ดร.อรัญ ธรรมโนอดีตปลัดกระทรวงการคลังแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า ถ้าปัญหาเห่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้เหมาะสมแล้วประเทศเราจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย ด้านความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างยั่ยืนและยุติธรรม ปัญหาสำคัญๆ 7 ปัญหา ซึ่งจะฝากความหวังไปถึงรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาแก้ไข คือ
1. ปัญหาหนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคีอหนี้ภาครัฐ สำหรับประเทศไทยคงได้แก่ หนี้ที่รัฐบาลกู้มาโดยตรง หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ในเมื่อวันที่ 30มิถุนายน2543 มีจำนวนประมาณ 2.645ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.1ของจีดีพี กระทรวงการคลังได้ตั้ง สำนักบริหารหนี้สาธารณะเพื่อดูแลการบริหารหนี้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หนี้สาธารณะ จำนวนดังกล่าวเป็นภาระในการบริหาร การชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย อีกทั้งเป็นสาเหตุทำให้ รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคในการเลื่อนอันดับตราสารหนี้ ของประเทศและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินเอกชนในประเทศ ยังผลให้การลงทุนของ ต่างชาติในประเทศไทยน้อยและ ต้นทุนการกู้เงินในตลาดต่างประเทศของประเทศไทยลดลงไม่ได้
รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องแถลงแนวนโบายในการบริหารหนี้สาธารณะโดยมีแผนและระยะเวลาที่ชัดเจน นอกจากนี้ การกันไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นรวดเร็วใน ระยะยาว รัฐบาลไม่ควรรับภาระประกันเงินฝากในระบบสถาบันการเงินทั้งจำนวนตลอดไป
2. ปัญหาความมั่นคงทางสถาบันการเงิน
ก่อนเกิดวิกฤต มีธนาคารพาณิชย์ไทย 15แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 20แห่ง ปัจจุบันเหลือ ธนาคารพาณิชย์ไทย 9แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 21แห่ง ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของต่างประเทศ 4แห่ง วิกฤตในปี 2538 ทำให้ธนาคารไทยหลายแห่งล้ม ประสบกับการขาดทุนจำนวนมหาศาล มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จำนวนมาก ราคาหุ้นของธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ของธนาคารก่อนเกิดวิกฤต
ธนาคารต้องเพิ่มทุนด้วยวิธีต่างๆแต่ยังมีปัญหาแหล่งเงินเพิ่มทุนและวิธีการเพิ่มทุน นอกจากนี้เกิดการแข่งขันลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเนื่องจากไม่กล้าหรือไม่สามารถปล่อยสินเชื่อ น่าเป็นห่วงว่า สถาบันการเงินไทยจะตกอยู่ในมือต่างชาติน่าจะเป็นปัญหาความมั่นคงด้านต่างๆในระยะยาว รัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือฟื้นฟู ปรับโครงสร้างการกำกับสถบันการเงินให้เข้าสู่มาตรฐานสากลมากขึ้น
รัฐบาลคณะใหม่ควรมีนโยบาย และมาตรการที่ชัดเจนในการสร้างความมั่นคงแก่ ระบบสถาบันการเงินไทย มาตรการฟื้นฟูพร้อมกำหนดระยะเวลาให้เหมาะ รวมถึงแถลงว่ามาตรการฟื้นฟูดังกล่าวจะเกิดประโยชน์และต้นทุนต่อสังคมมากน้อยเพียงใด
3. ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL
หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 มีจำนวน 1.59ล้านล้านบาท หรือร้อยละ31.24ของสินเชื่อรวม การมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในสัดส่วนสูง ก่อให้เกิดปัญหาขาดความมั่นคงในสถาบันทางการเงิน ทำให้สถาบันทางการเงินทั้งใน และต่างประเทศไม่กล้าปล่อยเครดิต และทำให้ผู้ที่สนใจมาลงทุนในไทยไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน รัฐบาลได้เข้ามาแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง ได้มีการออกกฎหมายสำคัญๆที่จำเป็นในการแก้ปัญหา ได้มีการปรับปรุงโครงสร้าง องค์กรที่รับผิดชอบในด้านการแก้ไขปัญหาทุกระดับ ได้มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อบรรเทาภาระของลูกหนี้ แต่การแก้ไขปัญหานี้ ไม่สามารถดำเนินไปได้เป็นผลสำเร็จตามที่ควรจะเป็น
