กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
ฯพณฯ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสถาบัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของสิงคโปร์เสนอความเห็นและยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลไทย ใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและในภูมิภาค ตลอดจนแนวทางของไทยในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วประเทศเอเชียส่วนใหญ่ รวมทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ล้วนได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ความต้องการสินค้าอีเล็กทรอนิกและสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศหดตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของหลายประเทศ รวมทั้งเสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียตะวันออก นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจได้ให้เหตุผลอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเห็นว่า บทเรียนที่มีค่าที่ประเทศไทยได้รับจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือเศรษฐกิจของประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าซึ่งผลิตโดยเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีมูลค่าเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยและพึ่งพาแรงงานราคาถูก ผลที่ตามมา คือเศรษฐกิจของไทยมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากประเทศที่เป็นคู่ค้าแต่ดั้งเดิมของไทยซึ่งเราพึ่งพาเป็นตลาดหลัก รัฐบาลไทยจึงได้อาศัยบทเรียนที่ได้รับจากวิกฤติเศรษฐกิจมาปรับแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาเพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีความสมดุล มองภาพรวมและนำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันมุ่งปรับปรุงความอยู่ดีกินดีของประชาชน นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 รัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิกรวมทั้งประเทศไทยได้ยึดแนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ตามแนวทาง East Asia Economic Model (EAEM) ซึ่งมุ่งยึดการส่งออกนำการพัฒนาเป็นแนวทางเดียวโดยพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติอย่างมาก แนวทางดังกล่าวเป็นผลดีต่อประเทศไทยและภูมิภาคในช่วง 2 ทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม แนวทาง ดังกล่าวไม่สามารถเผชิญกับวิกฤตปี 2540 ประเทศเอเชียตกอยู่ในฐานะแหล่งแรงงาน และผลิตผลทางการเกษตรราคาถูก ดังนั้น ประเทศเอเชียจึงไม่อาจก้าวสู่ระดับความมั่งคั่งเช่นประเทศตะวันตก ด้วยเหตุผลดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินแนวนโยบาย “dual track policy ” โดยในแนวทางแรกประเทศไทยจะไม่ละทิ้งแนวทาง East Asia Economic Model และขณะเดียวกันประเทศไทยจะต้องพิจารณายุทธศาสตร์ทางเลือกเพื่อการพัฒนาในลักษณะอื่นๆ ด้วย ดังนั้น แนวทางการพัฒนาที่สองจะเป็นการมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการเชื่อมโยงวิสาหกิจต่าง ๆ ภายในประเทศเพื่อการบ่มเพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่จะเป็นกระดูกสันหลังและตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์การพัฒนาแนวใหม่นี้ คือประเทศไทยจำเป็นต้องเสริมสร้างประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยเฉพาะภาคชนบทมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก ด้วยเหตุผลนี้ รัฐบาลมุ่งเน้นนโยบาย “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” โดยวางอยู่บนความเข้มแข็งภายในของประเทศและในขณะเดียวกันก็ที่แสวงหาความสมดุลระหว่างการพึ่งพาตนเองกับการเปิดเสรีด้านการค้าการลงทุน เศรษฐกิจของประเทศไทยมีลักษณะคล้ายปิรามิด โดยมีประชาชนระดับ รากหญ้าอยู่ที่ฐาน นักธุรกิจอยู่ตรงกลางและภาคการเงินการธนาคารอยู่บนยอด และเพื่อให้โครงสร้างดังกล่าวมีความยั่งยืน รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในลำดับแรกแก่การ เสริมสร้างความเข้มเข็งของฐานราก อันได้แก่ เกษตรกร จะเห็นได้ว่านโยบายเร่งด่วนของ รัฐบาลมุ่งการช่วยเหลือคนจนของประเทศ รวมทั้งโครงการชะลอหนี้เกษตรกรเป็นเวลา 3 ปี
