ถือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ส.ส.กระบี่กล่าวว่า การเบิกจ่ายเงินในกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลคุณภาพชีวิตและประโยชน์ของประชาชน อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น มีการตั้งงบไว้จำนวนมาก แต่มีการเบิกจ่ายเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนน้อย หรือบางหน่วยงานแทบจะไม่มีการจ่ายงบประมาณเลย เช่น สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีงบลงทุนอยู่ 529,940,000 บาท แต่เบิกจ่ายไปเพียงแค่ 79 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจะสนองในประเด็นปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับด้านการกีฬา หรือการท่องเที่ยว แทบจะมองไม่เห็นเลย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งงบประมาณน้อยมากอย่างน่าเป็นห่วง แต่ที่น่าห่วงกว่าคือแทบจะไม่ได้จ่ายเลย ตัวอย่าง สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เราตั้งงบประมาณปีที่แล้วเพียง 7 แสนบาท ทุกคนพูดในสภาว่ามีงบเพียงแค่ 700,000 บาทเท่านั้นเองหรือ แต่จนถึงขณะนี้มีการเบิกจ่ายเพียงแค่ 10,000 บาท สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้สูงอายุ มีงบ 19 ล้านกว่าบาท ขณะนี้สำนักงบประมาณอนุมัติงบเกือบหมดแล้ว แต่ไม่มีการเบิกจ่าย งบประมาณปี 2547 กับปี 2548 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เกือบจะสิ้นปีงบประมาณแล้ว รัฐบาลทำอะไรอยู่กับงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ จึงไม่มีงบลงทุนสักบาทเดียว ซึ่งยังมีอีกหลายหน่วยงานที่เกิดปัญหาเช่นนี้
นอกจากนั้นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้ง 8 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลปกครอง ปปช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมาหน่วยงานเหล่านี้ไม่มีงบลงทุนให้เลยสักบาทเดียว
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมพูดว่าเราเสียเวลาพูดกันห้องนี้เยอะเหลือเกินเลิศหรูสวยงามในเรื่องต่าง ๆ แต่ปัญหาเกิดจากอะไร อัตราการเบิกจ่ายล่าช้า เหล่านี้เราโทษราชการ เราบอกว่าข้าราชการไม่ทำงาน เราบอกว่าเงินค้างท่อ อย่างที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ผมอยากถามว่ามันมีเงินค้างท่ออยู่จริงหรือเปล่าหรือไม่มีเงินในท่อเลย ถ้าเวลานี้งบลงทุนลงยังค้างอยู่แสนกว่าล้านเกือบ 2 แสนล้าน ถ้ามันไม่มีอยู่ในท่อมันไปอยู่ที่ไหน” นายพิเชษฐ์กล่าว
นายพิเชษฐ์กล่าวต่อว่า เมื่อมาดูเงินคงคลังของรัฐบาลนี้ ปี 48 เดือนมกราคมมี 45,000 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ มี 44,000ล้านบาท คำนวณแล้วมันจ่ายงบประมาณได้เพียงแค่ไม่เกินงบที่เป็นงบประจำไม่ถึง 2 สัปดาห์ เมื่อเงินในลิ้นชักมันมีอยู่เพียงแค่นี้ สำรองจ่ายงบประจำได้เพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุน เพราะเงินมันไม่มี ถ้าเงินไม่มีอยู่ในท่อ ไม่มีอยู่ในลิ้นชัก แล้วไปอยู่ตรงไหน ดังนั้นก็น่าสงสัยว่าประมาณการรายรับที่ทำมานี้ ไม่มีรายรับเข้ามาจริงหรือเปล่า ถ้ามีจริงเงินอยู่ที่ไหนเงิน 170,000 กว่าล้าน นี่คือสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูดด้วยความเป็นห่วง