แนวแก้ปัญหา NPL ต้องคำนึงถึงโครงสร้างและที่มาที่แท้จริงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และคำนึงถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจแทบทุกประเทศในไทยที่อาศัยเงินกู้มากเกินไปด้วย การแก้ไขปัญหาของแต่ละประเทศควรได้พิจารณาถึงปัจจัย สภาพแวดล้อมของปัญหาในประเทศนั้นๆ
รัฐบาลใหม่จะต้องหาวิธีการดูแลให้วัฒนธรรมในการชำระหนี้ ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในระยะ 2-3ปีที่ผ่านมา "อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล"มิฉะนั้นกระบวนการ ให้เครดิตหรือสินเชื่อในอนาคต ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลงทุนและสร้างความเจริญ จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ปัญหาสิ่งก่อสร้างที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์
ประเทศไทยเป็นประเทศยากจน มีทรัพยากรจำกัด แต่ขณะเดียวกันเราก็มีทรัพย์สิน ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ มีการก่อสร้างค้างคาอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นการศูนย์เปล่ารัฐบาลควรจะมีแนวคิดหรือมาตราการที่จะดูแลให้มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้เต็มที่เสียก่อน เริ่มโครงการใหม่ รัฐบาลจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างใช้เท่าไรให้ชัดเจน ทันสมัยจะได้เป็น ประโยชน์แก่ภาคเอกชนในการวางแผนลงทุนใหม่ รัฐบาลไม่ควรลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางยกระดับ ทางด่น โทรคมนาคม อีกระยะหนึ่งอย่างน้อย จนสิ้นปีพ.ศ.2549 ควรมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับโครงการ HOPEWELL ไม่สร้างถนนขึ้นมาเป็นการเพิ่มการแข่งขันกับระบบที่มีอยู่แล้ว
5. ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบปัญหาตกต่ำอย่างรุนแรงจนปัจจุบันไม่มีความสำคัญ เหลือในสายตานักลงทุนในประเทศ ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำทำให้ การระดมทุน เพื่อขยายกิจการหรือเริ่มกิจการใหม่ทำได้ยาก เลื่อนแผนการ PRIVATIZATION สำหรับรัฐวิสาหกิจสำคัญออกไป ไม่สามารถดึงการลงทุนที่แท้จริงจากต่างชาติให้เข้ามาลง ทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ แม้ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำเป็นปัญหาของภาคเอกชน แต่รัฐจำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาหรือแนะหนทางแก้ไข มิฉะนั้นแล้วหนทางฟื้นฟู ตลาดหลักทรัพย์จะทำได้ยากยิ่งหากปล่อยให้ตลาดหลักทรัพย์ซบเซาไปอีกระยะหนึ่ง หน่วยงานกำกับและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูตลาดหลักทรัพย์อยู่บนพื้นฐานประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
6. ปัญหาเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจใหม่เป็นเศรษฐกิจที่อาศัยทัศนคติและแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าและบริการ ด้วยวิธีการใหม่พร้อมทั้งหาทางจูงใจผู้บริโภคให้เกิดความต้องการใหม่ในสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้น เป็นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในระยะที่เงินทุนหาได้ไม่ยาก เงินทุนจึงสำคัญน้อยกว่าแนวคิด รัฐบาลชุดใหม่จึงควรชี้แจงให้เข้าใจชัดแจ้งเกี่ยวกับเศรษฐกิจใหม่และกลไกต่างๆที่เกี่ยงข้อง ผลดีและเสีย ผลกระทบทั้งในกรณีที่เราจะเข้าไปเป็นผู้เล่นจริงจังในตลาดดังกล่าวหรือไม่ได้เข้าไป ร่วมอย่างเต็มที่ รัฐบาลควรเตรียมการทุกด้านให้สอดคล้องกัน ให้เราได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จาก เศรษฐกิจใหม่ให้ได้ โดยที่หลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่เหมาะสมของตลาดดังกล่าว