การจัดตั้งธนาคารประชาชนเพื่อให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคธุรกิจที่อยู่ตรงกลางของปิรามิด รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) เพื่อให้เป็นเครื่องจักรผลักดันไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กองทุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมจะได้รับการยกระดับให้เป็นธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SME Bank) ทำหน้าที่ให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งให้ความรู้ทักษะด้านการบริหารและการตลาด ในส่วนยอดบนสุดของปิรามิด รัฐบาลไทยได้จัดตั้งบรรษัทบริหารทรัพย์สินไทย (Thai Assets Management Corporation —TAMC) เพื่อจัดการกับปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) TAMC เริ่มที่จะแยกหนี้เสียออกจากระบบธนาคารอันเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยการนำรัฐวิสาหกิจมาอยู่ภายใต้บริษัทถือหุ้นบริษัทเดียว ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาประเทศไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับในระดับภูมิภาค ประสบการณ์ด้านธุรกิจที่นายกรัฐมนตรีมีก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีส่วนสำคัญและอยู่หลัง แนวความคิดในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า มีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างการบริหารจัดการบริษัทกับการบริหารจัดการประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจแบบใหม่ การที่เศรษฐกิจชะลอตัวเป็นโอกาสในการปรับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ให้มั่นคง เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่ประเทศในเอเชียจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ แก่รากฐานของปิรามิด การที่ต้องเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ และสถานการณ์เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องแสวงหาแนวทางเสริมสร้างความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ อาทิ การรวมรวมกลุ่มเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคซึ่งเป็นแนวทางพหุภาคี และแนวทางทวิภาคี กล่าวคือ “พันธมิตรทางการค้า” หรือ “ยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วน” นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการดำเนินนโยบายของไทยมีลักษณะ “มองไปข้างหน้า” และ “มุ่งไปข้างนอก” ซึ่งเป็นแนวทางการเสริมสร้างภูมิภาคเอเชียที่มั่นคงและมั่งคั่ง
หากต้องการให้เอเชียมีพลวัตในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนที่มีความหมายของประเทศต่าง ๆ ในโลก เอเชียจะต้องเสริมสร้างเวทีการหารือและความร่วมมือทั้งในระดับ ทวิภาคี อนุภูมิภาคและระดับภูมิภาค ภายในปลายเดือนนี้ นายกรัฐมนตรีจะหาโอกาสเยือนหรือพบปะกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านไทยทุกประเทศในอนุภูมิภาค ซึ่งในการหารือ นายกรัฐมนตรีได้ขอร้องให้ผู้นำในภูมิภาคร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ดังที่เคยกล่าวไว้ในอดีต อนาคตของเอเชียขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศในเอเชียในการร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ต้องเสริมสร้างความรู้สึกของความเป็นประชาคมร่วมและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือประเทศในเอเชียเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตร ดังนั้นจึงควรร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดราคาซึ่งกันและกัน การประชุมสุดยอดอาเซียนที่บรูไน ดารุสซาลามในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ จะเป็นการยืนยันพันธะทางการเมืองที่ประเทศสมาชิกมีต่อเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) การทูตของไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงตอบสนองต่อปัญหาทางด้านสังคม จึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งกรอบความร่วมมือ 4 ฝ่าย ประกอบไปด้วย จีน ลาว พม่าและไทย เพื่อป้องกันและปราบปรามการผลิตและ การลักลอบค้ายาเสพติด ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับการตอบสนองอย่างดี การประชุม เจ้าหน้าที่อาวุโสของความร่วมมือ 4 ฝ่ายดังกล่าวเพิ่งจัดประชุมไปที่พม่า และในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมในระดับรัฐมนตรีที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งหวังว่าจะนำไปสู่การประชุมระดับ สุดยอดในปลายปีนี้ ความมั่งคั่งของภูมิภาคเอเชียไม่ขึ้นอยู่เฉพาะความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีเท่านั้น แต่ขึ้นกับความเป็นหุ้นส่วนในระดับทั่วทั้งเอเชีย ดังนั้น ความร่วมมือ Asia Cooperation Dialogue (ACD) จึงเป็นความต้องการร่วมกันที่จะเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและเอเชียใต้ ประเทศไทยไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนได้โดยลำพัง รัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือ “เข้าถึง” ประชาชนภายในประเทศผ่านทางการปฏิรูปสถาบันภายในและการ “ไปถึง” ประเทศเพื่อนบ้านผ่านการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา นายกรัฐมนตรีเห็นว่านโยบายต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นหากนำไปปฏิบัติได้อย่างสำเร็จก็จะเป็นแนวทาง ให้ประเทศเอเชียเป็นแบบอย่างในการเผชิญกับประโยชน์และความเสี่ยงของกระแส โลกาภิวัตน์ในศตวรรษหน้า กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
