ลักษณะเศรษฐกิจของอินเดียโดยทั่วไป
เดิมก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1991 อินเดียใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม รัฐบาลจะเข้าไปกำหนดมาตรการและแทรกแซงการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอย่างเข้มงวด ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการลงทุน ใช้นโยบายควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเคร่งครัด ต่อมาเมื่ออินเดียประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง อินเดียต้องกู้เงินจำนวนมากจาก IMF (International Monetary Fund) และจากธนาคารโลก รวมทั้งการใช้มาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการนำเข้า เพื่อการประหยัดเงินตราต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมการส่งออก ทำให้อินเดียต้องดำเนินนโยบายการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (Economic Reform) ในปี 1991 (พ.ศ. 2534) เป็นต้นมา โดยหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดแทน
ลักษณะทางเศรษฐกิจโดยพื้นฐาน อินเดียเป็นประเทศกำลังพัฒนา ประชากรทั่วไปยังมีความยากจน อัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง ทั้งการว่างงานตามฤดูกาลและการว่างงานโดยไม่มีงานทำ รายได้เฉลี่ยต่อหัวค่อนข้างต่ำ มาตรฐานการครองชีพจึงต่ำไปด้วย การเกษตรยังเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของอินเดีย
อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชียใต้ อินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการตลาดมากที่สุด รวมทั้งอินเดียพยายามที่จะทำตัวเป็นผู้นำของภูมิภาคนโยบายทั่วไป
อินเดียได้ประกาศใช้นโยบายการส่งออก-นำเข้า (Export-import Policy) ฉบับใหม่ซึ่งจะใช้ระหว่างปี 1997 - 2002 (2540 - 2545) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นต้นไป วัตถุประสงค์ของนโยบายมีดังนี้.-
- เพื่อยกระดับให้ประเทศเข้าสู่ตลดโลกและได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการขยายตัวของตลาดโลก
- เพื่อจัดหาวัตถุดิบทั้งสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ชิ้นส่วนประกอบ และสินค้าทุนสำหรับการผลิตภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
- เพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการ ให้สินค้าที่ผลิตได้มาตร-ฐานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ และเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก
- เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสมเหตุสมผลกับราคา
อย่างไรก็ดี อินเดียยังคงกำหนดนโยบาย Quantitative Restriction ไว้ใน Export Import Policy มีการกำหนดรายการสินค้าในรายการ Restricted Items ซึ่งเป็นรายการสินค้าที่จะต้องมีหนังสืออนุญาตการนำเข้า ส่งผลต่ออุปสรรคการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)นโยบายการนำเข้า
เปลี่ยนแปลงนโยบายการนำเข้าใหม่ ดังนี้.-
เปิดเสรีสำหรับการนำเข้าสินค้าจำนวน 542 รายการ ที่แต่เดิมอยู่ในรายการ Restricted Items สำหรับการนำเข้า เปลี่ยนมาเป็นรายการสินค้าที่เปิดให้นำเข้าได้เป็นการทั่วไป (Open General Licence : OGL) และต้องมีหนังสืออนุญาตนำเข้าพิเศษ (Special Import Licence : SIL)
ขณะนี้สินค้าประมาณ 150 รายการ นำเข้าได้โดยต้องมีหนังสืออนุญาตพิเศษ (SIL) และสินค้าจำนวน 60 รายการ เปลี่ยนจากการนำเข้าที่ต้องมีหนังสืออนุญาตพิเศษ (SIL) เป็นนำเข้าโดยเสรี และรายการสินค้าร้อยละ 70 ที่เปลี่ยนจากรายการ Restricted Items เป็นรายการสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) นอกจากนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
หนังสืออนุญาตการนำเข้าตามโครงการการนำเข้าสินค้าสำหรับ Free Duty และหนังสืออนุญาตล่วงหน้า (Advance Licence) ได้ขยายอายุหนังสืออนุญาตจาก 12 เดือน เป็น 18 เดือนประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
