1. ฐานเงินและปริมาณเงิน
- ฐานเงินขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่การขยายตัวของปริมาณเงินชะลอลง
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2547 อยู่ที่ระดับ 757.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 28.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 19.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลเพิ่มขึ้นจากการลดลงของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. เพื่อนำไปชดเชยการขาดดุลเงินสด และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่สถาบันการเงินลดลงเนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรเพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 5.7 6.6 และ 6.8 ตามลำดับ เนื่องจากผลของฐานเงินฝากที่สูงในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับปริมาณเงินยังคงแสดงให้เห็นถถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี
2. อัตราแลกเปลี่ย อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
- เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนแอ และข่าวการปรับค่าเงินหยวน
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินปรับสูงขึ้นจากสภาพคล่องที่ตึงตัว
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทุกระยะปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.
อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนพฤศจิกายน 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.34 บาทต่อคอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากจากค่าเฉลี่ยในเดือนตุลาคมที่ระดับ 41.31 บาทต่อคอลลาร์ สรอ.และเป็นการแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ปัจจัยหลักยังคงเป็นผลจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ.ที่เปราะบางจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณของสหรัฐฯ กอปรกับมีข่าวลือการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเทขายเงินดอลลาร์เพื่อถือเงินสกุลเอเชียเพิ่มขึ้นรวมทั้งเงินบาท
สำหรับค่าเงินบาทในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 โน้มแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 39.26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.แต่เคลื่อนไหวค่อนข้างผัวผวน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกสอดคล้องกับค่าเงินสกุลหลักและค่าเงินในภูมิภาค แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนเงินบาทได้อ่อนค่าลงจาก Sentiment ของดอลลาร์ สรอ.ที่ปรับดีขึ้นตามการคาดการณ์ของนักลงทุนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ รปท.มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม 2547 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอีกครั้ง
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ปรับเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนตุลาคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.69 และ 1.66 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นกอปรกับสถาบันการเงินบางแห่งต้องสำรองเงินไว้เพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้และเพื่อให้ภาครัฐกู้ยืมสำหรับการไถ่ถอนพันธบัตร
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉลี่ยเท่ากันอยู่ที่ร้อยละ 1.77 ต่อปี เนื่องจาก ธปท. ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว สภาพคล่องในตลาดซื้อคืนมีค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งจากภาครัฐมีการปล่อยเงินให้แก่กองทุนต่างๆ ธนาคารพาณิชย์จึงทยอยนำสภาพคล่องมาลงทุน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและกลาง ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ที่ปรับขึ้นในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม จึงเลือกลงทุนในตราสารระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะอื่นๆ ปรับสูงขึ้น
ในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวปรับลดลง ตามการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์กอปรกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศมีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรองรับยอดขายกรมธรรม์ประกันชีวิตในปีหน้าที่คาดว่าจะสูงขึ้น จากข่าวที่ทางการจะขยายวงเงินให้ผู้ซื้อประกันชีวิตหักลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นโดยเฉลี่ยทรงตัว โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือน อัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการถือครองเพื่อรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. และปรับสูงขึ้นภายหลัง ธปท. ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม 2547
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
- สินเชื่อและเงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 2.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงจากเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานเงินฝากที่สูงขึ้นชั่วคราวในปีก่อนจากกองทุนวายุภักษ์โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นในเดือนนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของภาคธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
สินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยขยายตัวที่ร้อยละ 8.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ให้แก่ประชาชน
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2547 มียอดคงค้าง 6,310.2 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤศจิกายน 2547และในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
- ฐานเงินขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่การขยายตัวของปริมาณเงินชะลอลง
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2547 อยู่ที่ระดับ 757.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 28.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 19.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลเพิ่มขึ้นจากการลดลงของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. เพื่อนำไปชดเชยการขาดดุลเงินสด และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่สถาบันการเงินลดลงเนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรเพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 5.7 6.6 และ 6.8 ตามลำดับ เนื่องจากผลของฐานเงินฝากที่สูงในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับปริมาณเงินยังคงแสดงให้เห็นถถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี
2. อัตราแลกเปลี่ย อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
- เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนแอ และข่าวการปรับค่าเงินหยวน
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินปรับสูงขึ้นจากสภาพคล่องที่ตึงตัว
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทุกระยะปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.
อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนพฤศจิกายน 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.34 บาทต่อคอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากจากค่าเฉลี่ยในเดือนตุลาคมที่ระดับ 41.31 บาทต่อคอลลาร์ สรอ.และเป็นการแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ปัจจัยหลักยังคงเป็นผลจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ.ที่เปราะบางจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณของสหรัฐฯ กอปรกับมีข่าวลือการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเทขายเงินดอลลาร์เพื่อถือเงินสกุลเอเชียเพิ่มขึ้นรวมทั้งเงินบาท
สำหรับค่าเงินบาทในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 โน้มแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 39.26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.แต่เคลื่อนไหวค่อนข้างผัวผวน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกสอดคล้องกับค่าเงินสกุลหลักและค่าเงินในภูมิภาค แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนเงินบาทได้อ่อนค่าลงจาก Sentiment ของดอลลาร์ สรอ.ที่ปรับดีขึ้นตามการคาดการณ์ของนักลงทุนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ รปท.มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม 2547 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอีกครั้ง
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ปรับเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนตุลาคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.69 และ 1.66 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นกอปรกับสถาบันการเงินบางแห่งต้องสำรองเงินไว้เพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้และเพื่อให้ภาครัฐกู้ยืมสำหรับการไถ่ถอนพันธบัตร
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉลี่ยเท่ากันอยู่ที่ร้อยละ 1.77 ต่อปี เนื่องจาก ธปท. ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว สภาพคล่องในตลาดซื้อคืนมีค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งจากภาครัฐมีการปล่อยเงินให้แก่กองทุนต่างๆ ธนาคารพาณิชย์จึงทยอยนำสภาพคล่องมาลงทุน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤศจิกายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและกลาง ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ที่ปรับขึ้นในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม จึงเลือกลงทุนในตราสารระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะอื่นๆ ปรับสูงขึ้น
ในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวปรับลดลง ตามการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์กอปรกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศมีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรองรับยอดขายกรมธรรม์ประกันชีวิตในปีหน้าที่คาดว่าจะสูงขึ้น จากข่าวที่ทางการจะขยายวงเงินให้ผู้ซื้อประกันชีวิตหักลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นโดยเฉลี่ยทรงตัว โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือน อัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการถือครองเพื่อรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. และปรับสูงขึ้นภายหลัง ธปท. ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม 2547
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
- สินเชื่อและเงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 2.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงจากเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานเงินฝากที่สูงขึ้นชั่วคราวในปีก่อนจากกองทุนวายุภักษ์โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นในเดือนนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของภาคธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
สินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยขยายตัวที่ร้อยละ 8.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ให้แก่ประชาชน
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2547 มียอดคงค้าง 6,310.2 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤศจิกายน 2547และในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--