1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
การประชุม : ผลการประชุมวาระแห่งชาติด้านการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำวาระแห่งชาติด้านการเกษตรเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ มีความเห็นว่า มาตรการในวาระแห่งชาติด้านการเกษตรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอมานั้น ยังไม่ครอบคลุมภาพรวมของการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาการเกษตรทั้งหมด ยังมีมาตรการสำคัญอื่นๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ การใช้ที่ดินทางการเกษตร การปรับปรุงพันธุ์ การบริหารจัดการในไร่นา การตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ การประสานเชื่อมโยงกับระบบธุรกิจเอกชน และการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เป็นต้น ซึ่ง ค.ร.ม.ได้เคยมีมติเห็นชอบกับนโยบายเศรษฐกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 9 ข้อ ในปี 2541 แล้ว จึงเห็นควรให้ปรับชื่อเรื่องจาก "วาระแห่งชาติด้านการเกษตร" เป็น "มาตรการเพิ่มเติมการแก้ไขปัญหาเกษตรกร" โดยมีสาระสำคัญดังนี้
2.1.1 วัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร โดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผน/โครงการในการแก้ไขปัญหาการเกษตรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
2.1.2 มาตรการ กำหนดมาตรการที่สำคัญไว้ 4 ด้าน ดังนี้
1) การลดความเสี่ยงของเกษตรกร
จัดให้มีระบบประกันภัยการผลิตสินค้าเกษตรโดยการเร่งรัดออกกฎหมายการประกันภัยพืชผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตร เพื่อให้มีการประกันความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น อุกทกภัย อัคคีภัย และวาตภัย โดยรัฐช่วยเหลือเบี้ยประกันภัย บางส่วนให้แก่เกษตรกร และ/หรือร่วมกับบริษัทประกันภัยจ่ายชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกร เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น
2) การแก้ไขหนี้สินเกษตรกร
- เร่งรัดให้มีการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดหนี้สินของเกษตรกร พร้อมทั้งการบริหารการจัดการหนี้สินเกษตรกร ทั้งหนี้ในระบบที่เกิดขึ้นจากโครงการส่งเสริมของรัฐ การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการกู้ยืมจากสถาบันเกษตรกร และหนี้นอกระบบ โดยรัฐกำกับดูแลเพื่อการยกเลิกหนี้ ปรับปรุงและฟื้นฟู รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์พิเศษมากขึ้นแก่เกษตรกรลูกหนี้ชั้นดี
- ส่งเสริมการออมในภาคการเกษตร โดยให้เกษตรกรมีการออมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง รวมทั้งออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการค้ำประกันเงินออม เพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมการออมของเกษตรกรและคนชนบท รวมทั้งการค้ำประกันการกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ต่างๆ เช่น การกู้ยืมเงินของสหกรณ์การเกษตรจากสหกรณ์ออมทรัพย์
3) เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
ส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรท้องถิ่น ในรูปแบบหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สัญลักษณ์เฉพาะประจำท้องถิ่นและให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านการตลาด โดยรัฐให้การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ เช่น เครื่องอบลดความชื้น อุปกรณ์คัดเกรดสินค้าและบรรจุหีบห่อ เครื่องนวด ลานตาก และเครื่องจักรกลการเกษตร
4) พัฒนาคุณภาพชีวิต
- ให้บริการการศึกษาแก่เกษตรกร ณ ไร่นาของเกษตรกร ในรูปแบบผสมผสานโดยใช้วิธีการเรียนควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานในไร่นาของเกษตรกร รวมทั้งให้การอบรม ฝึกฝน เพื่อเพิ่มพูนความสามารถและประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพ
- จัดสวัสดิการรักษาพยาบาลแก่เกษตรกรและบุคคลในครอบครัว รวมทั้งผู้ใช้แรงงานเกษตรที่ไม่เข้าข่ายพระราชบัญญัติประกันสังคม