แหล่งนำเข้าหลัก อินเดียนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศเอเชียและโอเชียเนียมากที่สุด (ร้อยละ 47) รองลงมาได้แก่ กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก (ร้อยละ 31.6), สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 11.5),แอฟริกา (ร้อยละ 7.2) และยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 2.8) สินค้าที่อินเดียนำเข้า ได้แก่ น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทองคำและเงิน ไข่มุก สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และถ่านหิน เป็นต้นตลาดส่งออกหลัก อินเดียส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มเอเชียและโอเชียเนียมากที่สุด (ร้อยละ 39.2), รองลงมาได้แก่ ยุโรปตะวันตก (ร้อยละ 28.4), สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 23.2),แอฟริกา (ร้อยละ 5.6) และยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 3.6) สินค้าที่อินเดียส่งออก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ฝ้าย ด้าย ยา เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำการค้ากับประเทศไทย ปริมาณการค้าระหว่างไทย-อินเดียมีมูลค่าปีหนึ่งๆ ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ได้แก่ น้ำตาลทราย เม็ดพลาสติก สายไฟฟ้าและสายเคเบิล เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
สำหรับสินค้านำเข้าของไทยจากอินเดีย ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เคมีภัณฑ์ กากพืชน้ำมัน กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง เป็นต้นกฎระเบียบทางการค้า
ข้อกีดกันทางการค้า/ข้อจำกัดทางการค้า
อินเดียได้ใช้นโยบายการจำกัดการนำเข้าสินค้า (Quantitative Restriction) โดยเฉพาะสินค้า Consumer Goods ทั้งการใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี เช่น การเข้มงวดในการอนุญาตการนำเข้า จึงมิใช่เป็นอุปสรรคทางการค้ากับไทยเท่านั้น ยังเป็นอุปสรรคต่อประเทศคู่ค้าของอินเดียทั่วไปอีกด้วย
ในช่วงปลายปี 2540 ผู้ส่งออกและผู้ผลิตของไทยพยายามที่จะขยายตลาดสินค้าประเภท Consumer Goods ไปยังประเทศอินเดีย แต่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าของอินเดียค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัญหานโยบายการค้าของรัฐบาลอินเดียและปัญหาภาษีศุลกากรที่ค่อนข้างสูง รวมทั้งสินค้า Consumer Goods บางประเภท เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป สินค้าพลาสติก อาหารแปรรูป เป็นสินค้าที่อยู่ในลักษณะการแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศของอินเดีย โดยเฉพาะในด้านราคาและข้อจำกัดด้านการปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในของอินเดีย
มาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษี แม้ว่ารัฐบาลอินเดียได้ปรับลดระดับอัตราภาษีศุลกากรลงมาระดับหนึ่ง แต่ยังมีการกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มพิเศษ (Surcharge on Import) อีกร้อยละ 10 ของอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Duty) สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิด ยกเว้นสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทองคำ และสินค้าเงิน (Gold & Silver) รวมทั้งยังกำหนดเก็บภาษีตอบโต้ (CVD) และยังคงอัตราภาษีศุลกากรในระดับสูงกับสินค้า Consumer Goods และสินค้าสำเร็จรูปอื่น ๆ (Finished Products) โดยรัฐบาลอินเดียได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 1999-2000 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ในพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (Custom Duty) โดยในงบประมาณปี 2542 - 2543 (1999 - 2000) อินเดียได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรพิเศษ (Special Custom Duty) ที่ได้กำหนดไว้ร้อยละ 2 - 5 ในปีก่อนหน้า (ยกเลิกการจัดเก็บตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป) ยกเว้นสินค้าบางรายการเท่านั้นที่ยังคงการจัดเก็บภาษีศุลกากรพิเศษ แต่รัฐบาลอินเดียได้กำหนดจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มพิเศษ (Surcharge) สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิดร้อยละ 10 ของอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Custom Duty) ยกเว้นน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่เคยจัดเก็บ Surcharge ร้อยละ 40 รวมทั้งสินค้าตามข้อตกลง GATT, ทองคำ, สินค้าเงิน
