การเปิดเสรีการค้านั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญให้หมดไปได้แก่ การลดอัตราภาษีศุลกากร เพื่อให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าไปได้อย่างเสรี แต่การเจรจาทางการค้านี้ยังได้ครอบคลุมถึงการค้าบริการระหว่างกันด้วย สินค้าจะมีอุปสรรคที่สำคัญคือ ภาษีศุลกากร มาตรฐานสุขอนามัยสำหรับสินค้าเกษตรและอาหาร มาตรฐานทางเทคนิคสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม ส่วนการค้าบริการมีอุปสรรคที่สำคัญคือ กฎหมายที่ใช้กำกับหรือควบคุมการประกอบธุรกิจบริการ การกำหนดสัญชาติของบุคคล สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ สัดส่วนของผู้บริหารชาวต่างชาติ เงื่อนไขการจ้างงาน การจัดเก็บภาษีบางประเภทและกฎเกณฑ์หรือขั้นตอนการขอใบอนุญาต เป็นต้น ดังนั้น การเปิดเสรีการค้าภาคบริการจึงเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการบนพื้นฐานของหลักการที่ได้ตกลงกัน นับเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและใช้ชั้นเชิงในการเจรจาที่พยายามเอาเปรียบในส่วนที่ตนเองได้ประโยชน์ให้มากที่สุด
การทำข้อตกลงเสรีทางการค้าภาคบริการแบบพหุภาคี
สำหรับการเจรจาการค้าเสรีหลายฝ่ายในระดับโลกขององค์การการค้าโลกหรือในอดีตเรียกกันว่า การเจรจารอบอุรุกวัยเมื่อปี 2529 ซึ่งมีการเจรจาภาคบริการควบคู่ไปกับการเจรจาภาคสินค้า โดยมีข้อตกลงที่ร่วมกันเรียกว่า General Agreement on Trade in Services (GATS) หรือความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ โดยมีหลักการว่าประเทศสมาชิกสามารถออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อธุรกิจบริการด้วยความโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ ไม่กีดกันหรือก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าบริการโดยไม่จำเป็น ประเทศสมาชิกจะต้องเข้าร่วมเจรจาเป็นระยะ ๆ รอบละ 5 ปี เพื่อเปิดเสรีการค้าภาคบริการของแต่ละประเทศมากขึ้นเป็นลำดับ โดยจะต้องปฏิบัติแก่ประเทศภาคีอย่างเท่าเทียมกันหรือเรียกว่า Most Favored Nation Treatment
ลักษณะการค้าบริการระหว่างประเทศมีอยู่ 4 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 Cross Border Supply หรือการค้าบริการข้ามพรมแดน โดยที่ผู้ให้บริการอยู่ในต่างประเทศ แต่ให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศไทยโดยตรง โดยอาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การให้คำปรึกษาผ่านสื่อ การส่งข้อมูลออนไลน์ การบริการโทรคมนาคม
รูปแบบที่ 2 Consumption Abroad หรือ การบริโภคในต่างประเทศ หมายถึง ผู้รับบริการเคลื่อนย้ายไปยังประเทศผู้ให้บริการ เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยว เดินทางไปรักษาพยาบาลหรือศึกษาในต่างประเทศ
รูปแบบที่ 3 Commercial Presence หรือการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อให้บริการในต่างประเทศ อาจเป็นนิติบุคคลเพื่อให้บริการ เช่น สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทย หรือมาตั้งบริษัทให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมก่อสร้าง รูปแบบนี้มีความเกี่ยวพันกับการลงทุนระหว่างประเทศด้วย
รูปแบบที่ 4 Presence of Natural Person หรือการเข้ามาโดยบุคคลธรรมดา เพื่อมาให้บริการเช่น วิศวกรต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือคนไทยไปทำงานในต่างประเทศ โดยเป็นแพทย์ พยาบาล หรือเป็นพ่อครัว เป็นต้น