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า รัฐบาลพยายามคิดว่าต้องให้โอกาสคนจน ด้วยการส่งเสริมกระตุ้นให้เขาเป็นหนี้ แต่ตนถือว่าในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีคนต้องประหยัด ต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การจะแก้ปัญหาของคนจนในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นเกษตรกร ต้องทำ 2 อย่าง คือ 1 เพิ่มรายได้ให้กับเขา และ 2 เอารายได้ของเขาไปลดหนี้สินของเขา เพราะถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีหนีสิ้น รายได้จะมากน้อยแค่ไหนเขาก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่หนี้สินเพิ่มขึ้นทุกวัน เชื่อเถอะว่าอัตราก้าวหน้าของรายได้ไม่มีทางทันอัตราก้าวหน้าของหนี้สิน และคนเหล่านี้จะถูกกวาดลงหุบเหวในวันข้างหน้า
นอกจากนั้น ส.ส.กระบี่ ยังชี้ให้เห็นถึงงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุสึนามิ เนื่องจากที่ผ่านมาครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ อย่างน้อย 11 ครั้ง เป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท แต่เงินงบประมาณที่ลงไปถึงผู้ประสบภัยสึนามีน้อยมาก แค่ประมาณ 10% 6 เดือนที่ผ่านมา คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ในสภาพอย่างไร รัฐบาลควรดูแล อย่าพูดหว่านคำหวาน เพื่อให้ชาวบ้านคล้อยตาม แต่ไม่มีการปฏิบัติจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2548--จบ--
ที่น่าสนใจคือยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาสังคม แก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิต และยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศชาติ ในปี 2547 ได้ใช้งบประมาณไป 1 ล้านกว่าบาท สัมฤทธิ์ผลตามที่ประสงค์หรือเปล่าหรือเบิกจ่ายงบประมาณเป็นอย่างไร ขณะนี้งบประมาณค่าใช้จ่ายจ่ายไปได้เพียงแค่ประมาณ 30 — 40% ทั้งที่เหลืออีก 3-4 เดือนจะสิ้นปีงบประมาณ งบลงทุนเหล่านี้คือส่วนที่จะตกถึงประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการหรือการแก้ไขปัญหา แทบจะไม่ได้จ่ายเลย เฉพาะงบของสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 506 ล้านบาท แต่สำนักนายกรัฐมนตรีที่มีภาระสำคัญต่อประชาชนหลาย ๆ เรื่อง เพิ่งจ่ายงบประมาณไปเพียงแค่ 7,160,000 บาท อัตราการเบิกจ่าย 1.2% ส่วนที่เกี่ยวกับกรมประชาสัมพันธ์มีงบ 103 ล้านบาท จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีการเบิกจ่ายจริง เพราะฉะนั้นงบลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอยู่ตรงไหน ถือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ส.ส.กระบี่กล่าวว่า การเบิกจ่ายเงินในกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลคุณภาพชีวิตและประโยชน์ของประชาชน อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น มีการตั้งงบไว้จำนวนมาก แต่มีการเบิกจ่ายเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนน้อย หรือบางหน่วยงานแทบจะไม่มีการจ่ายงบประมาณเลย เช่น สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีงบลงทุนอยู่ 529,940,000 บาท แต่เบิกจ่ายไปเพียงแค่ 79 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจะสนองในประเด็นปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับด้านการกีฬา หรือการท่องเที่ยว แทบจะมองไม่เห็นเลย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งงบประมาณน้อยมากอย่างน่าเป็นห่วง แต่ที่น่าห่วงกว่าคือแทบจะไม่ได้จ่ายเลย ตัวอย่าง สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เราตั้งงบประมาณปีที่แล้วเพียง 7 แสนบาท ทุกคนพูดในสภาว่ามีงบเพียงแค่ 700,000 บาทเท่านั้นเองหรือ แต่จนถึงขณะนี้มีการเบิกจ่ายเพียงแค่ 10,000 บาท สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้สูงอายุ มีงบ 19 ล้านกว่าบาท ขณะนี้สำนักงบประมาณอนุมัติงบเกือบหมดแล้ว แต่ไม่มีการเบิกจ่าย งบประมาณปี 2547 กับปี 2548 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เกือบจะสิ้นปีงบประมาณแล้ว รัฐบาลทำอะไรอยู่กับงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ จึงไม่มีงบลงทุนสักบาทเดียว ซึ่งยังมีอีกหลายหน่วยงานที่เกิดปัญหาเช่นนี้