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดเก็บอัตราภาษีศุลกากรโดยแบ่งอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Custom Duty) จาก 7 อัตราเหลือเพียง 5 อัตรา ได้แก่ ภาษีร้อยละ 5, 15, 25, 35 และ 40
นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในของอินเดียส่งผลต่อการเพิ่มการใช้มาตรการ Safeguard และ Anti Dump-ing ต่อสินค้าไทยดังนี้.-
มาตรการ Safe Guard ที่ใช้กับสินค้าของไทย ได้แก่ Carbon Black ซึ่งสินค้าที่ส่งออกจากไทยต้องชำระภาษี Safeguard Duty เพิ่มอีกตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2541 ในระยะ 2 ปี ดังนี้ ปีแรกร้อยละ 16 ของมูลค่า CIF ปีที่ 12 ร้อยละ 5 ของมูลค่า CIF
มาตรการ Anti Dumping ที่ใช้กับสินค้าไทย
- Acrylic Fibre สินค้าที่ส่งออกของไทยถูกเรียกเก็บ Anti Dumping Duty กิโลกรัมละ 9.73 รูปี
- PTA : Purified Terephthalic Acid ถูกเรียกเก็บ Anti Dumping Duty เมตริกตัน 1,939 รูปี
- Nylon Tyre Cord Fibre ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวน
- Polyester Staple Fabrie ยังไม่ปรากฏผลการไต่ส่วน
- Polystyrene ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวนพิธีการศุลกากร
การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร (Charance of Goods) ผู้นำเข้าสินค้าจะต้องชำระภาษีศุลกากรภายใน 2 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับ Bill of Entry ยกเว้นวันหยุดราชการ โดยการประเมินของเจ้าหน้าที่ หากล่าช้ากว่ากำหนดจะต้องชำระดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีใบอนุญาตนำเข้า
นอกจากอัตราภาษีศุลกากรแล้ว ยังต้องเผชิญกับระบบการขอใบอนุญาตนำสินค้าเข้า แม้ว่าจะได้มีความพยายามที่จะเปิดเสรี แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดต่อสินค้าบางประเภท เพราะมีการห้ามนำเข้าสินค้าบริโภคทั้งหมด ยกเว้นแต่เฉพาะในกรณีที่มีใบอนุญาตนำเข้าพิเศษ โดยมีการขายสินค้านำเข้าในราคาที่สูงขึ้น 6-13 เปอร์เซ็นต์สินค้าที่ห้ามนำเข้า
เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เส้นด้าย และผ้า ถูกห้ามนำเข้าจนถึงปี 1995 และภายใต้การตกลงในเรื่องสิ่งทอของอินเดีย ต่างประเทศจะสามารถส่งสินค้าประเภทสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเข้าไปยังประเทศอินเดีย สินค้าบางประเภทจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าโดยไม่มีข้อจำกัดในทันที เช่น ไฟเบอร์ ด้าย และผ้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมและเมื่ออินเดียยกเลิกการอ้างข้อยกเว้นสืบเนื่องจากดุลการชำระเงินระหว่างประเทศก็จะมีการอนุญาตนำเข้าอย่างไม่จำกัดสำหรับผ้าที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มและตกแต่งบ้าน ภายในสามปีสินค้าทุกประเภทที่อยู่ในข้อตกลงก็สามารถขอใบอนุญาตนำเข้าพิเศษได้
การจำกัดปริมาณนำเข้าสินค้า นโยบายการนำเข้าของอินเดียนั้น มีรายการที่มีการควบคุม (Negative List) ซึ่งแบ่งเป็น
- ห้ามนำเข้าอย่างเด็ดขาด
- นำเข้าได้เมื่อมีใบอนุญาต
- นำเข้าได้โดยบริษัทการค้าของรัฐบาลเท่านั้นและต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน
ประเทศอินเดียได้เริ่มเปิดเสรีการนำเข้าของสินค้าทุน (Capital Goods) ที่ใช้แล้ว แต่ยังสามารถมีอายุใช้งานอีกอย่างน้อย 5 ปีโดยไม่ต้องขอใบอนุญาตมาตรฐานสินค้า
มาตรฐานของอินเดียได้ตามอย่างประเทศอื่น ๆ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารนั้นล้าสมัยและเข้มงวดกว่าประเทศทั่ว ๆ ไป อินเดียได้พยายามปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานของต่างชาติ สินค้านำเข้าและสินค้าผลิตภายในประเทศนั้นไม่มีข้อแตกต่างกัน ยกเว้นในกรณีของเมล็ดข้าวเครื่องหมายการค้า
รัฐบาลอินเดียได้ยอมตกลงที่จะปรับปรุงระบบเครื่องหมายการค้าโดยจะปฏิบัติตามกฎหมายเยี่ยงชาติ (National Treatment) ในกรณีของเครื่องหมายการค้าของต่างชาติ รัฐบาลอินเดียยังได้เริ่มใช้ พรบ. คุ้มครองเครื่องหมายการค้าและมีข้อแม้ในการยกเลิกเครื่องหมายการค้าในกรณีที่จดทะเบียนแล้วไม่ได้นำเครื่องหมายการค้ามาใช้
(ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 15/2543 วันที่ 15 สิงหาคม 2543--
