แท็ก
สหรัฐ
สหรัฐอเมริกา
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงเเสดงถึงการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจในแทบทุกภาค โดยเฉพาะการบริโภค และการผลิตซึ่งอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็น ในประกาศเตือนของบริษัทต่างๆ ถึงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปีนี้ว่าอาจต่ำกว่าความคาดหมาย และเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ส่งผลลบต่อดัชนีหลักทรัพย์สหรัฐฯ นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีความยืดเยื้อส่งผลให้มีความผันผวนในตลาดการเงินเช่นกัน ส่วนแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตและการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง และภาวะการจ้างงานที่ลดความตึงตัวลง เนื่องจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและความ คาดหมายว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่ำ 25 basis point ในไตรมาสแรกของปี 2544
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2544 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากการอ่อนตัวของอุปสงค์และอุปทานในประเทศ ยอดการสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนพฤศจิกายนที่ลดลงเเสดงถึงการชะลอตัวสอดคล้องกับผลการสำรวจของ Consensus Economic Inc. ที่มีค่าเฉลี่ยการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 5.1 ในปี 2543 และร้อยละ 3 ในปี 2544 เทียบกับของ OECD (พฤศจิกายน 2543) ที่ร้อยละ 5.2 ในปี 2543 และ 3.5 ในปี 2544 ส่วนนโยบายของประธานาธิบดี George W. Bush โดยเฉพาะนโยบายการลดภาษีนั้น คาดว่าจะยังไม่เป็นผลในปี 2544
ยุโรป
เศรษฐกิจยูโร (11) ยังคงขยายตัวในระดับสูง แม้ว่าจะชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เทียบกับ ไตรมาสที่ 2 โดย GDP ขยายตัวร้อยละ 3.4 (yoy) ในไตรมาสที่3 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตรา ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ตลอดจนธุรกิจต่างๆ มีผลกำไรต่ำลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.7 ต่อปีในเดือนตุลาคมเทียบกับร้อยละ 2.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่สูงกว่า เป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ร้อยละ 2.0 ต่อปี อย่างไรก็ตาม core CPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปี ในเดือนตุลาคมใกล้เคียงกับที่เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 1.4 ต่อปีในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ย ไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หลังจาก ที่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.75 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา
เอเชียตะวันออก
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายนยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ โดย GDP ใน ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 0.2 (qoq) ส่วนใหญ่ เป็นผลจากการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 (qoq) ขณะที่การลงทุนภาครัฐฯ ลดลง เนื่องจากผลจากการใช้จ่ายตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสริมที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 หมดลง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2
อนึ่ง Economic Planning Agency (EPA) ได้ประกาศปรับตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 โดยใช้วิธีคำนวณแบบใหม่แทนการคำนวณตามวิธีเดิม ส่งผลให้ Real GDP ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 (qoq) เมื่อเทียบกับวิธีคำนวณแบบเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 1.0
ทางการจีนคาดว่าปริมาณการค้าต่างประเทศของจีนในปีนี้จะมีมูลค่าถึง 455 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 จากปีที่แล้วและขยายตัวสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2538 โดยการส่งออกในปี 2543 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.1 (yoy) และการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.7 (yoy) ดุลการค้าเกินดุลประมาณ 25 พันล้านดอลลาร์ สรอ. การส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นและ ดุลการค้าที่เกินดุลจะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อเสถียรภาพค่าเงินหยวนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของจีน เนื่องจากการส่งออกมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของ GDP ทั้งนี้ GDP ของจีนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวสูง ถึงร้อยละ 8 และอาจจะขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 7.5-8 ในปี 2544