ฯพณฯ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสถาบัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของสิงคโปร์เสนอความเห็นและยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลไทย ใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและในภูมิภาค ตลอดจนแนวทางของไทยในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วประเทศเอเชียส่วนใหญ่ รวมทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ล้วนได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ความต้องการสินค้าอีเล็กทรอนิกและสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศหดตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของหลายประเทศ รวมทั้งเสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียตะวันออก นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจได้ให้เหตุผลอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเห็นว่า บทเรียนที่มีค่าที่ประเทศไทยได้รับจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือเศรษฐกิจของประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าซึ่งผลิตโดยเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีมูลค่าเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยและพึ่งพาแรงงานราคาถูก ผลที่ตามมา คือเศรษฐกิจของไทยมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากประเทศที่เป็นคู่ค้าแต่ดั้งเดิมของไทยซึ่งเราพึ่งพาเป็นตลาดหลัก รัฐบาลไทยจึงได้อาศัยบทเรียนที่ได้รับจากวิกฤติเศรษฐกิจมาปรับแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาเพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีความสมดุล มองภาพรวมและนำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันมุ่งปรับปรุงความอยู่ดีกินดีของประชาชน นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 รัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิกรวมทั้งประเทศไทยได้ยึดแนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ตามแนวทาง East Asia Economic Model (EAEM) ซึ่งมุ่งยึดการส่งออกนำการพัฒนาเป็นแนวทางเดียวโดยพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติอย่างมาก แนวทางดังกล่าวเป็นผลดีต่อประเทศไทยและภูมิภาคในช่วง 2 ทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม แนวทาง ดังกล่าวไม่สามารถเผชิญกับวิกฤตปี 2540 ประเทศเอเชียตกอยู่ในฐานะแหล่งแรงงาน และผลิตผลทางการเกษตรราคาถูก ดังนั้น ประเทศเอเชียจึงไม่อาจก้าวสู่ระดับความมั่งคั่งเช่นประเทศตะวันตก ด้วยเหตุผลดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินแนวนโยบาย “dual track policy ” โดยในแนวทางแรกประเทศไทยจะไม่ละทิ้งแนวทาง East Asia Economic Model และขณะเดียวกันประเทศไทยจะต้องพิจารณายุทธศาสตร์ทางเลือกเพื่อการพัฒนาในลักษณะอื่นๆ ด้วย ดังนั้น แนวทางการพัฒนาที่สองจะเป็นการมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการเชื่อมโยงวิสาหกิจต่าง ๆ ภายในประเทศเพื่อการบ่มเพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่จะเป็นกระดูกสันหลังและตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์การพัฒนาแนวใหม่นี้ คือประเทศไทยจำเป็นต้องเสริมสร้างประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยเฉพาะภาคชนบทมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก ด้วยเหตุผลนี้ รัฐบาลมุ่งเน้นนโยบาย “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” โดยวางอยู่บนความเข้มแข็งภายในของประเทศและในขณะเดียวกันก็ที่แสวงหาความสมดุลระหว่างการพึ่งพาตนเองกับการเปิดเสรีด้านการค้าการลงทุน เศรษฐกิจของประเทศไทยมีลักษณะคล้ายปิรามิด โดยมีประชาชนระดับ รากหญ้าอยู่ที่ฐาน นักธุรกิจอยู่ตรงกลางและภาคการเงินการธนาคารอยู่บนยอด และเพื่อให้โครงสร้างดังกล่าวมีความยั่งยืน รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในลำดับแรกแก่การ เสริมสร้างความเข้มเข็งของฐานราก อันได้แก่ เกษตรกร จะเห็นได้ว่านโยบายเร่งด่วนของ รัฐบาลมุ่งการช่วยเหลือคนจนของประเทศ รวมทั้งโครงการชะลอหนี้เกษตรกรเป็นเวลา 3 ปี
