ตามที่การประชุมรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจการค้าของกลุ่ม BIMST-EC ครั้งที่ 3 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2544 ณ กรุงย่างกุ้ง สหภาพพม่า ที่ประชุมได้เห็นชอบเกี่ยวกับแนวทางดำเนินการ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC โดยให้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขึ้น เพื่อศึกษาในรายละเอียดของข้อดีและข้อเสียของแนวทางดังกล่าว และต้องศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนหรือไม่เกิน 1 ปี นั้น
กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ได้จัดทำรายงานการศึกษาเบื้องต้น เรื่อง การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC แล้ว ดังรายละเอียดตามเอกสารที่แนบ ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. บทสรุป
1.1 เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวม ทั้งในด้านของสภาพทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าของแต่ละประเทศในกลุ่ม BIMST-EC แล้ว การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC มีโอกาสและความเป็นไปได้ ดังนี้
1) โครงสร้างการผลิตสินค้าของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ที่มีลักษณะแตกต่างกันนั้น นอกจากจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขันซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การค้าระหว่างกันขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
2) จำนวนประชากรของกลุ่ม BIMST-EC ที่มีประมาณ 1,263 ล้านคน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ที่สามารถดึงดูดความสนใจในด้านการค้า และการลงทุนจากประเทศต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับกลุ่ม BIMST-EC เอง ในด้านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับพหุภาคี แม้ว่าประชากรของกลุ่ม BIMST-EC จะมีกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดก็ตาม
3) แม้ว่าแต่ละประเทศในกลุ่ม BIMST-EC จะไม่ใช่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญของกันและกัน แต่เนื่องจากสินค้าที่ผลิตได้ และเป็นสินค้าออกสำคัญของแต่ละประเทศ ยังมีความสำคัญต่อประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม โดยเฉพาะเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อการส่งออก ประกอบกับภาพรวมมาตร-การทางภาษี และมาตรการมิใช่ภาษีที่ยังไม่เข้มงวดมากนัก อาจส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างกันดำเนินไปได้ด้วยดี โดยยึดหลักของการพึ่งพาอาศัยระหว่างกัน ยกเว้นอินเดียที่ยังมีมาตรการไม่ใช่ภาษีที่ค่อนข้างซับซ้อน และอาจกระทบต่อการค้าของไทยบ้าง
4) ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และลักษณะความอยู่ดีกินดีที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ ตลอดจนปัญหาทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งภายในและภายนอกประเทศของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC อาจจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันบ้าง แต่หากแต่ละประเทศคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันแล้ว คงจะมีการดำเนินมาตรการที่ผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนให้การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง
1.2 จากภาวะความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม BIMST-EC สามารถชี้ให้เห็นว่า การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ทางการค้าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1) แม้ว่าปริมาณการค้าระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม BIMST-EC จะยังมีมูลค่าไม่มากนัก ประมาณร้อยละ 2.0 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดของไทยกับทั่วโลก แต่ในภาวะที่ไทยยังคงต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในด้านการส่งออก ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม และขยายแหล่งนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศในกลุ่ม BIMST-EC นับว่ายังเป็นตลาดสินค้าออกที่สำคัญของไทยหลายรายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เม็ดพลาสติก ยานพาหนะ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผ้าผืน น้ำตาลทราย และปูนซีเมนต์ เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งนำเข้า สินค้าวัตถุดิบที่สำคัญของไทยด้วย เช่น อัญมณี เคมีภัณฑ์ ไม้ต่าง ๆ กากพืชน้ำมัน และอาหารทะเลแช่แข็ง เป็นต้น การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันจึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดสินค้าของไทยเข้าไปในกลุ่ม BIMST-EC และกระจายแหล่งนำเข้าวัตถุดิบพร้อมกันไปด้วย
2) แม้ว่าการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกัน อาจทำให้สินค้าของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC เข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากสินค้าที่ไทยนำเข้าจากประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ส่วนมากเป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อการส่งออก การปรับลดภาษีจึงช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก อันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้ารวมของไทย
3) ไทยจะมีโอกาสผลักดันให้ประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ผ่อนคลายมาตรการมิใช่ภาษีบางมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าที่สำคัญของไทย เช่น มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ค่อนข้างซับซ้อนของอินเดีย และมาตรการห้ามนำเข้าผลไม้ทุกชนิดของพม่า เป็นต้น
4) การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ยังเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการเป็นประตูการค้า (gateway) ให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นขยายตลาดสินค้าของตนไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในเอเซียใต้ และให้ประเทศในเอเซียใต้ขยายตลาดสินค้าเข้ามายังประเทศอาเซียนและอินโด-จีน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยในด้านการหลั่งไหลของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment-FDI)
2. ข้อคิดเห็น