ประเทศไทยมีข้อผูกพัน GATS โดยเปิดตลาดบริการใน 10 สาขา ได้แก่ บริการด้านธุรกิจ (29 กิจกรรม) สาขาสื่อสารคมนาคม (13 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการก่อสร้าง (3 กิจกรรม) สาขาบริการด้านจัดจำหน่าย (1 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการศึกษา (3 กิจกรรม) สาขาบริการด้านสิ่งแวดล้อม (11 กิจกรรม) สาขาการเงิน (22 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการท่องเที่ยว (5 กิจกรรม) สาขานันทนาการและการกีฬา (2 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการขนส่ง (15 กิจกรรม) มีกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 104 กิจกรรม แต่ข้อผูกพันของไทยใน GATS ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกฎหมายไทยในขณะนั้น และยินยอมให้มีในรูปแบบที่สองคือ คนไทยเดินทางไปใช้บริการในต่างประเทศได้ และต่างประเทศเดินทางมาใช้บริการในไทยได้ แต่ยังไม่ยินยอมในรูปแบบที่หนึ่ง (ห้ามให้บริการผ่านสื่อ Internet ดาวเทียม VDO ทางไกลข้ามประเทศ) ส่วนรูปแบบที่สามที่ให้ต่างชาติเข้าตั้งธุรกิจ ยังมีข้อจำกัดโดยให้มีหุ้นต่างชาติร่วมลงทุนไม่เกินร้อยละ 49 ยกเว้นภาคการเงินไม่กินร้อยละ 25 และภาคโทรคมนาคมไม่เกินร้อยละ 20 และจำนวนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกินครึ่งหนึ่งในรูปแบบที่สี่ยินยอมให้โอนย้ายผู้บริหาร ผู้จัดการ และผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้ามาทำงานได้ไม่เกิน 3 ปี แต่ยกเว้นอาชีพที่ทางการสงวนไว้สำหรับคนไทยตามกฎหมายที่ระบุไว้
สำหรับการเจรจา GATS รอบใหม่เพื่อเปิดเสรีการค้าบริการได้เริ่มมาแล้วเมื่อปี 2543 โดยภาคีแต่ละประเทศได้จัดทำทั้งข้อเสนอและข้อเรียกร้องที่กำหนดรายการภาคธุรกิจที่จะเปิดเสรีเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศได้ดำเนินการไปแล้วจากผลการร่วมประชุมกับธุรกิจภาคเอกชนหลายครั้ง ซึ่งการเจรจาดังกล่าวยังคงดำเนินการอยู่ ควบคู่ไปกับการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้าขององค์การการค้าโลก
การทำข้อตกลงเสรีทางการค้าภาคบริการแบบทวิภาคี
ผลการเจรจาการค้าแบบพาหุภาคีขององค์การการค้าโลก ซึ่งมีความยืดหยุ่นให้กับประเทศกำลังพัฒนามาก ทำให้ผลการเจรจาเหมือนไม่ความคืบหน้า จึงทำให้ประเทศต่าง ๆ หันเหความสนใจมาสู่การเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งมีข้อดีคือ จะทำให้การค้าของไทยกับประเทศที่เราเลือกเจรจาทำความตกลงด้วยจะเปิดเสรีได้มากกว่าและรวดเร็วกว่าที่จะต้องมารอคอยผลการเจรจาการค้าแบบพหุภาคีขององค์การการค้าโลก ดังนั้นการเจรจาทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าหลัก จึงเป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่ประเทศไทยหวังแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องรีรอประเทศอื่น ๆ ในโลกที่กำลังพยายามหาข้อตกลงที่จะเปิดเสรีการค้าระหว่างกันให้เป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกันภายใต้กฎเกณฑ์ กติกาเดียวกัน ซึ่งจะดำเนินการไปอย่างเชื่องช้าอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการทำความตกลงเขตการค้าเสรีของไทยในปัจจุบันที่กำลังเจรจาอยู่กับญี่ปุ่นและสหรัฐคือ มีหลายกลุ่มที่คัดค้านและยื่นข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ซึ่งทำให้ท่าทีของรัฐบาลไทยเกิดความขัดแย้งกันเองในหลักการ ซึ่งจะส่งผลให้การเจรจามีปัญหายืดเยื้อ และถ้าจะประสบความสำเร็จได้ก็คงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เช่น กลุ่มผู้ผลิตเหล็กของไทยคัดค้านข้อเสนอของญี่ปุ่นที่ขอให้ไทยลดภาษีศุลกากรการนำเข้าเหล็กให้เหลือศูนย์ ซึ่งจะมีผลทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องล้มเลิกกิจการไป เพราะปัจจุบันยังไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ หากไม่มีการคุ้มครองด้วยภาษีศุลกากร แต่ถ้ารัฐบาลไทยยอมรับข้อเสนอนี้ก็จะเป็นหลักการว่า สินค้าใดที่ญี่ปุ่นแข่งขันกับไทยไม่ได้ ก็ไม่ต้องนำเข้ามาเจรจาเปิดเสรีได้ และญี่ปุ่นก็ต้องการให้ยกเว้นการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการส่งออกข้าวและน้ำตาลของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเช่นกัน