7. ปัญหาการบริหารที่ยังขาดระบบ “ธรรมาภิบาล วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้มีการตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารในระบบธรรมาภิบาล หรือ GOOD GOVERNANCE คำว่า “ธรรมาภิบาล” โดยรวมมีความหมายว่า การบริหารจัดการบ้านเมือง สังคม องค์กร สถาบัน หรือธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความเปิดเผยโปร่งใส่ ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ ความชอบธรรมยุติธรรม ความมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมเป็นการทั่วไป
ในภาคราชการก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะวิกฤตครั้งนี้ และทำให้กระบวนการแก้ไข ภาวะวิกฤตไม่สำเร็จเท่าที่ควรและก่อให้เกิดต้นทุนอย่างมหาศาลแก่สังคม รัฐบาลจะต้องตระหนักว่า การดำเนินการตามนโยบายที่จะวางไว้หรือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ไม่มีวันจะสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าขาดการปรับปรุงและพัฒนาระบบ “ธรรมาภิบาล”
วิธีดำเนินการเข้าสู่เป้าหมาย
เมื่อได้มีการกำหนดจุดมุ่งหมายหรือแนวนโยบายที่เหมะสม และระบบปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญๆ ที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขแล้ว รัฐบาลก็จะต้องกำหนดวิธีการหรือมาตรการดำเนินการเพื่อให้สามารถ เข้าสู่จุดมุ่งหมายหรือเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าดังกล่าวให้สำเร็วลุล่วงไป โดยควรจะต้อง กำหนดแผนและระยะเวลาดำเนินการไว้ด้วยตามสมควร ขั้นตอนมีความยุ่งยากกว่าการกำหนด จุดมุ่งหมายหรือการระบุปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า รัฐบาลมีเครื่องมืออยู่หลายประการในการ ที่จะนำประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้ หรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าตามที่ระบุไว้ อันได้แก่ เครื่องมือทางการคลัง (ซึ่งสามารถกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจได้ด้วยการเพิ่ม รายจ่ายของรัฐบาล ลดอัตราภาษีอากรหรือการกู้ยืมเงินจากแหล่งที่เหมาะสม) เครื่องมือทางการเงิน(ซึ่งสามารถกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจได้ด้วยการใช้มาตรการอัตราดอกเบี้ยต่ำ กำหนดอัตราเงินสำรองตามกฎหมายต่ำ หรือการซื้อขายพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ในตลาด) และเครื่องมือทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน(ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะยอมรับใช้ระบบ อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแต่รัฐบาลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังสามารถเข้าไปแทรกแซงในตลาด เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนไปในทิศทางที่ต้องการได้ในบางระยะ และรัฐบาลยังสามารถ เข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดโดยตรงได้ถ้ามีความจำเป็นและเหมาะสม แต่ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศ ยังอยู่ในภาวะเพิ่งฟื้นตัวและยังเปราะบางอยู่มาก การกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจโดยใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประการดังกล่าว ก็มีขีดจำกัดมากมายทั้งด้านกลไกและสภาพแวดล้อม การใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประการในระยะนี้จึงต้องทำ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างยิ่งยวด ต้องการความเข้าใจร่วมกัน ต้องการการประสานใจและประสานงานระหว่างผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสถาบันที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ความขัดแจ้งแตกแยกทางความคิดและอารมณ์ใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และทำให้ประสิทธิภาพในการใช้เครื่องมือดังกล่าวสูญเสียไป เบื้องต้นหนทางที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะนี้มีอยู่แค่ 2 หนทาง คือ