- จัดทำทะเบียนและบัตรประจำตัวเกษตรกร ให้มีฐานข้อมูลของตัวเกษตรกร เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการมาตรการต่างๆ ของรัฐได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เช่น การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและการให้สวัสดิการสังคมแก่เกษตรกร
2.1.3 มติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ
เห็นชอบในหลักการของมาตรการเพิ่มเติมการแก้ไขปัญหาเกษตรกร และให้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ โดยใช้งบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวงเงิน 50 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับฟังความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ไปพิจารณาปรับปรุงมาตรการฯ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ต่อไป
น้ำท่วม : ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม อันเนื่องจากอิทธิพลจากพายุต่างๆ ปี 2543
ในปีเพาะปลูก 2543/44 ได้เกิดพายุดีเปรสชั่นและพายุโซนร้อน รวม 3 ครั้ง คือ พายุโซนร้อนเกมี ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ตามด้วยพายุดีเปรสชั่นมาเรียและพายุหวู่คงต่อเนื่องมาจนถึงเดือนกันยายน ก่อให้เกิดอุทกภัยและสร้างความเสียหายให้กับภาคการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วนภาคอื่น ๆ ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ซึ่งสำนักงานป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประมาณความเสียหายทั้งประเทศที่เกิดจากพายุทั้ง 3 ครั้ง ดังนี้
ด้านพืช เกษตรกรได้รับความเสียหาย 5 แสนครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าวรวมทั้งประเทศ 5.6 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 69 ของพื้นที่ที่ปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหาย
ด้านสัตว์ เกษตรกรได้รับความเสียหาย 6 หมื่นครัวเรือน ความเสียหายที่เกิดกับสัตว์เลี้ยงประมาณ 2.3 ล้านตัว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นสัตว์ปีก โดยร้อยละ 70 เป็นความเสียหายที่เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ด้านประมง เป็นความเสียหายที่เกิดกับเกษตรกร 9 หมื่นครัวเรือน สร้างความเสียหายต่อบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคิดเป็นพื้นที่รวม 1 แสนไร่ เป็นจำนวนสัตว์น้ำประมาณ 636 ล้านตัว
จากรายงานความเสียหายที่เกิดกับพื้นที่ปลูกข้าวรวม 5.6 ล้านไร่ มีพื้นที่เสียหายโดยสิ้นเชิงอยู่ประมาณ 3.1 ล้านไร่ คิดเป็นปริมาณข้าวเปลือกจำนวนประมาณ 629,212 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวนาปี ที่ปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จากการประมาณการผลผลิต ข้าวนาปีของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประมาณว่า ปี 2543/44 จะมีปริมาณข้าวนาปีทั้งสิ้น 19.04 ล้านตัน ความเสียหายดังกล่าวจะเป็นผลผลิตคิดเป็นเพียงร้อยละ 3.31 โดยเป็นข้าวหอมมะลิในแหล่งปลูกที่สำคัญเพียงร้อยละ 1.37 จึงไม่มีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตโดยรวม
กาแฟ : กาแฟของอาเซียน
จากการที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้เข้าร่วมประชุม The 2nd Meeting of ASEAN National Focal Points Working Group on Coffee ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2543 นั้น พอสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ปีการผลิต 2543/44 เวียดนามจะก้าวเข้าสู่ประเทศผู้นำในการผลิตกาแฟของอาเซียน รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ลาว มาเลเซีย และพม่า ตามลำดับ และครองตำแหน่งที่ 3 ของผู้ส่งออกกาแฟโลก รองจากประเทศบราซิล และโคลัมเบีย แต่ผลผลิตกาแฟของกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าร้อยละ 90 เป็นพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมรุนแรง ขณะที่ความต้องการบริโภคกาแฟของตลาดโลกร้อยละ 90 เป็นพันธุ์อะราบิก้า (Arabica) ซึ่งมีรสชาตินุ่มนวลกลิ่นหอมเป็นกลาง ประเทศสมาชิกอาเซียน เห็นว่ากาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่จึงขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดภายในและต่างประเทศ โดยสถาบัน Agribusiness Studies and development Centre คาดการณ์ว่าความต้องการบริโภคกาแฟทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ต่อปี ในช่วงปี 2536-2548 สำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ของเอเซีย คือญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ส่วนผู้นำเข้าสำคัญของซีกโลกตะวันตก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส
ผลการประชุม พบว่าประเทศสมาชิกประสบปัญหาและอุปสรรคทางด้านการผลิตและการค้า ดังนี้
การผลิต : เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายย่อย มีต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิต เฉลี่ยต่อไร่ต่ำ คุณภาพเมล็ดกาแฟต่ำ ขาดการเขตกรรมที่ดี ขาดแคลนแรงงานช่วงเก็บเกี่ยว และขาดเทคโนโลยีการผลิตที่ดีและเหมาะสม (Good Agricultural Practice)
การค้า : การส่งออกของประเทศสมาชิก ประสบปัญหาประเทศคู่ค้าเป็น ผู้กำหนดคุณภาพมาตรฐาน ขณะที่ประเทศผู้ผลิตยังไม่มีมาตรฐานที่แน่นนอนขาดการติดต่อประสานงานข้อมูลข่าวสารกาแฟ การกีดกันทางด้านภาษีและมิใช่ภาษี (tariff and non tariff barriers) และแนวโน้มราคากาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ต่ำลง
มติที่ประชุมเห็นควรให้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากาแฟ ปี 2543-2547 ดังนี้
1. ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ เช่นการกำหนดคุณภาพมาตรฐานกาแฟของอาเซียน ร่วมกันค้นคว้าพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก
2. เพิ่มบทบาทการรวมกลุ่มของอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองในเวทีการค้าโลก
3. ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ร่วมกับของอาเซียน
4. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนและมีส่วนร่วมในอาเซียนมากชึ้น
ข้อคิดเห็นของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
1. ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกเมล็ดกาแฟในภูมิภาคนี้เร่งผลักดันอุตสาหกรรมการแปรรูปกาแฟ ในอนาคตอาจพัฒนาเป็นผู้ส่งออกกาแฟผงสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
2. น่าจับตามองประเทศลาว แม้ว่าสภาพภูมิประเทศไม่มีดินแดงติดทะเล (land lock) แต่อาศัยประเทศไทยและเวียดนามเป็นทางผ่านส่งออกสินค้าได้ มีนักลงทุนจากสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้านกาแฟ และการเพาะปลูกกาแฟโดยไม่ใช้สารเคมีหรือระบบการทำฟาร์มแบบอินทรีย์ (organic farming system) ซึ่งตลาดกำลังตื่นตัวและให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปี 2543/44 ลาวมีพื้นที่เก็บเกี่ยวกาแฟประมาณ 184,375 ไร่ ผลผลิต 18,000 ตัน และส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้ประมาณ 14,000 ตัน มูลค่าประมาณ 840 ล้านบาท
3. การที่ราคากาแฟพันธุ์โรบัสตามีแนวโน้มต่ำลง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการทุ่มตลาด (dumping) ของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
ไก่ : การก่อตั้งสมาพันธุ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน
สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ร่วมกับประเทศผู้ผลิตไก่ในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ลงนามในบันทึกช่วยจำเพื่อจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 ที่กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมการผลิตไก่ในเขตอาเซียนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
2. ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศสมาชิกอุตสาหกรรมไก่เนื้อ
3. ส่งเสริมการค้าไก่เนื้ออย่างเสรี และเป็นธรรมในตลาดโลก
4. ประสานความร่วมมือกันในการกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ นโยบาย รวมทั้งยุทธวิธีเพื่อประสานประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรม
สาเหตุที่ได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดน่องไก่จากสหรัฐอเมริกา ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตไก่ของประเทศทั้ง 3 ได้รับความเสียหายไม่สามารถแข่งขันกับน่องไก่และปีกไก่ของสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาที่ถูกมาก ขณะที่ประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ เช่นกัน ในความพยายามที่จะเปิดตลาดน่องไก่ในไทยเมื่อปี 2541 แต่ได้รับการต่อต้านจากผู้ผลิตไก่ในประเทศ ทำให้การดำเนินการไม่ประสบผลและเมื่อต้นปี 2543 ได้ขอให้ไทยลดภาษีนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว และไก่งวงเหลือร้อยละ 10 แต่ไทยได้ยืนยันเก็บภาษีในอัตราเดิมที่ผูกพันไว้กับ WTO และขณะนี้มีไก่จากสหรัฐฯ ชนิดที่เรียกว่า game hen วางจำหน่ายในซุบเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง ทำให้ผู้ผลิตไก่ของไทยมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้มาก ในฐานะที่ไทยเป็นผู้นำในการผลิตไก่ของอาเซียนจึงได้เชิญชวนประเทศผู้ผลิตไก่มาร่วมมือกันเพื่อก่อตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน ผนึกกำลังกันในการต่อต้านไก่จากสหรัฐฯ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในกลุ่มอาเซียน ผนึกกำลังกันในการต่อต้านไก่จากสหรัฐฯ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในกลุ่มอาเซียน ถ้าต่อสู้เพียงประเทศเดียวจะไม่เข้มแข็งเท่ากับการรวมกลุ่มของประเทศอาเซียน
ข้อคิดเห็น
การรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน ขณะนี้มีการลงนามบันทึกช่วยจำไปแล้ว 4 ประเทศ แต่อาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ ถ้ากลุ่มอาเซียนรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันแล้ว จะทำให้เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ของไทยแห่งหนึ่ง ตัวอย่าง ฟิลิปปินส์นำเข้าน่องไก่จากสหรัฐฯ ในปี 2541 ปริมาณ 6,400 ตัน ปี 2542 ปริมาณ 24,600 ตัน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนมาก ถ้าฟิลิปปินส์นำเข้าจากไทยจะช่วยขยายตลาดไก่เนื้อของไทยมากขึ้น
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 44 ประจำวันที่ 6-12 พ.ย. 2543--
-สส-
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
การประชุม : ผลการประชุมวาระแห่งชาติด้านการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำวาระแห่งชาติด้านการเกษตรเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ มีความเห็นว่า มาตรการในวาระแห่งชาติด้านการเกษตรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอมานั้น ยังไม่ครอบคลุมภาพรวมของการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาการเกษตรทั้งหมด ยังมีมาตรการสำคัญอื่นๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ การใช้ที่ดินทางการเกษตร การปรับปรุงพันธุ์ การบริหารจัดการในไร่นา การตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ การประสานเชื่อมโยงกับระบบธุรกิจเอกชน และการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เป็นต้น ซึ่ง ค.ร.ม.ได้เคยมีมติเห็นชอบกับนโยบายเศรษฐกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 9 ข้อ ในปี 2541 แล้ว จึงเห็นควรให้ปรับชื่อเรื่องจาก "วาระแห่งชาติด้านการเกษตร" เป็น "มาตรการเพิ่มเติมการแก้ไขปัญหาเกษตรกร" โดยมีสาระสำคัญดังนี้
2.1.1 วัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร โดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผน/โครงการในการแก้ไขปัญหาการเกษตรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
2.1.2 มาตรการ กำหนดมาตรการที่สำคัญไว้ 4 ด้าน ดังนี้
1) การลดความเสี่ยงของเกษตรกร
จัดให้มีระบบประกันภัยการผลิตสินค้าเกษตรโดยการเร่งรัดออกกฎหมายการประกันภัยพืชผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตร เพื่อให้มีการประกันความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น อุกทกภัย อัคคีภัย และวาตภัย โดยรัฐช่วยเหลือเบี้ยประกันภัย บางส่วนให้แก่เกษตรกร และ/หรือร่วมกับบริษัทประกันภัยจ่ายชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกร เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น
2) การแก้ไขหนี้สินเกษตรกร