ตามหลักการที่ว่า เมื่อแข่งขันในสินค้าใดไม่ได้ก็สามารถยกเว้นสินค้านั้น ๆ ได้ สิ่งที่ติดตามมาคือ เป็นการเจรจาเพื่อลดภาษีสินค้าที่มีการค้าขายระหว่างกันน้อยรายการและจะมีมูลค่าไม่มากนัก หรืออาจเป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นส่งออกมาไทยได้มาก หรือไทยส่งออกไปญี่ปุ่นได้มาก ซึ่งผู้ผลิตที่ครองตลาดในประเทศอยู่เดิมก็คงต้องเสียตลาดให้กับสินค้านำเข้าไปโดยปริยาย
สำหรับการเจรจาทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ ก็มีกลุ่มต่อต้านสิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญาและภาคการเงิน เพราะสหรัฐมีความได้เปรียบในด้านดังกล่าวมาก ถ้าทางรัฐบาลไทยยินยอมสหรัฐเท่ากับว่ายอมให้มีการขยายอำนาจผูกขาดตามกฎหมายจะทำให้ราคายาที่นำเข้าแพงขึ้น ส่วนการเปิดเสรีภาคการเงิน ซึ่งถือเป็นภาคที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยก็จะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินสหรัฐ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญมากกว่าทั้งการธนาคาร ประกันภัย และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจบริการด้านการเงินของไทยเสียเปรียบ การเจรจาหาข้อยุติภาคการเงินซึ่งผ่านมาแล้ว 3 รอบ ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้
ในการเจรจาระหว่างสำนักผู้แทนทางการค้าและกระทรวงการคลังสหรัฐกับฝ่ายไทยประกอบด้วยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยประเทศไทยขอเลื่อนการเปิดเสรีภาคการเงินออกไปอีก 3 ปี จนถึงปี พ.ศ.2550 เนื่องจากความไม่พร้อมของธุรกิจการเงินในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย มีข้อสรุปดังนี้
1. การเปิดเสรีทางการเงินควรเป็นไปตามขั้นตอนอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความสมบูรณ์ด้านกฎระเบียบ ข้อกฎหมาย และที่สำคัญความพร้อมของสถาบันการเงินไทยภายใต้ Financial Master Plan ของ ธปท.ที่ต้องใช้เวลาพัฒนาสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่ง National Treatment Market Access และตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดยไทยแจ้งว่าจะเป็นการแจ้งรายการที่ไทยพร้อมจะเปิดเสรี (Positive Listed) ส่วนรายการนอกเหนือจากนั้นหรือไม่ได้แจ้งไว้ จะไม่มีการเปิดเสรีให้แก่สหรัฐ ซึ่งสหรัฐไม่ยอมรับในหลักการนี้ โดยสหรัฐถือว่ารูปแบบพื้นฐานการเจรจาควรเป็น Negative Listed หรือแจ้งรายการที่ไทยไม่ต้องการเปิดเสรี ส่วนรายการที่ไม่ได้ระบุถือว่า สหรัฐสามารถเข้ามาทำธุรกิจได้ ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งระหว่างกันอยู่ในขณะนี้
2. ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศคู่เจรจาหรือ Most Favour Nation ซึ่งเป็นสิทธิที่ให้เฉพาะประเทศคู่เจรจาเท่านั้นไม่ควรเรียกร้องสิทธิดังกล่าวให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย
3. ไทยขอสงวนสิทธิในการจัดการเคลื่อนย้ายเงินทุนในกรณีที่จำเป็น เพราะไทยกำลังเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อการพัฒนาประเทศ และป้องกันผลกระทบและรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางการเงิน รวมทั้งป้องกันการเก็งกำไรระยะสั้นจากเฮดจ์ฟันด์ด้วย นอกจากนี้ไทยจะยอมเปิดให้เฉพาะการบริโภคและธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดนในสาขาที่ผูกพันไว้เท่านั้น
4. การให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ไทยขอสงวนสิทธิที่จะออกกฎหมาย ระเบียบที่เหมาะสม ผู้ต้องการเสนอบริการใหม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่กำกับดูแลก่อน ผู้ให้บริการต้องมีสำนักงานในประเทศไทย
5. การออกใบอนุญาตให้บริการทางการเงินทุกประเภทไม่ควรจำกัดเวลา แต่หน่วยงานของไทยจะเร่งรัดการพิจารณาให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการเงินให้เป็นไปตามเวลาที่เหมาะสมเป็นไปอย่างโปร่งใส
6. ความแตกต่างของกฎหมายที่กำกับดูแลภาคการเงิน เพราะของไทยใช้กฎระเบียบเท่ากับในระดับประเทศ แต่ของสหรัฐบังคับใช้ทั้งมลรัฐและรัฐบาลกลาง มีข้อจำกัดในการใช้กำกับที่แตกต่างกัน ซึ่งสหรัฐให้สถาบันการเงินไทยเลือกที่จะใช้กรอบธุรกิจภายใต้กฎหมายใดก็ได้ ซึ่งไทยถือว่ามีความซับซ้อนและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าตลาดและทำธุรกิจในสหรัฐ
7. ควรมีการยกเว้นสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะรองรับ เพราะรัฐบาลไทยมีความจำเป็นที่ต้องให้การช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้มีอำนาจในการเข้าสู่ตลาดการเงินน้อย ซึ่งสหรัฐเห็นด้วยแต่ควรให้ระบุไว้ในสาขาสถาบันการเงินที่ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อการค้า
ข้อเสนอการเปิดเสรีทางการเงินของสหรัฐที่เจรจากับไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกับเงื่อนไขที่ให้แก่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ที่ทำ FTA กับสหรัฐ สำหรับไทยนั้นมีระบบเศรษฐกิจแตกต่างจากประเทศสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคเอเชียนี้ ซึ่งมีความผูกพันกับ Real Sectors เช่น ภาคการเกษตร ประมง อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ การใช้หลักการ Negative Listed ยังเป็นเรื่องที่มีช่องโหว่ที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบจากสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบด้วย
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
การทำข้อตกลงเสรีทางการค้าภาคบริการแบบพหุภาคี
สำหรับการเจรจาการค้าเสรีหลายฝ่ายในระดับโลกขององค์การการค้าโลกหรือในอดีตเรียกกันว่า การเจรจารอบอุรุกวัยเมื่อปี 2529 ซึ่งมีการเจรจาภาคบริการควบคู่ไปกับการเจรจาภาคสินค้า โดยมีข้อตกลงที่ร่วมกันเรียกว่า General Agreement on Trade in Services (GATS) หรือความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ โดยมีหลักการว่าประเทศสมาชิกสามารถออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อธุรกิจบริการด้วยความโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ ไม่กีดกันหรือก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าบริการโดยไม่จำเป็น ประเทศสมาชิกจะต้องเข้าร่วมเจรจาเป็นระยะ ๆ รอบละ 5 ปี เพื่อเปิดเสรีการค้าภาคบริการของแต่ละประเทศมากขึ้นเป็นลำดับ โดยจะต้องปฏิบัติแก่ประเทศภาคีอย่างเท่าเทียมกันหรือเรียกว่า Most Favored Nation Treatment
ลักษณะการค้าบริการระหว่างประเทศมีอยู่ 4 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 Cross Border Supply หรือการค้าบริการข้ามพรมแดน โดยที่ผู้ให้บริการอยู่ในต่างประเทศ แต่ให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศไทยโดยตรง โดยอาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การให้คำปรึกษาผ่านสื่อ การส่งข้อมูลออนไลน์ การบริการโทรคมนาคม