1. การเพิ่มการส่งออก และ
2. การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ด้วยจำนวนหนี้สาธารณะที่มีอยู่มาก ทำให้การใช้วิธีการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลทำได้ไม่มากนัก ต้องหันมาใช้หนทางด้านการกระตุ้นการส่งออกมากขึ้น มาตรการทางด้านการเงินใช้ได้ไม่มากนัก ตราบใดที่สถาบันการเงินยังมีฐานะอ่อนแอไม่สามารถปล่อยเงินกู้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ คงจะช่วยได้ในแง่การบรรเท่าปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (แต่ก็มีผลกระทบในด้านการลดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประชาชน v ความเดือดร้อนแก่ผู้ที่อาศัยรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก ละยังอาจจะมีผลเป็นการส่งเสริมให้มีการนำเงินไปฝากไว้ในต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเงินตราต่างประเทศไหลออกมากขึ้น (หรือไม่มีการนำเงินตราต่างประเทศ ที่ควรได้จากการค้าขายเข้าประเทศ) และอาจจะมีผลในระยะปานกลางและระยะยาว ทำให้การออมทรัพย์ลดลงได้ การขยายกิจการหรือเริ่มกิจการใหม่ โดยการหาทุนภายในประเทศ จากตลาดทุนก็ทำได้ยาก เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ซบเซา ปริมาณการซื้อขายในตลาดเบาบางมาก และการระดมทุนจากต่างประเทศก็ยังได้ทำได้ยากเช่นกัน เพราะความเชื่อมั่นของต่างประเทศยังต่ำอยู่ ส่วนเครื่องมือด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรถูกนำมาใช้ในขณะนี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก และฐานะด้านด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้จะมีจำนวนพอสมควรแต่ก็ยังไม่เข้มแข็งพอ รัฐบาลจึงต้องหันมาเน้นด้านการกระตุ้นการส่งออก ซึ่งในระยะสั้นก็คงต้องอาศัยอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าของเงินอ่อน) เป็นประการสำคัญ ย่อมาจากบทความในหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ วันที่ 12-13 พ.ย 2543--จบ--
--สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง--
-อน-
1. ปัญหาหนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคีอหนี้ภาครัฐ สำหรับประเทศไทยคงได้แก่ หนี้ที่รัฐบาลกู้มาโดยตรง หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ในเมื่อวันที่ 30มิถุนายน2543 มีจำนวนประมาณ 2.645ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.1ของจีดีพี กระทรวงการคลังได้ตั้ง สำนักบริหารหนี้สาธารณะเพื่อดูแลการบริหารหนี้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หนี้สาธารณะ จำนวนดังกล่าวเป็นภาระในการบริหาร การชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย อีกทั้งเป็นสาเหตุทำให้ รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคในการเลื่อนอันดับตราสารหนี้ ของประเทศและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินเอกชนในประเทศ ยังผลให้การลงทุนของ ต่างชาติในประเทศไทยน้อยและ ต้นทุนการกู้เงินในตลาดต่างประเทศของประเทศไทยลดลงไม่ได้
รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องแถลงแนวนโบายในการบริหารหนี้สาธารณะโดยมีแผนและระยะเวลาที่ชัดเจน นอกจากนี้ การกันไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นรวดเร็วใน ระยะยาว รัฐบาลไม่ควรรับภาระประกันเงินฝากในระบบสถาบันการเงินทั้งจำนวนตลอดไป
2. ปัญหาความมั่นคงทางสถาบันการเงิน
ก่อนเกิดวิกฤต มีธนาคารพาณิชย์ไทย 15แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 20แห่ง ปัจจุบันเหลือ ธนาคารพาณิชย์ไทย 9แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 21แห่ง ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของต่างประเทศ 4แห่ง วิกฤตในปี 2538 ทำให้ธนาคารไทยหลายแห่งล้ม ประสบกับการขาดทุนจำนวนมหาศาล มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จำนวนมาก ราคาหุ้นของธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ของธนาคารก่อนเกิดวิกฤต