- เร่งรัดให้มีการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดหนี้สินของเกษตรกร พร้อมทั้งการบริหารการจัดการหนี้สินเกษตรกร ทั้งหนี้ในระบบที่เกิดขึ้นจากโครงการส่งเสริมของรัฐ การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการกู้ยืมจากสถาบันเกษตรกร และหนี้นอกระบบ โดยรัฐกำกับดูแลเพื่อการยกเลิกหนี้ ปรับปรุงและฟื้นฟู รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์พิเศษมากขึ้นแก่เกษตรกรลูกหนี้ชั้นดี
- ส่งเสริมการออมในภาคการเกษตร โดยให้เกษตรกรมีการออมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง รวมทั้งออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการค้ำประกันเงินออม เพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมการออมของเกษตรกรและคนชนบท รวมทั้งการค้ำประกันการกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ต่างๆ เช่น การกู้ยืมเงินของสหกรณ์การเกษตรจากสหกรณ์ออมทรัพย์
3) เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
ส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรท้องถิ่น ในรูปแบบหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สัญลักษณ์เฉพาะประจำท้องถิ่นและให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านการตลาด โดยรัฐให้การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ เช่น เครื่องอบลดความชื้น อุปกรณ์คัดเกรดสินค้าและบรรจุหีบห่อ เครื่องนวด ลานตาก และเครื่องจักรกลการเกษตร
4) พัฒนาคุณภาพชีวิต
- ให้บริการการศึกษาแก่เกษตรกร ณ ไร่นาของเกษตรกร ในรูปแบบผสมผสานโดยใช้วิธีการเรียนควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานในไร่นาของเกษตรกร รวมทั้งให้การอบรม ฝึกฝน เพื่อเพิ่มพูนความสามารถและประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพ
- จัดสวัสดิการรักษาพยาบาลแก่เกษตรกรและบุคคลในครอบครัว รวมทั้งผู้ใช้แรงงานเกษตรที่ไม่เข้าข่ายพระราชบัญญัติประกันสังคม
- จัดทำทะเบียนและบัตรประจำตัวเกษตรกร ให้มีฐานข้อมูลของตัวเกษตรกร เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการมาตรการต่างๆ ของรัฐได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เช่น การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและการให้สวัสดิการสังคมแก่เกษตรกร
2.1.3 มติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ
เห็นชอบในหลักการของมาตรการเพิ่มเติมการแก้ไขปัญหาเกษตรกร และให้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ โดยใช้งบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวงเงิน 50 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับฟังความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ไปพิจารณาปรับปรุงมาตรการฯ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ต่อไป
น้ำท่วม : ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม อันเนื่องจากอิทธิพลจากพายุต่างๆ ปี 2543
ในปีเพาะปลูก 2543/44 ได้เกิดพายุดีเปรสชั่นและพายุโซนร้อน รวม 3 ครั้ง คือ พายุโซนร้อนเกมี ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ตามด้วยพายุดีเปรสชั่นมาเรียและพายุหวู่คงต่อเนื่องมาจนถึงเดือนกันยายน ก่อให้เกิดอุทกภัยและสร้างความเสียหายให้กับภาคการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วนภาคอื่น ๆ ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ซึ่งสำนักงานป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประมาณความเสียหายทั้งประเทศที่เกิดจากพายุทั้ง 3 ครั้ง ดังนี้
ด้านพืช เกษตรกรได้รับความเสียหาย 5 แสนครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าวรวมทั้งประเทศ 5.6 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 69 ของพื้นที่ที่ปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหาย
ด้านสัตว์ เกษตรกรได้รับความเสียหาย 6 หมื่นครัวเรือน ความเสียหายที่เกิดกับสัตว์เลี้ยงประมาณ 2.3 ล้านตัว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นสัตว์ปีก โดยร้อยละ 70 เป็นความเสียหายที่เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ด้านประมง เป็นความเสียหายที่เกิดกับเกษตรกร 9 หมื่นครัวเรือน สร้างความเสียหายต่อบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคิดเป็นพื้นที่รวม 1 แสนไร่ เป็นจำนวนสัตว์น้ำประมาณ 636 ล้านตัว