การจัดตั้งธนาคารประชาชนเพื่อให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคธุรกิจที่อยู่ตรงกลางของปิรามิด รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) เพื่อให้เป็นเครื่องจักรผลักดันไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กองทุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมจะได้รับการยกระดับให้เป็นธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SME Bank) ทำหน้าที่ให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งให้ความรู้ทักษะด้านการบริหารและการตลาด ในส่วนยอดบนสุดของปิรามิด รัฐบาลไทยได้จัดตั้งบรรษัทบริหารทรัพย์สินไทย (Thai Assets Management Corporation —TAMC) เพื่อจัดการกับปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) TAMC เริ่มที่จะแยกหนี้เสียออกจากระบบธนาคารอันเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยการนำรัฐวิสาหกิจมาอยู่ภายใต้บริษัทถือหุ้นบริษัทเดียว ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาประเทศไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับในระดับภูมิภาค ประสบการณ์ด้านธุรกิจที่นายกรัฐมนตรีมีก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีส่วนสำคัญและอยู่หลัง แนวความคิดในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า มีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างการบริหารจัดการบริษัทกับการบริหารจัดการประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจแบบใหม่ การที่เศรษฐกิจชะลอตัวเป็นโอกาสในการปรับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ให้มั่นคง เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่ประเทศในเอเชียจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ แก่รากฐานของปิรามิด การที่ต้องเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ และสถานการณ์เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องแสวงหาแนวทางเสริมสร้างความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ อาทิ การรวมรวมกลุ่มเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคซึ่งเป็นแนวทางพหุภาคี และแนวทางทวิภาคี กล่าวคือ “พันธมิตรทางการค้า” หรือ “ยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วน” นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการดำเนินนโยบายของไทยมีลักษณะ “มองไปข้างหน้า” และ “มุ่งไปข้างนอก” ซึ่งเป็นแนวทางการเสริมสร้างภูมิภาคเอเชียที่มั่นคงและมั่งคั่ง
หากต้องการให้เอเชียมีพลวัตในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนที่มีความหมายของประเทศต่าง ๆ ในโลก เอเชียจะต้องเสริมสร้างเวทีการหารือและความร่วมมือทั้งในระดับ ทวิภาคี อนุภูมิภาคและระดับภูมิภาค ภายในปลายเดือนนี้ นายกรัฐมนตรีจะหาโอกาสเยือนหรือพบปะกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านไทยทุกประเทศในอนุภูมิภาค ซึ่งในการหารือ นายกรัฐมนตรีได้ขอร้องให้ผู้นำในภูมิภาคร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ดังที่เคยกล่าวไว้ในอดีต อนาคตของเอเชียขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศในเอเชียในการร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ต้องเสริมสร้างความรู้สึกของความเป็นประชาคมร่วมและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือประเทศในเอเชียเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตร ดังนั้นจึงควรร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดราคาซึ่งกันและกัน การประชุมสุดยอดอาเซียนที่บรูไน ดารุสซาลามในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ จะเป็นการยืนยันพันธะทางการเมืองที่ประเทศสมาชิกมีต่อเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) การทูตของไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงตอบสนองต่อปัญหาทางด้านสังคม จึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งกรอบความร่วมมือ 4 ฝ่าย ประกอบไปด้วย จีน ลาว พม่าและไทย เพื่อป้องกันและปราบปรามการผลิตและ การลักลอบค้ายาเสพติด ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับการตอบสนองอย่างดี การประชุม เจ้าหน้าที่อาวุโสของความร่วมมือ 4 ฝ่ายดังกล่าวเพิ่งจัดประชุมไปที่พม่า และในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมในระดับรัฐมนตรีที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งหวังว่าจะนำไปสู่การประชุมระดับ สุดยอดในปลายปีนี้ ความมั่งคั่งของภูมิภาคเอเชียไม่ขึ้นอยู่เฉพาะความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีเท่านั้น แต่ขึ้นกับความเป็นหุ้นส่วนในระดับทั่วทั้งเอเชีย ดังนั้น ความร่วมมือ Asia Cooperation Dialogue (ACD) จึงเป็นความต้องการร่วมกันที่จะเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและเอเชียใต้ ประเทศไทยไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนได้โดยลำพัง รัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือ “เข้าถึง” ประชาชนภายในประเทศผ่านทางการปฏิรูปสถาบันภายในและการ “ไปถึง” ประเทศเพื่อนบ้านผ่านการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา นายกรัฐมนตรีเห็นว่านโยบายต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นหากนำไปปฏิบัติได้อย่างสำเร็จก็จะเป็นแนวทาง ให้ประเทศเอเชียเป็นแบบอย่างในการเผชิญกับประโยชน์และความเสี่ยงของกระแส โลกาภิวัตน์ในศตวรรษหน้า กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-