สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงโตเกียว รายงานว่า ญี่ปุ่นได้ออกกฎหมาย Home Appliances Recycling Law ของประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 เป็นต้นไป โดยสินค้าที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้มี 4 ประเภทคือ ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า
และเครื่องปรับอากาศ โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิต (manufacturers) ร้านค้าปลีก (retailers) และผู้บริโภค (consumers) ต่างมีภาระหน้าที่
ร่วมกันในการจัดการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทิ้งแล้ว ไปแยกชิ้นส่วนเพื่อนำอุปกรณ์ที่สามารถจะ recycle ได้ให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก โดยแบ่งหน้าที่
กันดังนี้
บริษัทผู้ผลิต มีหน้าที่ทำการแยกองค์ประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าออกจากกันและแยกชิ้นส่วน (parts) กับวัสดุ (materials) ซึ่งสามารถ
recycle ได้ออกมาเพื่อนำไปใช้ใหม่
ร้านค้าปลีก มีหน้าที่เป็นผู้รับของคืนจากผู้บริโภคและส่งให้โรงงานผู้ผลิตนำไปแยกชิ้นส่วน
ผู้บริโภค มีหน้าที่แบกภาระค่าใช้จ่ายในการนำของไป recycle ทั้งนี้แม้กฎหมายอนุญาตให้
ผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคได้ตามความเหมาะสม แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ต่างก็กำหนดราคาไว้ในระดับเดียวกันคือ
2,700 เยน ในการนำโทรทัศน์ไป recycle และ 3,500 เยน 2,400 เยน 4,600 เยน สำหรับเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น
ตามลำดับ โดยราคาที่ตั้งไว้นี้ยังไม่รวมค่าขนส่งที่ผู้ผลิตจะคิดเพิ่มจากผู้บริโภคซึ่งคำนวณตามระยะทางจากบ้านไปถึงโรงงาน recycle ของผู้ผลิต
การออกกฎหมาย Home Appliances Recycling Law ของญี่ปุ่น เป็นมาตรการชนิดเดียวกันกับมาตรการว่าด้วยเศษเหลือทิ้งผลิตภัณฑ์
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ Waste Electrical and Electronic Equipment(WEEE) ของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ที่จะมีการใช้มาตรการ
ดังกล่าวในปี 2006
ประเภทสินค้า 1998 1999 2000 2001 2000
(ม.ค.-มี.ค.)
ตู้เย็น 107.34 134.94 171.16 56.64 36.50%
โทรทัศน์ 197.56 227.86 221.74 60.94 12.30%
เครื่องซักผ้า 26.1 28.16 27.25 9.11 21.75%
เครื่องปรับอากาศ 49.6 73.16 79.11 38.16 24.41%
ญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญอันดับ 1 ของไทยในการส่งออกสินค้าประเภท ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ โดยในปี 2000
การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวของไทยไปญี่ปุ่นมีมูลค่า 470.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของมูลค่าการส่งออก
เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 4 ชนิดไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในญี่ปุ่นก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้า
ดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 1998 — ปี 2000 โดยแหล่งนำเข้าที่สำคัญของญี่ปุ่นแยกตามประเภทของสินค้า คือ
1. ตู้เย็น ไทย (36.5%) จีน (19.1%) สหรัฐอเมริกา (13.3%)
2. โทรทัศน์ มาเลเซีย (39.7%) จีน (23.9%) ไทย (12.3%)
3. เครื่องซักผ้า จีน (32.7%) เกาหลีใต้ (25.96%) ไทย (21.75%)
4. เครื่องปรับอากาศ จีน (28.94%) ไทย (24.4%) สหรัฐอเมริกา (20.4%)
การออกกฎหมาย Home Appliances Recycling ของญี่ปุ่นนี้ ยังอยู่ในระยะแรกซึ่งยังไม่เห็นผลกระทบได้ชัดเจน แต่ในระยะต่อไปคาด
ว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าของไทย โดยผู้ผลิตของไทยจะต้องรับภาระต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย
สำหรับแยกชิ้นส่วนสินค้าที่หมดอายุแล้วเศษเหลือ จะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ผลิตและส่งออกของไทยด้วย โดยอาจให้ผู้ผลิตไทยลดราคาสินค้าส่งออก
ลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การใช้กฎหมายดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนญี่ปุ่น
(Consumer Behavior) จากเดิมที่ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่การใช้กฎหมายฉบับนี้จะมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมดังกล่าว
โดยการกำหนดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้การใช้สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าของคนญี่ปุ่นในยุคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะถดถอยต้อง
พิจารณาด้วยความประหยัดและรอบคอบ อันจะมีผลต่ออายุการใช้งาของเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่สุด (Product Life Cycle) จึงเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตและ
ผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไทยต้องติดตามเพื่อเตรียมพร้อมในการปรับตัวต่อไป