ธนาคารต้องเพิ่มทุนด้วยวิธีต่างๆแต่ยังมีปัญหาแหล่งเงินเพิ่มทุนและวิธีการเพิ่มทุน นอกจากนี้เกิดการแข่งขันลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเนื่องจากไม่กล้าหรือไม่สามารถปล่อยสินเชื่อ น่าเป็นห่วงว่า สถาบันการเงินไทยจะตกอยู่ในมือต่างชาติน่าจะเป็นปัญหาความมั่นคงด้านต่างๆในระยะยาว รัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือฟื้นฟู ปรับโครงสร้างการกำกับสถบันการเงินให้เข้าสู่มาตรฐานสากลมากขึ้น
รัฐบาลคณะใหม่ควรมีนโยบาย และมาตรการที่ชัดเจนในการสร้างความมั่นคงแก่ ระบบสถาบันการเงินไทย มาตรการฟื้นฟูพร้อมกำหนดระยะเวลาให้เหมาะ รวมถึงแถลงว่ามาตรการฟื้นฟูดังกล่าวจะเกิดประโยชน์และต้นทุนต่อสังคมมากน้อยเพียงใด
3. ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL
หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 มีจำนวน 1.59ล้านล้านบาท หรือร้อยละ31.24ของสินเชื่อรวม การมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในสัดส่วนสูง ก่อให้เกิดปัญหาขาดความมั่นคงในสถาบันทางการเงิน ทำให้สถาบันทางการเงินทั้งใน และต่างประเทศไม่กล้าปล่อยเครดิต และทำให้ผู้ที่สนใจมาลงทุนในไทยไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน รัฐบาลได้เข้ามาแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง ได้มีการออกกฎหมายสำคัญๆที่จำเป็นในการแก้ปัญหา ได้มีการปรับปรุงโครงสร้าง องค์กรที่รับผิดชอบในด้านการแก้ไขปัญหาทุกระดับ ได้มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อบรรเทาภาระของลูกหนี้ แต่การแก้ไขปัญหานี้ ไม่สามารถดำเนินไปได้เป็นผลสำเร็จตามที่ควรจะเป็น
แนวแก้ปัญหา NPL ต้องคำนึงถึงโครงสร้างและที่มาที่แท้จริงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และคำนึงถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจแทบทุกประเทศในไทยที่อาศัยเงินกู้มากเกินไปด้วย การแก้ไขปัญหาของแต่ละประเทศควรได้พิจารณาถึงปัจจัย สภาพแวดล้อมของปัญหาในประเทศนั้นๆ
รัฐบาลใหม่จะต้องหาวิธีการดูแลให้วัฒนธรรมในการชำระหนี้ ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในระยะ 2-3ปีที่ผ่านมา "อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล"มิฉะนั้นกระบวนการ ให้เครดิตหรือสินเชื่อในอนาคต ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลงทุนและสร้างความเจริญ จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ปัญหาสิ่งก่อสร้างที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์
ประเทศไทยเป็นประเทศยากจน มีทรัพยากรจำกัด แต่ขณะเดียวกันเราก็มีทรัพย์สิน ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ มีการก่อสร้างค้างคาอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นการศูนย์เปล่ารัฐบาลควรจะมีแนวคิดหรือมาตราการที่จะดูแลให้มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้เต็มที่เสียก่อน เริ่มโครงการใหม่ รัฐบาลจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างใช้เท่าไรให้ชัดเจน ทันสมัยจะได้เป็น ประโยชน์แก่ภาคเอกชนในการวางแผนลงทุนใหม่ รัฐบาลไม่ควรลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางยกระดับ ทางด่น โทรคมนาคม อีกระยะหนึ่งอย่างน้อย จนสิ้นปีพ.ศ.2549 ควรมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับโครงการ HOPEWELL ไม่สร้างถนนขึ้นมาเป็นการเพิ่มการแข่งขันกับระบบที่มีอยู่แล้ว
5. ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบปัญหาตกต่ำอย่างรุนแรงจนปัจจุบันไม่มีความสำคัญ เหลือในสายตานักลงทุนในประเทศ ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำทำให้ การระดมทุน เพื่อขยายกิจการหรือเริ่มกิจการใหม่ทำได้ยาก เลื่อนแผนการ PRIVATIZATION สำหรับรัฐวิสาหกิจสำคัญออกไป ไม่สามารถดึงการลงทุนที่แท้จริงจากต่างชาติให้เข้ามาลง ทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ แม้ปัญหาตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำเป็นปัญหาของภาคเอกชน แต่รัฐจำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาหรือแนะหนทางแก้ไข มิฉะนั้นแล้วหนทางฟื้นฟู ตลาดหลักทรัพย์จะทำได้ยากยิ่งหากปล่อยให้ตลาดหลักทรัพย์ซบเซาไปอีกระยะหนึ่ง หน่วยงานกำกับและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูตลาดหลักทรัพย์อยู่บนพื้นฐานประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
6. ปัญหาเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจใหม่เป็นเศรษฐกิจที่อาศัยทัศนคติและแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าและบริการ ด้วยวิธีการใหม่พร้อมทั้งหาทางจูงใจผู้บริโภคให้เกิดความต้องการใหม่ในสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้น เป็นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในระยะที่เงินทุนหาได้ไม่ยาก เงินทุนจึงสำคัญน้อยกว่าแนวคิด รัฐบาลชุดใหม่จึงควรชี้แจงให้เข้าใจชัดแจ้งเกี่ยวกับเศรษฐกิจใหม่และกลไกต่างๆที่เกี่ยงข้อง ผลดีและเสีย ผลกระทบทั้งในกรณีที่เราจะเข้าไปเป็นผู้เล่นจริงจังในตลาดดังกล่าวหรือไม่ได้เข้าไป ร่วมอย่างเต็มที่ รัฐบาลควรเตรียมการทุกด้านให้สอดคล้องกัน ให้เราได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จาก เศรษฐกิจใหม่ให้ได้ โดยที่หลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่เหมาะสมของตลาดดังกล่าว
7. ปัญหาการบริหารที่ยังขาดระบบ “ธรรมาภิบาล วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้มีการตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารในระบบธรรมาภิบาล หรือ GOOD GOVERNANCE คำว่า “ธรรมาภิบาล” โดยรวมมีความหมายว่า การบริหารจัดการบ้านเมือง สังคม องค์กร สถาบัน หรือธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความเปิดเผยโปร่งใส่ ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ ความชอบธรรมยุติธรรม ความมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมเป็นการทั่วไป
ในภาคราชการก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะวิกฤตครั้งนี้ และทำให้กระบวนการแก้ไข ภาวะวิกฤตไม่สำเร็จเท่าที่ควรและก่อให้เกิดต้นทุนอย่างมหาศาลแก่สังคม รัฐบาลจะต้องตระหนักว่า การดำเนินการตามนโยบายที่จะวางไว้หรือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ไม่มีวันจะสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าขาดการปรับปรุงและพัฒนาระบบ “ธรรมาภิบาล”
วิธีดำเนินการเข้าสู่เป้าหมาย
เมื่อได้มีการกำหนดจุดมุ่งหมายหรือแนวนโยบายที่เหมะสม และระบบปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญๆ ที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขแล้ว รัฐบาลก็จะต้องกำหนดวิธีการหรือมาตรการดำเนินการเพื่อให้สามารถ เข้าสู่จุดมุ่งหมายหรือเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าดังกล่าวให้สำเร็วลุล่วงไป โดยควรจะต้อง กำหนดแผนและระยะเวลาดำเนินการไว้ด้วยตามสมควร ขั้นตอนมีความยุ่งยากกว่าการกำหนด จุดมุ่งหมายหรือการระบุปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า รัฐบาลมีเครื่องมืออยู่หลายประการในการ ที่จะนำประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้ หรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าตามที่ระบุไว้ อันได้แก่ เครื่องมือทางการคลัง (ซึ่งสามารถกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจได้ด้วยการเพิ่ม รายจ่ายของรัฐบาล ลดอัตราภาษีอากรหรือการกู้ยืมเงินจากแหล่งที่เหมาะสม) เครื่องมือทางการเงิน(ซึ่งสามารถกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจได้ด้วยการใช้มาตรการอัตราดอกเบี้ยต่ำ กำหนดอัตราเงินสำรองตามกฎหมายต่ำ หรือการซื้อขายพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ในตลาด) และเครื่องมือทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน(ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะยอมรับใช้ระบบ อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแต่รัฐบาลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังสามารถเข้าไปแทรกแซงในตลาด เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนไปในทิศทางที่ต้องการได้ในบางระยะ และรัฐบาลยังสามารถ เข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดโดยตรงได้ถ้ามีความจำเป็นและเหมาะสม แต่ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศ ยังอยู่ในภาวะเพิ่งฟื้นตัวและยังเปราะบางอยู่มาก การกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจโดยใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประการดังกล่าว ก็มีขีดจำกัดมากมายทั้งด้านกลไกและสภาพแวดล้อม การใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประการในระยะนี้จึงต้องทำ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างยิ่งยวด ต้องการความเข้าใจร่วมกัน ต้องการการประสานใจและประสานงานระหว่างผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสถาบันที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ความขัดแจ้งแตกแยกทางความคิดและอารมณ์ใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และทำให้ประสิทธิภาพในการใช้เครื่องมือดังกล่าวสูญเสียไป เบื้องต้นหนทางที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะนี้มีอยู่แค่ 2 หนทาง คือ
1. การเพิ่มการส่งออก และ
2. การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ด้วยจำนวนหนี้สาธารณะที่มีอยู่มาก ทำให้การใช้วิธีการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลทำได้ไม่มากนัก ต้องหันมาใช้หนทางด้านการกระตุ้นการส่งออกมากขึ้น มาตรการทางด้านการเงินใช้ได้ไม่มากนัก ตราบใดที่สถาบันการเงินยังมีฐานะอ่อนแอไม่สามารถปล่อยเงินกู้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ คงจะช่วยได้ในแง่การบรรเท่าปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (แต่ก็มีผลกระทบในด้านการลดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประชาชน v ความเดือดร้อนแก่ผู้ที่อาศัยรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก ละยังอาจจะมีผลเป็นการส่งเสริมให้มีการนำเงินไปฝากไว้ในต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเงินตราต่างประเทศไหลออกมากขึ้น (หรือไม่มีการนำเงินตราต่างประเทศ ที่ควรได้จากการค้าขายเข้าประเทศ) และอาจจะมีผลในระยะปานกลางและระยะยาว ทำให้การออมทรัพย์ลดลงได้ การขยายกิจการหรือเริ่มกิจการใหม่ โดยการหาทุนภายในประเทศ จากตลาดทุนก็ทำได้ยาก เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ซบเซา ปริมาณการซื้อขายในตลาดเบาบางมาก และการระดมทุนจากต่างประเทศก็ยังได้ทำได้ยากเช่นกัน เพราะความเชื่อมั่นของต่างประเทศยังต่ำอยู่ ส่วนเครื่องมือด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรถูกนำมาใช้ในขณะนี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก และฐานะด้านด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้จะมีจำนวนพอสมควรแต่ก็ยังไม่เข้มแข็งพอ รัฐบาลจึงต้องหันมาเน้นด้านการกระตุ้นการส่งออก ซึ่งในระยะสั้นก็คงต้องอาศัยอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าของเงินอ่อน) เป็นประการสำคัญ ย่อมาจากบทความในหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ วันที่ 12-13 พ.ย 2543--จบ--
--สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง--
-อน-