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนในเดือนพฤศจิกายน 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 (yoy) ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี และสูงกว่าที่ตลาด คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.2 (yoy) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วง 11 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.2 (yoy) ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะความแห้งแล้งในภาคเหนือของจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมาก รวมทั้ง การปรับขึ้นราคาค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่าที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม การค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนกลับขยายตัวต่ำสุดในปีนี้เนื่องจากประชาชนยังคงวิตกกังวลต่อความมั่นคงในการจ้างงานและชะลอการจับจ่าย ใช้สอยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งปฏิรูปภาคเศรษฐกิจต่างๆ ของทางการ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ ปรับเพิ่มตัวเลขการคาดการณ์ CPI ของจีนในปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นจากภาวะเงินฝืด และการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนในเดือนพฤศจิกายนไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของ อุปสงค์ที่แท้จริง โดยคาดว่าภาวะเงินฝืดในจีนจะเริ่มผ่อนคลายลงในปีหน้า
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2543 รัฐสภาไต้หวันมีมติผ่านกฎหมายการควบรวมสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการควบรวมกิจการ อาทิ ยกเว้นภาษีบางประเภท อนุโลมให้สถาบันการเงินสามารถทยอยตัดบัญชีสำหรับผลขาดทุนที่เกิดจากการควบรวมกิจการได้นานขึ้น อนุญาตให้มีการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMCs) เพื่อซื้อหนี้เสียจากธนาคาร และอนุญาตให้สถาบัน การเงินต่างชาติเข้าควบรวมกิจการหรือถือหุ้นใหญ่ ในสถาบันการเงินท้องถิ่นได้ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมแก่สถาบันการเงินในประเทศตามแผนที่ไต้หวัน จะขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลกที่ทำให้ต้อง เปิดเสรีตลาดในประเทศมากขึ้น และแนวโน้มการรวม กิจการในตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจำนวน 54 แห่งและสหกรณ์สินเชื่อจำนวนเกือบ 400 แห่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนการควบรวม กิจการในภาคการธนาคารไต้หวัน กระทรวงการคลังไต้หวันมีแผนที่จะอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวในธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นได้ โดยจะต้องได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากกระทรวง การคลังก่อน นอกจากนี้ ไต้หวันมีแผนจะอนุญาตให้มีการจัดตั้งบริษัท holding ทางการเงินขึ้นด้วย
ตัวเลข GDP เบื้องต้นของไต้หวันในไตรมาส ที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 6.63 (yoy) สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.43 (yoy) เนื่องจากฐานการคำนวณในช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้วต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2542
ทั้งนี้ ทางการไต้หวันได้ประกาศปรับลด ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ลงเป็นร้อยละ 5.97 (yoy) จากที่คาดการณ์มื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ศกนี้ไว้ที่ร้อยละ 6.32 (yoy) เนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ลดลงโดยได้รับผลกระทบมาจากการตกต่ำของตลาดหุ้นไต้หวัน พร้อมทั้งได้ปรับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ทั้งปีลดลงเป็นร้อยละ 6.47 (yoy) จากเดิมคาดไว้ที่ร้อยละ 6.49 (yoy)
ธนาคารกลางไต้หวันประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสำรองเงินฝากเงินตราต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในอัตราร้อยละ 5 ของเงินตราต่างประเทศ ที่รับฝาก และให้มีผลบังคับใช้กับการฝากเงินตรา ต่างประเทศที่มีขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไป เนื่องจากปริมาณเงินฝากเงินตราต่างประเทศในไต้หวันได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันที่ลดลง (ร้อยละ 50 จากระดับสูงสุดในปีนี้ในเดือนเมษายน) และการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 7.5 จากเดือนมกราคมปีนี้) ทั้งนี้ เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินฝากเงินตราต่างประเทศและสร้างเสถียรภาพในตลาดเงินตรา ต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มต้นทุนในการ รับฝากเงินตราต่างประเทศและสร้างเเรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ย เงินฝากเงินตราต่างประเทศลง