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 เป็นต้นไป โดยสินค้าที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้มี 4 ประเภทคือ ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า
และเครื่องปรับอากาศ โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิต (manufacturers) ร้านค้าปลีก (retailers) และผู้บริโภค (consumers) ต่างมีภาระหน้าที่
ร่วมกันในการจัดการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทิ้งแล้ว ไปแยกชิ้นส่วนเพื่อนำอุปกรณ์ที่สามารถจะ recycle ได้ให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก โดยแบ่งหน้าที่
กันดังนี้
บริษัทผู้ผลิต มีหน้าที่ทำการแยกองค์ประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าออกจากกันและแยกชิ้นส่วน (parts) กับวัสดุ (materials) ซึ่งสามารถ
recycle ได้ออกมาเพื่อนำไปใช้ใหม่
ร้านค้าปลีก มีหน้าที่เป็นผู้รับของคืนจากผู้บริโภคและส่งให้โรงงานผู้ผลิตนำไปแยกชิ้นส่วน
ผู้บริโภค มีหน้าที่แบกภาระค่าใช้จ่ายในการนำของไป recycle ทั้งนี้แม้กฎหมายอนุญาตให้
ผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคได้ตามความเหมาะสม แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ต่างก็กำหนดราคาไว้ในระดับเดียวกันคือ
2,700 เยน ในการนำโทรทัศน์ไป recycle และ 3,500 เยน 2,400 เยน 4,600 เยน สำหรับเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น
ตามลำดับ โดยราคาที่ตั้งไว้นี้ยังไม่รวมค่าขนส่งที่ผู้ผลิตจะคิดเพิ่มจากผู้บริโภคซึ่งคำนวณตามระยะทางจากบ้านไปถึงโรงงาน recycle ของผู้ผลิต
การออกกฎหมาย Home Appliances Recycling Law ของญี่ปุ่น เป็นมาตรการชนิดเดียวกันกับมาตรการว่าด้วยเศษเหลือทิ้งผลิตภัณฑ์
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ Waste Electrical and Electronic Equipment(WEEE) ของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ที่จะมีการใช้มาตรการ
ดังกล่าวในปี 2006
ประเภทสินค้า 1998 1999 2000 2001 2000
(ม.ค.-มี.ค.)
ตู้เย็น 107.34 134.94 171.16 56.64 36.50%
โทรทัศน์ 197.56 227.86 221.74 60.94 12.30%
เครื่องซักผ้า 26.1 28.16 27.25 9.11 21.75%
เครื่องปรับอากาศ 49.6 73.16 79.11 38.16 24.41%
ญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญอันดับ 1 ของไทยในการส่งออกสินค้าประเภท ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ โดยในปี 2000
การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวของไทยไปญี่ปุ่นมีมูลค่า 470.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของมูลค่าการส่งออก
เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 4 ชนิดไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในญี่ปุ่นก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้า
ดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 1998 — ปี 2000 โดยแหล่งนำเข้าที่สำคัญของญี่ปุ่นแยกตามประเภทของสินค้า คือ
1. ตู้เย็น ไทย (36.5%) จีน (19.1%) สหรัฐอเมริกา (13.3%)
2. โทรทัศน์ มาเลเซีย (39.7%) จีน (23.9%) ไทย (12.3%)
3. เครื่องซักผ้า จีน (32.7%) เกาหลีใต้ (25.96%) ไทย (21.75%)
4. เครื่องปรับอากาศ จีน (28.94%) ไทย (24.4%) สหรัฐอเมริกา (20.4%)
การออกกฎหมาย Home Appliances Recycling ของญี่ปุ่นนี้ ยังอยู่ในระยะแรกซึ่งยังไม่เห็นผลกระทบได้ชัดเจน แต่ในระยะต่อไปคาด
ว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าของไทย โดยผู้ผลิตของไทยจะต้องรับภาระต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย
สำหรับแยกชิ้นส่วนสินค้าที่หมดอายุแล้วเศษเหลือ จะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ผลิตและส่งออกของไทยด้วย โดยอาจให้ผู้ผลิตไทยลดราคาสินค้าส่งออก
ลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การใช้กฎหมายดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนญี่ปุ่น
(Consumer Behavior) จากเดิมที่ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่การใช้กฎหมายฉบับนี้จะมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมดังกล่าว
โดยการกำหนดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้การใช้สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าของคนญี่ปุ่นในยุคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะถดถอยต้อง
พิจารณาด้วยความประหยัดและรอบคอบ อันจะมีผลต่ออายุการใช้งาของเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่สุด (Product Life Cycle) จึงเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตและ
ผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไทยต้องติดตามเพื่อเตรียมพร้อมในการปรับตัวต่อไป
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-