-อน-
เดิมก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1991 อินเดียใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม รัฐบาลจะเข้าไปกำหนดมาตรการและแทรกแซงการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอย่างเข้มงวด ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการลงทุน ใช้นโยบายควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเคร่งครัด ต่อมาเมื่ออินเดียประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง อินเดียต้องกู้เงินจำนวนมากจาก IMF (International Monetary Fund) และจากธนาคารโลก รวมทั้งการใช้มาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการนำเข้า เพื่อการประหยัดเงินตราต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมการส่งออก ทำให้อินเดียต้องดำเนินนโยบายการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ (Economic Reform) ในปี 1991 (พ.ศ. 2534) เป็นต้นมา โดยหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดแทน
ลักษณะทางเศรษฐกิจโดยพื้นฐาน อินเดียเป็นประเทศกำลังพัฒนา ประชากรทั่วไปยังมีความยากจน อัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง ทั้งการว่างงานตามฤดูกาลและการว่างงานโดยไม่มีงานทำ รายได้เฉลี่ยต่อหัวค่อนข้างต่ำ มาตรฐานการครองชีพจึงต่ำไปด้วย การเกษตรยังเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของอินเดีย
อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชียใต้ อินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการตลาดมากที่สุด รวมทั้งอินเดียพยายามที่จะทำตัวเป็นผู้นำของภูมิภาคนโยบายทั่วไป
อินเดียได้ประกาศใช้นโยบายการส่งออก-นำเข้า (Export-import Policy) ฉบับใหม่ซึ่งจะใช้ระหว่างปี 1997 - 2002 (2540 - 2545) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นต้นไป วัตถุประสงค์ของนโยบายมีดังนี้.-
- เพื่อยกระดับให้ประเทศเข้าสู่ตลดโลกและได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการขยายตัวของตลาดโลก
- เพื่อจัดหาวัตถุดิบทั้งสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ชิ้นส่วนประกอบ และสินค้าทุนสำหรับการผลิตภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
- เพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการ ให้สินค้าที่ผลิตได้มาตร-ฐานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ และเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก
- เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสมเหตุสมผลกับราคา
อย่างไรก็ดี อินเดียยังคงกำหนดนโยบาย Quantitative Restriction ไว้ใน Export Import Policy มีการกำหนดรายการสินค้าในรายการ Restricted Items ซึ่งเป็นรายการสินค้าที่จะต้องมีหนังสืออนุญาตการนำเข้า ส่งผลต่ออุปสรรคการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)นโยบายการนำเข้า
เปลี่ยนแปลงนโยบายการนำเข้าใหม่ ดังนี้.-
เปิดเสรีสำหรับการนำเข้าสินค้าจำนวน 542 รายการ ที่แต่เดิมอยู่ในรายการ Restricted Items สำหรับการนำเข้า เปลี่ยนมาเป็นรายการสินค้าที่เปิดให้นำเข้าได้เป็นการทั่วไป (Open General Licence : OGL) และต้องมีหนังสืออนุญาตนำเข้าพิเศษ (Special Import Licence : SIL)
ขณะนี้สินค้าประมาณ 150 รายการ นำเข้าได้โดยต้องมีหนังสืออนุญาตพิเศษ (SIL) และสินค้าจำนวน 60 รายการ เปลี่ยนจากการนำเข้าที่ต้องมีหนังสืออนุญาตพิเศษ (SIL) เป็นนำเข้าโดยเสรี และรายการสินค้าร้อยละ 70 ที่เปลี่ยนจากรายการ Restricted Items เป็นรายการสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) นอกจากนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
หนังสืออนุญาตการนำเข้าตามโครงการการนำเข้าสินค้าสำหรับ Free Duty และหนังสืออนุญาตล่วงหน้า (Advance Licence) ได้ขยายอายุหนังสืออนุญาตจาก 12 เดือน เป็น 18 เดือนประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