ทางการฮ่องกงประกาศ GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 10.4 (yoy) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดไว้ที่ร้อยละ 7-8 พร้อมทั้งปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.8 เป็นร้อยละ 10.9 และทั้งปี 2543 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.5 เป็นร้อยละ 10 ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัว ดังกล่าวมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 17.7 (real term) ตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นของฮ่องกง รวมถึงการลงทุนที่ขยายตัวสูงขึ้น ส่วนการบริโภค ภาคเอกชนนับว่ายังอ่อนแออยู่เมื่อเทียบกับการขยายตัวของ GDP เนื่องจากอัตราการว่างงานที่ยังสูงถึงร้อยละ 4.8 นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ และภาวะเงินฝืดที่คาดว่าจะยืดเยื้อไปจนถึงกลางปีหน้าทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ สำหรับเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 4 และในปีหน้าคาดว่าจะชะลอลงเนื่องจากฐานการคำนวณที่สูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่สูงขึ้น
นับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไป บริษัทธุรกิจและบุคคลทั่วไปในฮ่องกงสามารถสั่งจ่ายเช็คเป็นเงินดอลลาร์ สรอ. จากบัญชีเงินฝากเงินดอลลาร์ สรอ. ของตนเองได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการพัฒนาระบบการชำระเงินในสกุลดอลลาร์ สรอ. (US-dollar clearing system) ของ Hong Kong Monetary Authority (HKMA) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาให้มีความสมบูรณ์เต็มรูปแบบระบบใหม่นี้จะช่วยให้บริษัทธุรกิจสามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ขาย (suppliers) ที่ต้องการรับชำระเป็นเงินดอลลาร์ สรอ. ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา ลดความเสี่ยง ในการชำระเงินและลดรายจ่ายค่าธรรมเนียมในการ แลกเปลี่ยนเงินลง นอกจากนี้ ผู้ค้าพันธบัตรจะสามารถรับชำระเงินได้เร็วขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก HKMA ได้เชื่อมระบบการชำระเงินในสกุลดอลลาร์ สรอ. เข้ากับระบบ Central Moneymarkets Unit (CMU) ของ HKMA ที่ดำเนินงานด้านชำระบัญชีและดูแลเก็บรักษาหลักทรัพย์ (Local debt securities custodian) ทำให้การค้า พันธบัตรที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ. ในระบบ CMU สามารถชำระบัญชีได้ทันที
GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 9.2 (yoy) ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.6 แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 7-8 โดยมีการส่งออกเป็นปัจจัยผลักดัน สำหรับเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ธนาคารกลางเกาหลีใต้คาดว่า อาจจะชะลอลงเนื่องจากแนวโน้มการชะลอลงของการ ส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ ธนาคารกลางคาดว่าเศรษฐกิจของทั้งปี 2543 จะขยายตัวร้อยละ 9.3 ส่วน ในปี 2544 คาดว่าจะชะลอลง โดยจะขยายตัวเพียง ร้อยละ 5.3
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) หรือสภาผู้แทนราษฎร เกาหลีใต้อนุมัติเงินงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 40 ล้านล้านวอน (32.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพื่อปรับโครงสร้างสถาบันการเงินที่มีหนี้เสียจำนวนมาก ซึ่งนับตั้งแต่วิกฤติทางการเงินจนถึงปัจจุบัน ทางการเกาหลีใต้ใช้ งบประมาณแล้วทั้งสิ้น 110 ล้านล้านวอน (90 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพื่อปฏิรูปสถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจ นอกจากนี้ ทางการเกาหลีใต้จะระดมเงินจากการขาย หนี้เสียที่รับซื้อมาจากสถาบันการเงินอีกจำนวน 10 ล้านล้านวอน ดังนั้น จำนวนเงินเพื่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินจะมีทั้งสิ้น 50 ล้านล้านวอน (41.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.)
อาเซียน
ทางการอินโดนีเซียประกาศปรับตัวเลข งบประมาณปี 2544 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 โดยคาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้นเนื่องจากมีรายรับจากการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นและรัฐบาลมีรายรับจาก การเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทางการตั้งเป้าการขาดดุล งบประมาณในปี 2544 ไว้ที่ร้อยละ 3.7 ของ GDP
ใหม่ เดิม
GDP(%) 5.00 4.50
อัตราเงินเฟ้อ (%) 7.20 7.00
อัตราดอกเบี้ย (3-month SBI) 11.50 11.00
อัตราแลกเปลี่ยน(รูเปียห์/$US) 7800.00 7300.00
ขาดดุลงบประมาณ (bln.US) 3.13 4.65
ราคาน้ำมัน($US/บาเรล) 24.00 22.00
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 ทางการ อินโดนีเซีย ออกระเบียบให้รัฐวิสาหกิจต้องซื้อเงินตรา ต่างประเทศเพื่อชำระคืนหนี้ต่างประเทศจาก ธนาคารกลางเท่านั้น ห้ามไม่ให้ซื้อจากตลาดทั่วไป (open market) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความต้องการเงินดอลลาร์ สรอ. ในตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นการช่วยพยุง ค่าเงินรูเปียห์ไม่ให้อ่อนลงตามความต้องการซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อชำระคืนหนี้ต่างประเทศในช่วงปลายปี และมาตรการดังกล่าวจะทำให้ธนาคารกลางสามารถ ควบคุมดูแลค่าเงินได้ง่ายขึ้น