2.1 ในการดำเนินการจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ควรจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เพราะ แต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบการปกครอง และความพร้อมที่แตกต่างกัน โดยมีการกำหนดแผนการปฏิบัติงาน (Action Plan) ที่มีเป้าหมายของแต่ละขั้น-ตอนไว้ด้วย เช่น ในระยะเริ่มต้นควรให้ความสำคัญและผลักดันการเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวกับมาตร-การภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีก่อน เมื่อประสบผลสำเร็จแล้วจึงค่อยหารือกันในประเด็นการลงทุน และบริการ เป็นต้น
สำหรับการพิจารณาข้อดีข้อเสียของ positive list approach และ negative list approach ตามข้อเสนอของอินเดีย เห็นควรสนับสนุนให้ใช้วิธี negative list approach ซึ่งวิธีนี้จะ ทำให้สินค้าส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาดำเนินการลดภาษี และเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศสมาชิกเสนอรายการสินค้าที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันเอง
2.2 การปรับลดอัตราภาษีที่จะลดให้กันภายใต้เขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ควรคำนึงถึงพันธกรณีการลดภาษีของไทยภายใต้ AFTA ด้วย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่จะได้รับควรอยู่ในระดับที่ไม่สูงไปกว่าสิทธิประโยชน์ที่ให้กันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
2.3 การจัดทำเขตการค้าเสรีนอกจากจะช่วยส่งเสริม และเพิ่มโอกาสให้เกิดการขยายตัวทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก BIMST-EC แล้ว ยังอาจเป็นลู่ทางที่ไทยจะขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศสมาชิก BIMST-EC ด้วย โดยเฉพาะสาขาที่ไทยมีศักยภาพในการผลิต แต่ต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิตจากประเทศสมาชิก BIMST-EC ซึ่งได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลแปรรูป รวมทั้งเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการเสริมสร้างให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว ทั้งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเซียใต้ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเซีย
2.4 การจัดทำเขตการค้าเสรีเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้มีโอกาสด้านการขยายตัวทางการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงควรดำเนินมาตรการอื่น ๆ ในการเพิ่มขีดความสามารถการ แข่งขันไปพร้อมกันด้วย เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพทางการผลิตเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของสินค้า การปรับกลยุทธ์ให้สินค้าเข้าสู่ตลาดในแต่ละประเทศ รวมทั้งการแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เป็นต้น
2.5 จากการประชุมรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจการค้าของกลุ่ม BIMST-EC เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โดยให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีอินเดียเป็นประธานทำการศึกษาข้อดีข้อเสียของแนวทางดำเนินการทั้ง positive list approach และ negative list approach ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับผลการศึกษาดังกล่าว จึงเห็นควรเร่งรัดให้อินเดียจัดการประชุมเพื่อติดตามผลการศึกษาของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วต่อไป
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-
กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ได้จัดทำรายงานการศึกษาเบื้องต้น เรื่อง การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC แล้ว ดังรายละเอียดตามเอกสารที่แนบ ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. บทสรุป
1.1 เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวม ทั้งในด้านของสภาพทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าของแต่ละประเทศในกลุ่ม BIMST-EC แล้ว การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC มีโอกาสและความเป็นไปได้ ดังนี้
1) โครงสร้างการผลิตสินค้าของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ที่มีลักษณะแตกต่างกันนั้น นอกจากจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขันซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การค้าระหว่างกันขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย
2) จำนวนประชากรของกลุ่ม BIMST-EC ที่มีประมาณ 1,263 ล้านคน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ที่สามารถดึงดูดความสนใจในด้านการค้า และการลงทุนจากประเทศต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับกลุ่ม BIMST-EC เอง ในด้านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับพหุภาคี แม้ว่าประชากรของกลุ่ม BIMST-EC จะมีกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดก็ตาม
3) แม้ว่าแต่ละประเทศในกลุ่ม BIMST-EC จะไม่ใช่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญของกันและกัน แต่เนื่องจากสินค้าที่ผลิตได้ และเป็นสินค้าออกสำคัญของแต่ละประเทศ ยังมีความสำคัญต่อประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม โดยเฉพาะเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อการส่งออก ประกอบกับภาพรวมมาตร-การทางภาษี และมาตรการมิใช่ภาษีที่ยังไม่เข้มงวดมากนัก อาจส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างกันดำเนินไปได้ด้วยดี โดยยึดหลักของการพึ่งพาอาศัยระหว่างกัน ยกเว้นอินเดียที่ยังมีมาตรการไม่ใช่ภาษีที่ค่อนข้างซับซ้อน และอาจกระทบต่อการค้าของไทยบ้าง
4) ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และลักษณะความอยู่ดีกินดีที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ ตลอดจนปัญหาทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งภายในและภายนอกประเทศของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC อาจจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันบ้าง แต่หากแต่ละประเทศคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันแล้ว คงจะมีการดำเนินมาตรการที่ผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนให้การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง
1.2 จากภาวะความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม BIMST-EC สามารถชี้ให้เห็นว่า การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ทางการค้าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1) แม้ว่าปริมาณการค้าระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม BIMST-EC จะยังมีมูลค่าไม่มากนัก ประมาณร้อยละ 2.0 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดของไทยกับทั่วโลก แต่ในภาวะที่ไทยยังคงต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในด้านการส่งออก ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม และขยายแหล่งนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศในกลุ่ม BIMST-EC นับว่ายังเป็นตลาดสินค้าออกที่สำคัญของไทยหลายรายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เม็ดพลาสติก ยานพาหนะ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผ้าผืน น้ำตาลทราย และปูนซีเมนต์ เป็นต้น รวมทั้งเป็นแหล่งนำเข้า สินค้าวัตถุดิบที่สำคัญของไทยด้วย เช่น อัญมณี เคมีภัณฑ์ ไม้ต่าง ๆ กากพืชน้ำมัน และอาหารทะเลแช่แข็ง เป็นต้น การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันจึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดสินค้าของไทยเข้าไปในกลุ่ม BIMST-EC และกระจายแหล่งนำเข้าวัตถุดิบพร้อมกันไปด้วย
2) แม้ว่าการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกัน อาจทำให้สินค้าของประเทศในกลุ่ม BIMST-EC เข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากสินค้าที่ไทยนำเข้าจากประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ส่วนมากเป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อการส่งออก การปรับลดภาษีจึงช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก อันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้ารวมของไทย
3) ไทยจะมีโอกาสผลักดันให้ประเทศในกลุ่ม BIMST-EC ผ่อนคลายมาตรการมิใช่ภาษีบางมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าที่สำคัญของไทย เช่น มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ค่อนข้างซับซ้อนของอินเดีย และมาตรการห้ามนำเข้าผลไม้ทุกชนิดของพม่า เป็นต้น
4) การจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ยังเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการเป็นประตูการค้า (gateway) ให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นขยายตลาดสินค้าของตนไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในเอเซียใต้ และให้ประเทศในเอเซียใต้ขยายตลาดสินค้าเข้ามายังประเทศอาเซียนและอินโด-จีน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยในด้านการหลั่งไหลของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment-FDI)
2. ข้อคิดเห็น
2.1 ในการดำเนินการจัดทำเขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ควรจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เพราะ แต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบการปกครอง และความพร้อมที่แตกต่างกัน โดยมีการกำหนดแผนการปฏิบัติงาน (Action Plan) ที่มีเป้าหมายของแต่ละขั้น-ตอนไว้ด้วย เช่น ในระยะเริ่มต้นควรให้ความสำคัญและผลักดันการเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวกับมาตร-การภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีก่อน เมื่อประสบผลสำเร็จแล้วจึงค่อยหารือกันในประเด็นการลงทุน และบริการ เป็นต้น
สำหรับการพิจารณาข้อดีข้อเสียของ positive list approach และ negative list approach ตามข้อเสนอของอินเดีย เห็นควรสนับสนุนให้ใช้วิธี negative list approach ซึ่งวิธีนี้จะ ทำให้สินค้าส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาดำเนินการลดภาษี และเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศสมาชิกเสนอรายการสินค้าที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันเอง
2.2 การปรับลดอัตราภาษีที่จะลดให้กันภายใต้เขตการค้าเสรีของกลุ่ม BIMST-EC ควรคำนึงถึงพันธกรณีการลดภาษีของไทยภายใต้ AFTA ด้วย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่จะได้รับควรอยู่ในระดับที่ไม่สูงไปกว่าสิทธิประโยชน์ที่ให้กันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
2.3 การจัดทำเขตการค้าเสรีนอกจากจะช่วยส่งเสริม และเพิ่มโอกาสให้เกิดการขยายตัวทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก BIMST-EC แล้ว ยังอาจเป็นลู่ทางที่ไทยจะขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศสมาชิก BIMST-EC ด้วย โดยเฉพาะสาขาที่ไทยมีศักยภาพในการผลิต แต่ต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิตจากประเทศสมาชิก BIMST-EC ซึ่งได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลแปรรูป รวมทั้งเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการเสริมสร้างให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว ทั้งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเซียใต้ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเซีย
2.4 การจัดทำเขตการค้าเสรีเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้มีโอกาสด้านการขยายตัวทางการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงควรดำเนินมาตรการอื่น ๆ ในการเพิ่มขีดความสามารถการ แข่งขันไปพร้อมกันด้วย เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพทางการผลิตเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของสินค้า การปรับกลยุทธ์ให้สินค้าเข้าสู่ตลาดในแต่ละประเทศ รวมทั้งการแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เป็นต้น
2.5 จากการประชุมรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจการค้าของกลุ่ม BIMST-EC เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โดยให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีอินเดียเป็นประธานทำการศึกษาข้อดีข้อเสียของแนวทางดำเนินการทั้ง positive list approach และ negative list approach ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับผลการศึกษาดังกล่าว จึงเห็นควรเร่งรัดให้อินเดียจัดการประชุมเพื่อติดตามผลการศึกษาของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วต่อไป
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-