แหล่งนำเข้าหลัก อินเดียนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศเอเชียและโอเชียเนียมากที่สุด (ร้อยละ 47) รองลงมาได้แก่ กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก (ร้อยละ 31.6), สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 11.5),แอฟริกา (ร้อยละ 7.2) และยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 2.8) สินค้าที่อินเดียนำเข้า ได้แก่ น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทองคำและเงิน ไข่มุก สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และถ่านหิน เป็นต้นตลาดส่งออกหลัก อินเดียส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มเอเชียและโอเชียเนียมากที่สุด (ร้อยละ 39.2), รองลงมาได้แก่ ยุโรปตะวันตก (ร้อยละ 28.4), สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 23.2),แอฟริกา (ร้อยละ 5.6) และยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 3.6) สินค้าที่อินเดียส่งออก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ ฝ้าย ด้าย ยา เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำการค้ากับประเทศไทย ปริมาณการค้าระหว่างไทย-อินเดียมีมูลค่าปีหนึ่งๆ ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ได้แก่ น้ำตาลทราย เม็ดพลาสติก สายไฟฟ้าและสายเคเบิล เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
สำหรับสินค้านำเข้าของไทยจากอินเดีย ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เคมีภัณฑ์ กากพืชน้ำมัน กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง เป็นต้นกฎระเบียบทางการค้า
ข้อกีดกันทางการค้า/ข้อจำกัดทางการค้า
อินเดียได้ใช้นโยบายการจำกัดการนำเข้าสินค้า (Quantitative Restriction) โดยเฉพาะสินค้า Consumer Goods ทั้งการใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี เช่น การเข้มงวดในการอนุญาตการนำเข้า จึงมิใช่เป็นอุปสรรคทางการค้ากับไทยเท่านั้น ยังเป็นอุปสรรคต่อประเทศคู่ค้าของอินเดียทั่วไปอีกด้วย
ในช่วงปลายปี 2540 ผู้ส่งออกและผู้ผลิตของไทยพยายามที่จะขยายตลาดสินค้าประเภท Consumer Goods ไปยังประเทศอินเดีย แต่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าของอินเดียค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัญหานโยบายการค้าของรัฐบาลอินเดียและปัญหาภาษีศุลกากรที่ค่อนข้างสูง รวมทั้งสินค้า Consumer Goods บางประเภท เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป สินค้าพลาสติก อาหารแปรรูป เป็นสินค้าที่อยู่ในลักษณะการแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศของอินเดีย โดยเฉพาะในด้านราคาและข้อจำกัดด้านการปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในของอินเดีย
มาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษี แม้ว่ารัฐบาลอินเดียได้ปรับลดระดับอัตราภาษีศุลกากรลงมาระดับหนึ่ง แต่ยังมีการกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มพิเศษ (Surcharge on Import) อีกร้อยละ 10 ของอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Duty) สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิด ยกเว้นสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทองคำ และสินค้าเงิน (Gold & Silver) รวมทั้งยังกำหนดเก็บภาษีตอบโต้ (CVD) และยังคงอัตราภาษีศุลกากรในระดับสูงกับสินค้า Consumer Goods และสินค้าสำเร็จรูปอื่น ๆ (Finished Products) โดยรัฐบาลอินเดียได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 1999-2000 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ในพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (Custom Duty) โดยในงบประมาณปี 2542 - 2543 (1999 - 2000) อินเดียได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรพิเศษ (Special Custom Duty) ที่ได้กำหนดไว้ร้อยละ 2 - 5 ในปีก่อนหน้า (ยกเลิกการจัดเก็บตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป) ยกเว้นสินค้าบางรายการเท่านั้นที่ยังคงการจัดเก็บภาษีศุลกากรพิเศษ แต่รัฐบาลอินเดียได้กำหนดจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มพิเศษ (Surcharge) สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิดร้อยละ 10 ของอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Custom Duty) ยกเว้นน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่เคยจัดเก็บ Surcharge ร้อยละ 40 รวมทั้งสินค้าตามข้อตกลง GATT, ทองคำ, สินค้าเงิน