รูปแบบที่ 2 Consumption Abroad หรือ การบริโภคในต่างประเทศ หมายถึง ผู้รับบริการเคลื่อนย้ายไปยังประเทศผู้ให้บริการ เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยว เดินทางไปรักษาพยาบาลหรือศึกษาในต่างประเทศ
รูปแบบที่ 3 Commercial Presence หรือการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อให้บริการในต่างประเทศ อาจเป็นนิติบุคคลเพื่อให้บริการ เช่น สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทย หรือมาตั้งบริษัทให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมก่อสร้าง รูปแบบนี้มีความเกี่ยวพันกับการลงทุนระหว่างประเทศด้วย
รูปแบบที่ 4 Presence of Natural Person หรือการเข้ามาโดยบุคคลธรรมดา เพื่อมาให้บริการเช่น วิศวกรต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือคนไทยไปทำงานในต่างประเทศ โดยเป็นแพทย์ พยาบาล หรือเป็นพ่อครัว เป็นต้น
ประเทศไทยมีข้อผูกพัน GATS โดยเปิดตลาดบริการใน 10 สาขา ได้แก่ บริการด้านธุรกิจ (29 กิจกรรม) สาขาสื่อสารคมนาคม (13 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการก่อสร้าง (3 กิจกรรม) สาขาบริการด้านจัดจำหน่าย (1 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการศึกษา (3 กิจกรรม) สาขาบริการด้านสิ่งแวดล้อม (11 กิจกรรม) สาขาการเงิน (22 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการท่องเที่ยว (5 กิจกรรม) สาขานันทนาการและการกีฬา (2 กิจกรรม) สาขาบริการด้านการขนส่ง (15 กิจกรรม) มีกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 104 กิจกรรม แต่ข้อผูกพันของไทยใน GATS ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกฎหมายไทยในขณะนั้น และยินยอมให้มีในรูปแบบที่สองคือ คนไทยเดินทางไปใช้บริการในต่างประเทศได้ และต่างประเทศเดินทางมาใช้บริการในไทยได้ แต่ยังไม่ยินยอมในรูปแบบที่หนึ่ง (ห้ามให้บริการผ่านสื่อ Internet ดาวเทียม VDO ทางไกลข้ามประเทศ) ส่วนรูปแบบที่สามที่ให้ต่างชาติเข้าตั้งธุรกิจ ยังมีข้อจำกัดโดยให้มีหุ้นต่างชาติร่วมลงทุนไม่เกินร้อยละ 49 ยกเว้นภาคการเงินไม่กินร้อยละ 25 และภาคโทรคมนาคมไม่เกินร้อยละ 20 และจำนวนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกินครึ่งหนึ่งในรูปแบบที่สี่ยินยอมให้โอนย้ายผู้บริหาร ผู้จัดการ และผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้ามาทำงานได้ไม่เกิน 3 ปี แต่ยกเว้นอาชีพที่ทางการสงวนไว้สำหรับคนไทยตามกฎหมายที่ระบุไว้
สำหรับการเจรจา GATS รอบใหม่เพื่อเปิดเสรีการค้าบริการได้เริ่มมาแล้วเมื่อปี 2543 โดยภาคีแต่ละประเทศได้จัดทำทั้งข้อเสนอและข้อเรียกร้องที่กำหนดรายการภาคธุรกิจที่จะเปิดเสรีเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศได้ดำเนินการไปแล้วจากผลการร่วมประชุมกับธุรกิจภาคเอกชนหลายครั้ง ซึ่งการเจรจาดังกล่าวยังคงดำเนินการอยู่ ควบคู่ไปกับการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้าขององค์การการค้าโลก
การทำข้อตกลงเสรีทางการค้าภาคบริการแบบทวิภาคี