จากรายงานความเสียหายที่เกิดกับพื้นที่ปลูกข้าวรวม 5.6 ล้านไร่ มีพื้นที่เสียหายโดยสิ้นเชิงอยู่ประมาณ 3.1 ล้านไร่ คิดเป็นปริมาณข้าวเปลือกจำนวนประมาณ 629,212 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวนาปี ที่ปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จากการประมาณการผลผลิต ข้าวนาปีของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประมาณว่า ปี 2543/44 จะมีปริมาณข้าวนาปีทั้งสิ้น 19.04 ล้านตัน ความเสียหายดังกล่าวจะเป็นผลผลิตคิดเป็นเพียงร้อยละ 3.31 โดยเป็นข้าวหอมมะลิในแหล่งปลูกที่สำคัญเพียงร้อยละ 1.37 จึงไม่มีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตโดยรวม
กาแฟ : กาแฟของอาเซียน
จากการที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้เข้าร่วมประชุม The 2nd Meeting of ASEAN National Focal Points Working Group on Coffee ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2543 นั้น พอสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ปีการผลิต 2543/44 เวียดนามจะก้าวเข้าสู่ประเทศผู้นำในการผลิตกาแฟของอาเซียน รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ลาว มาเลเซีย และพม่า ตามลำดับ และครองตำแหน่งที่ 3 ของผู้ส่งออกกาแฟโลก รองจากประเทศบราซิล และโคลัมเบีย แต่ผลผลิตกาแฟของกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าร้อยละ 90 เป็นพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมรุนแรง ขณะที่ความต้องการบริโภคกาแฟของตลาดโลกร้อยละ 90 เป็นพันธุ์อะราบิก้า (Arabica) ซึ่งมีรสชาตินุ่มนวลกลิ่นหอมเป็นกลาง ประเทศสมาชิกอาเซียน เห็นว่ากาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่จึงขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดภายในและต่างประเทศ โดยสถาบัน Agribusiness Studies and development Centre คาดการณ์ว่าความต้องการบริโภคกาแฟทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ต่อปี ในช่วงปี 2536-2548 สำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ของเอเซีย คือญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ส่วนผู้นำเข้าสำคัญของซีกโลกตะวันตก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส
ผลการประชุม พบว่าประเทศสมาชิกประสบปัญหาและอุปสรรคทางด้านการผลิตและการค้า ดังนี้
การผลิต : เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายย่อย มีต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิต เฉลี่ยต่อไร่ต่ำ คุณภาพเมล็ดกาแฟต่ำ ขาดการเขตกรรมที่ดี ขาดแคลนแรงงานช่วงเก็บเกี่ยว และขาดเทคโนโลยีการผลิตที่ดีและเหมาะสม (Good Agricultural Practice)
การค้า : การส่งออกของประเทศสมาชิก ประสบปัญหาประเทศคู่ค้าเป็น ผู้กำหนดคุณภาพมาตรฐาน ขณะที่ประเทศผู้ผลิตยังไม่มีมาตรฐานที่แน่นนอนขาดการติดต่อประสานงานข้อมูลข่าวสารกาแฟ การกีดกันทางด้านภาษีและมิใช่ภาษี (tariff and non tariff barriers) และแนวโน้มราคากาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ต่ำลง
มติที่ประชุมเห็นควรให้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากาแฟ ปี 2543-2547 ดังนี้
1. ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ เช่นการกำหนดคุณภาพมาตรฐานกาแฟของอาเซียน ร่วมกันค้นคว้าพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก
2. เพิ่มบทบาทการรวมกลุ่มของอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองในเวทีการค้าโลก
3. ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ร่วมกับของอาเซียน
4. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนและมีส่วนร่วมในอาเซียนมากชึ้น
ข้อคิดเห็นของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
1. ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกเมล็ดกาแฟในภูมิภาคนี้เร่งผลักดันอุตสาหกรรมการแปรรูปกาแฟ ในอนาคตอาจพัฒนาเป็นผู้ส่งออกกาแฟผงสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
2. น่าจับตามองประเทศลาว แม้ว่าสภาพภูมิประเทศไม่มีดินแดงติดทะเล (land lock) แต่อาศัยประเทศไทยและเวียดนามเป็นทางผ่านส่งออกสินค้าได้ มีนักลงทุนจากสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้านกาแฟ และการเพาะปลูกกาแฟโดยไม่ใช้สารเคมีหรือระบบการทำฟาร์มแบบอินทรีย์ (organic farming system) ซึ่งตลาดกำลังตื่นตัวและให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปี 2543/44 ลาวมีพื้นที่เก็บเกี่ยวกาแฟประมาณ 184,375 ไร่ ผลผลิต 18,000 ตัน และส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้ประมาณ 14,000 ตัน มูลค่าประมาณ 840 ล้านบาท
3. การที่ราคากาแฟพันธุ์โรบัสตามีแนวโน้มต่ำลง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการทุ่มตลาด (dumping) ของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
ไก่ : การก่อตั้งสมาพันธุ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน
สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ร่วมกับประเทศผู้ผลิตไก่ในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ลงนามในบันทึกช่วยจำเพื่อจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 ที่กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมการผลิตไก่ในเขตอาเซียนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
2. ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศสมาชิกอุตสาหกรรมไก่เนื้อ
3. ส่งเสริมการค้าไก่เนื้ออย่างเสรี และเป็นธรรมในตลาดโลก
4. ประสานความร่วมมือกันในการกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ นโยบาย รวมทั้งยุทธวิธีเพื่อประสานประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรม
สาเหตุที่ได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดน่องไก่จากสหรัฐอเมริกา ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตไก่ของประเทศทั้ง 3 ได้รับความเสียหายไม่สามารถแข่งขันกับน่องไก่และปีกไก่ของสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาที่ถูกมาก ขณะที่ประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ เช่นกัน ในความพยายามที่จะเปิดตลาดน่องไก่ในไทยเมื่อปี 2541 แต่ได้รับการต่อต้านจากผู้ผลิตไก่ในประเทศ ทำให้การดำเนินการไม่ประสบผลและเมื่อต้นปี 2543 ได้ขอให้ไทยลดภาษีนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว และไก่งวงเหลือร้อยละ 10 แต่ไทยได้ยืนยันเก็บภาษีในอัตราเดิมที่ผูกพันไว้กับ WTO และขณะนี้มีไก่จากสหรัฐฯ ชนิดที่เรียกว่า game hen วางจำหน่ายในซุบเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง ทำให้ผู้ผลิตไก่ของไทยมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้มาก ในฐานะที่ไทยเป็นผู้นำในการผลิตไก่ของอาเซียนจึงได้เชิญชวนประเทศผู้ผลิตไก่มาร่วมมือกันเพื่อก่อตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน ผนึกกำลังกันในการต่อต้านไก่จากสหรัฐฯ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในกลุ่มอาเซียน ผนึกกำลังกันในการต่อต้านไก่จากสหรัฐฯ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในกลุ่มอาเซียน ถ้าต่อสู้เพียงประเทศเดียวจะไม่เข้มแข็งเท่ากับการรวมกลุ่มของประเทศอาเซียน
ข้อคิดเห็น
การรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ผลิตไก่อาเซียน ขณะนี้มีการลงนามบันทึกช่วยจำไปแล้ว 4 ประเทศ แต่อาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ ถ้ากลุ่มอาเซียนรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันแล้ว จะทำให้เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ของไทยแห่งหนึ่ง ตัวอย่าง ฟิลิปปินส์นำเข้าน่องไก่จากสหรัฐฯ ในปี 2541 ปริมาณ 6,400 ตัน ปี 2542 ปริมาณ 24,600 ตัน ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนมาก ถ้าฟิลิปปินส์นำเข้าจากไทยจะช่วยขยายตลาดไก่เนื้อของไทยมากขึ้น
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 44 ประจำวันที่ 6-12 พ.ย. 2543--
-สส-