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดเก็บอัตราภาษีศุลกากรโดยแบ่งอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐาน (Basic Custom Duty) จาก 7 อัตราเหลือเพียง 5 อัตรา ได้แก่ ภาษีร้อยละ 5, 15, 25, 35 และ 40
นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในของอินเดียส่งผลต่อการเพิ่มการใช้มาตรการ Safeguard และ Anti Dump-ing ต่อสินค้าไทยดังนี้.-
มาตรการ Safe Guard ที่ใช้กับสินค้าของไทย ได้แก่ Carbon Black ซึ่งสินค้าที่ส่งออกจากไทยต้องชำระภาษี Safeguard Duty เพิ่มอีกตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2541 ในระยะ 2 ปี ดังนี้ ปีแรกร้อยละ 16 ของมูลค่า CIF ปีที่ 12 ร้อยละ 5 ของมูลค่า CIF
มาตรการ Anti Dumping ที่ใช้กับสินค้าไทย
- Acrylic Fibre สินค้าที่ส่งออกของไทยถูกเรียกเก็บ Anti Dumping Duty กิโลกรัมละ 9.73 รูปี
- PTA : Purified Terephthalic Acid ถูกเรียกเก็บ Anti Dumping Duty เมตริกตัน 1,939 รูปี
- Nylon Tyre Cord Fibre ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวน
- Polyester Staple Fabrie ยังไม่ปรากฏผลการไต่ส่วน
- Polystyrene ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวนพิธีการศุลกากร
การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร (Charance of Goods) ผู้นำเข้าสินค้าจะต้องชำระภาษีศุลกากรภายใน 2 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับ Bill of Entry ยกเว้นวันหยุดราชการ โดยการประเมินของเจ้าหน้าที่ หากล่าช้ากว่ากำหนดจะต้องชำระดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีใบอนุญาตนำเข้า
นอกจากอัตราภาษีศุลกากรแล้ว ยังต้องเผชิญกับระบบการขอใบอนุญาตนำสินค้าเข้า แม้ว่าจะได้มีความพยายามที่จะเปิดเสรี แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดต่อสินค้าบางประเภท เพราะมีการห้ามนำเข้าสินค้าบริโภคทั้งหมด ยกเว้นแต่เฉพาะในกรณีที่มีใบอนุญาตนำเข้าพิเศษ โดยมีการขายสินค้านำเข้าในราคาที่สูงขึ้น 6-13 เปอร์เซ็นต์สินค้าที่ห้ามนำเข้า
เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เส้นด้าย และผ้า ถูกห้ามนำเข้าจนถึงปี 1995 และภายใต้การตกลงในเรื่องสิ่งทอของอินเดีย ต่างประเทศจะสามารถส่งสินค้าประเภทสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเข้าไปยังประเทศอินเดีย สินค้าบางประเภทจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าโดยไม่มีข้อจำกัดในทันที เช่น ไฟเบอร์ ด้าย และผ้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมและเมื่ออินเดียยกเลิกการอ้างข้อยกเว้นสืบเนื่องจากดุลการชำระเงินระหว่างประเทศก็จะมีการอนุญาตนำเข้าอย่างไม่จำกัดสำหรับผ้าที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มและตกแต่งบ้าน ภายในสามปีสินค้าทุกประเภทที่อยู่ในข้อตกลงก็สามารถขอใบอนุญาตนำเข้าพิเศษได้
การจำกัดปริมาณนำเข้าสินค้า นโยบายการนำเข้าของอินเดียนั้น มีรายการที่มีการควบคุม (Negative List) ซึ่งแบ่งเป็น
- ห้ามนำเข้าอย่างเด็ดขาด
- นำเข้าได้เมื่อมีใบอนุญาต
- นำเข้าได้โดยบริษัทการค้าของรัฐบาลเท่านั้นและต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน
ประเทศอินเดียได้เริ่มเปิดเสรีการนำเข้าของสินค้าทุน (Capital Goods) ที่ใช้แล้ว แต่ยังสามารถมีอายุใช้งานอีกอย่างน้อย 5 ปีโดยไม่ต้องขอใบอนุญาตมาตรฐานสินค้า
มาตรฐานของอินเดียได้ตามอย่างประเทศอื่น ๆ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารนั้นล้าสมัยและเข้มงวดกว่าประเทศทั่ว ๆ ไป อินเดียได้พยายามปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานของต่างชาติ สินค้านำเข้าและสินค้าผลิตภายในประเทศนั้นไม่มีข้อแตกต่างกัน ยกเว้นในกรณีของเมล็ดข้าวเครื่องหมายการค้า
รัฐบาลอินเดียได้ยอมตกลงที่จะปรับปรุงระบบเครื่องหมายการค้าโดยจะปฏิบัติตามกฎหมายเยี่ยงชาติ (National Treatment) ในกรณีของเครื่องหมายการค้าของต่างชาติ รัฐบาลอินเดียยังได้เริ่มใช้ พรบ. คุ้มครองเครื่องหมายการค้าและมีข้อแม้ในการยกเลิกเครื่องหมายการค้าในกรณีที่จดทะเบียนแล้วไม่ได้นำเครื่องหมายการค้ามาใช้
(ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 15/2543 วันที่ 15 สิงหาคม 2543--
-อน-