ผลการเจรจาการค้าแบบพาหุภาคีขององค์การการค้าโลก ซึ่งมีความยืดหยุ่นให้กับประเทศกำลังพัฒนามาก ทำให้ผลการเจรจาเหมือนไม่ความคืบหน้า จึงทำให้ประเทศต่าง ๆ หันเหความสนใจมาสู่การเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งมีข้อดีคือ จะทำให้การค้าของไทยกับประเทศที่เราเลือกเจรจาทำความตกลงด้วยจะเปิดเสรีได้มากกว่าและรวดเร็วกว่าที่จะต้องมารอคอยผลการเจรจาการค้าแบบพหุภาคีขององค์การการค้าโลก ดังนั้นการเจรจาทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าหลัก จึงเป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่ประเทศไทยหวังแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องรีรอประเทศอื่น ๆ ในโลกที่กำลังพยายามหาข้อตกลงที่จะเปิดเสรีการค้าระหว่างกันให้เป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกันภายใต้กฎเกณฑ์ กติกาเดียวกัน ซึ่งจะดำเนินการไปอย่างเชื่องช้าอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการทำความตกลงเขตการค้าเสรีของไทยในปัจจุบันที่กำลังเจรจาอยู่กับญี่ปุ่นและสหรัฐคือ มีหลายกลุ่มที่คัดค้านและยื่นข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ซึ่งทำให้ท่าทีของรัฐบาลไทยเกิดความขัดแย้งกันเองในหลักการ ซึ่งจะส่งผลให้การเจรจามีปัญหายืดเยื้อ และถ้าจะประสบความสำเร็จได้ก็คงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เช่น กลุ่มผู้ผลิตเหล็กของไทยคัดค้านข้อเสนอของญี่ปุ่นที่ขอให้ไทยลดภาษีศุลกากรการนำเข้าเหล็กให้เหลือศูนย์ ซึ่งจะมีผลทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องล้มเลิกกิจการไป เพราะปัจจุบันยังไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ หากไม่มีการคุ้มครองด้วยภาษีศุลกากร แต่ถ้ารัฐบาลไทยยอมรับข้อเสนอนี้ก็จะเป็นหลักการว่า สินค้าใดที่ญี่ปุ่นแข่งขันกับไทยไม่ได้ ก็ไม่ต้องนำเข้ามาเจรจาเปิดเสรีได้ และญี่ปุ่นก็ต้องการให้ยกเว้นการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการส่งออกข้าวและน้ำตาลของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเช่นกัน
ตามหลักการที่ว่า เมื่อแข่งขันในสินค้าใดไม่ได้ก็สามารถยกเว้นสินค้านั้น ๆ ได้ สิ่งที่ติดตามมาคือ เป็นการเจรจาเพื่อลดภาษีสินค้าที่มีการค้าขายระหว่างกันน้อยรายการและจะมีมูลค่าไม่มากนัก หรืออาจเป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นส่งออกมาไทยได้มาก หรือไทยส่งออกไปญี่ปุ่นได้มาก ซึ่งผู้ผลิตที่ครองตลาดในประเทศอยู่เดิมก็คงต้องเสียตลาดให้กับสินค้านำเข้าไปโดยปริยาย
สำหรับการเจรจาทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ ก็มีกลุ่มต่อต้านสิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญาและภาคการเงิน เพราะสหรัฐมีความได้เปรียบในด้านดังกล่าวมาก ถ้าทางรัฐบาลไทยยินยอมสหรัฐเท่ากับว่ายอมให้มีการขยายอำนาจผูกขาดตามกฎหมายจะทำให้ราคายาที่นำเข้าแพงขึ้น ส่วนการเปิดเสรีภาคการเงิน ซึ่งถือเป็นภาคที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยก็จะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินสหรัฐ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญมากกว่าทั้งการธนาคาร ประกันภัย และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจบริการด้านการเงินของไทยเสียเปรียบ การเจรจาหาข้อยุติภาคการเงินซึ่งผ่านมาแล้ว 3 รอบ ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้
ในการเจรจาระหว่างสำนักผู้แทนทางการค้าและกระทรวงการคลังสหรัฐกับฝ่ายไทยประกอบด้วยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยประเทศไทยขอเลื่อนการเปิดเสรีภาคการเงินออกไปอีก 3 ปี จนถึงปี พ.ศ.2550 เนื่องจากความไม่พร้อมของธุรกิจการเงินในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย มีข้อสรุปดังนี้