นอกจากนั้นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้ง 8 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลปกครอง ปปช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมาหน่วยงานเหล่านี้ไม่มีงบลงทุนให้เลยสักบาทเดียว
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมพูดว่าเราเสียเวลาพูดกันห้องนี้เยอะเหลือเกินเลิศหรูสวยงามในเรื่องต่าง ๆ แต่ปัญหาเกิดจากอะไร อัตราการเบิกจ่ายล่าช้า เหล่านี้เราโทษราชการ เราบอกว่าข้าราชการไม่ทำงาน เราบอกว่าเงินค้างท่อ อย่างที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ผมอยากถามว่ามันมีเงินค้างท่ออยู่จริงหรือเปล่าหรือไม่มีเงินในท่อเลย ถ้าเวลานี้งบลงทุนลงยังค้างอยู่แสนกว่าล้านเกือบ 2 แสนล้าน ถ้ามันไม่มีอยู่ในท่อมันไปอยู่ที่ไหน” นายพิเชษฐ์กล่าว
นายพิเชษฐ์กล่าวต่อว่า เมื่อมาดูเงินคงคลังของรัฐบาลนี้ ปี 48 เดือนมกราคมมี 45,000 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ มี 44,000ล้านบาท คำนวณแล้วมันจ่ายงบประมาณได้เพียงแค่ไม่เกินงบที่เป็นงบประจำไม่ถึง 2 สัปดาห์ เมื่อเงินในลิ้นชักมันมีอยู่เพียงแค่นี้ สำรองจ่ายงบประจำได้เพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุน เพราะเงินมันไม่มี ถ้าเงินไม่มีอยู่ในท่อ ไม่มีอยู่ในลิ้นชัก แล้วไปอยู่ตรงไหน ดังนั้นก็น่าสงสัยว่าประมาณการรายรับที่ทำมานี้ ไม่มีรายรับเข้ามาจริงหรือเปล่า ถ้ามีจริงเงินอยู่ที่ไหนเงิน 170,000 กว่าล้าน นี่คือสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูดด้วยความเป็นห่วง
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า รัฐบาลพยายามคิดว่าต้องให้โอกาสคนจน ด้วยการส่งเสริมกระตุ้นให้เขาเป็นหนี้ แต่ตนถือว่าในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีคนต้องประหยัด ต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การจะแก้ปัญหาของคนจนในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นเกษตรกร ต้องทำ 2 อย่าง คือ 1 เพิ่มรายได้ให้กับเขา และ 2 เอารายได้ของเขาไปลดหนี้สินของเขา เพราะถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีหนีสิ้น รายได้จะมากน้อยแค่ไหนเขาก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่หนี้สินเพิ่มขึ้นทุกวัน เชื่อเถอะว่าอัตราก้าวหน้าของรายได้ไม่มีทางทันอัตราก้าวหน้าของหนี้สิน และคนเหล่านี้จะถูกกวาดลงหุบเหวในวันข้างหน้า
นอกจากนั้น ส.ส.กระบี่ ยังชี้ให้เห็นถึงงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุสึนามิ เนื่องจากที่ผ่านมาครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ อย่างน้อย 11 ครั้ง เป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท แต่เงินงบประมาณที่ลงไปถึงผู้ประสบภัยสึนามีน้อยมาก แค่ประมาณ 10% 6 เดือนที่ผ่านมา คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ในสภาพอย่างไร รัฐบาลควรดูแล อย่าพูดหว่านคำหวาน เพื่อให้ชาวบ้านคล้อยตาม แต่ไม่มีการปฏิบัติจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2548--จบ--