1. การเปิดเสรีทางการเงินควรเป็นไปตามขั้นตอนอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความสมบูรณ์ด้านกฎระเบียบ ข้อกฎหมาย และที่สำคัญความพร้อมของสถาบันการเงินไทยภายใต้ Financial Master Plan ของ ธปท.ที่ต้องใช้เวลาพัฒนาสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่ง National Treatment Market Access และตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดยไทยแจ้งว่าจะเป็นการแจ้งรายการที่ไทยพร้อมจะเปิดเสรี (Positive Listed) ส่วนรายการนอกเหนือจากนั้นหรือไม่ได้แจ้งไว้ จะไม่มีการเปิดเสรีให้แก่สหรัฐ ซึ่งสหรัฐไม่ยอมรับในหลักการนี้ โดยสหรัฐถือว่ารูปแบบพื้นฐานการเจรจาควรเป็น Negative Listed หรือแจ้งรายการที่ไทยไม่ต้องการเปิดเสรี ส่วนรายการที่ไม่ได้ระบุถือว่า สหรัฐสามารถเข้ามาทำธุรกิจได้ ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งระหว่างกันอยู่ในขณะนี้
2. ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศคู่เจรจาหรือ Most Favour Nation ซึ่งเป็นสิทธิที่ให้เฉพาะประเทศคู่เจรจาเท่านั้นไม่ควรเรียกร้องสิทธิดังกล่าวให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย
3. ไทยขอสงวนสิทธิในการจัดการเคลื่อนย้ายเงินทุนในกรณีที่จำเป็น เพราะไทยกำลังเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อการพัฒนาประเทศ และป้องกันผลกระทบและรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางการเงิน รวมทั้งป้องกันการเก็งกำไรระยะสั้นจากเฮดจ์ฟันด์ด้วย นอกจากนี้ไทยจะยอมเปิดให้เฉพาะการบริโภคและธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดนในสาขาที่ผูกพันไว้เท่านั้น
4. การให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ไทยขอสงวนสิทธิที่จะออกกฎหมาย ระเบียบที่เหมาะสม ผู้ต้องการเสนอบริการใหม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่กำกับดูแลก่อน ผู้ให้บริการต้องมีสำนักงานในประเทศไทย
5. การออกใบอนุญาตให้บริการทางการเงินทุกประเภทไม่ควรจำกัดเวลา แต่หน่วยงานของไทยจะเร่งรัดการพิจารณาให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าพิจารณาคำขออนุญาตประกอบธุรกิจการเงินให้เป็นไปตามเวลาที่เหมาะสมเป็นไปอย่างโปร่งใส
6. ความแตกต่างของกฎหมายที่กำกับดูแลภาคการเงิน เพราะของไทยใช้กฎระเบียบเท่ากับในระดับประเทศ แต่ของสหรัฐบังคับใช้ทั้งมลรัฐและรัฐบาลกลาง มีข้อจำกัดในการใช้กำกับที่แตกต่างกัน ซึ่งสหรัฐให้สถาบันการเงินไทยเลือกที่จะใช้กรอบธุรกิจภายใต้กฎหมายใดก็ได้ ซึ่งไทยถือว่ามีความซับซ้อนและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าตลาดและทำธุรกิจในสหรัฐ
7. ควรมีการยกเว้นสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะรองรับ เพราะรัฐบาลไทยมีความจำเป็นที่ต้องให้การช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้มีอำนาจในการเข้าสู่ตลาดการเงินน้อย ซึ่งสหรัฐเห็นด้วยแต่ควรให้ระบุไว้ในสาขาสถาบันการเงินที่ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อการค้า
ข้อเสนอการเปิดเสรีทางการเงินของสหรัฐที่เจรจากับไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกับเงื่อนไขที่ให้แก่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ที่ทำ FTA กับสหรัฐ สำหรับไทยนั้นมีระบบเศรษฐกิจแตกต่างจากประเทศสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคเอเชียนี้ ซึ่งมีความผูกพันกับ Real Sectors เช่น ภาคการเกษตร ประมง อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ การใช้หลักการ Negative Listed ยังเป็นเรื่องที่มีช่องโหว่ที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบจากสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบด้วย
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-