GDP ไตรมาสที่ 3 ของฟิลิปปินส์ขยายตัว ร้อยละ 4.8 (yoy) สูงกว่าที่ทางการคาดการณ์ไว้ที่ ร้อยละ 4 และขยายตัวร้อยละ 1.1 (qoq) เป็นผลจาก การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 6.7 (yoy) สูงสุดในรอบ 2 ปี รวมทั้งภาคเกษตรกรรมและบริการซึ่งมีสัดส่วนสูงต่อ GDP ขยายตัวค่อนข้างดี อย่างไร ก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ของฟิลิปปินส์ จะชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศกรณีการ ลงมติถอดถอนประธานาธิบดี Estrada ซึ่งเป็นเหตุให้เงินเปโซอ่อนค่าลงจนธนาคารกลางต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงร้อยละ 4 ในเดือนตุลาคม
ต่อมาในเดือนธันวาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (The policy making Monetary Board) ของ ฟิลิปปินส์ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของ ทางการลงร้อยละ 0.5 ติดต่อกัน 3 ครั้ง มีผลในวันที่ 4, 11 และ 18 ธันวาคม ตามลำดับ เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมและ ส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเนื่องจากค่าเงินเปโซ มีเสถียรภาพมากขึ้นส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate ลดลงจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 13.5 และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 17.25 เป็นร้อยละ 15.75 นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลาง ยังกล่าวว่าธนาคารกลางมีเป้าหมายจะลดอัตราดอกเบี้ย ให้เหลือร้อยละ 11 ในปีหน้า
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มาเลเซียได้เปิดตลาดการเงินระหว่างประเทศ Labuan International Financial Exchange (LFX) ขึ้นบนเกาะ Labuan ซึ่งเป็น tax heaven ของมาเลเซีย LFX จะเป็นตลาดซื้อขายตราสารทางการเงินสกุลเงินต่างๆ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบ internet โดยไม่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเงินทุนของมาเลเซีย และมี Kuala Lumpur Stock Exchange (KLSE) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด สำหรับบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนใน LFX จะต้อง ไม่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนใน KLSE
ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 (yoy) ต่ำกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ร้อยละ 8.2 และชะลอลงจากในช่วงครึ่งปีเเรก โดยเป็นผลจากการชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งการผลิตน้ำมันเเละการผลิตในภาคการเกษตรที่ลดลง อย่างไรก็ตาม GDP ขยายตัวร้อยละ 2 (qoq) นอกจากนี้ ยังได้ปรับลดอัตรา การขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 2 ลดลงเหลือ ร้อยละ 8.5 (yoy) จากเดิมร้อยละ 8.8 ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวว่ามาเลเซียจะยังคงสามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายซึ่งเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่อไปเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่า จะอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2 สำหรับทั้งปี 2543 และเห็นว่าอัตราเเลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่ร้อยละ 3.80 ริงกิตต่อดอลลาร์ สรอ. น่าจะยังคงเป็นอัตราที่ยังใช้ได้ต่อไป (viable and sustainable)
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 Monetary Authority of Singapore หรือ MAS ประกาศผ่อนคลาย กฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (non-internationalisation policy) เพื่อกระตุ้นการลงทุนจาก ต่างประเทศในตลาดทุน โดยอนุญาตให้ non-residents กู้ยืมเงินดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อใช้ในการลงทุนหรือเพื่อ ถือครองสินทรัพย์ที่เป็น equities, bonds และสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ใช่สำหรับอยู่อาศัยในสิงคโปร์ได้ (เดิมจะอนุญาตให้ non-residents กู้ยืมเงินดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับธุรกรรม ทางด้านการผลิตและการพาณิชย์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อ ระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์เท่านั้น) และอนุญาตให้ non-residents สามารถขอสินเชื่อเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับดำเนินธุรกรรมต่างประเทศ (offshore)ได้ แต่จะ ต้องมีการทำ swap ดอลลาร์สิงคโปร์ไปเป็นเงินสกุลอื่น เมื่อจะนำไปใช้ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินดอลลาร์สิงคโปร์ยังคงจำกัดจำนวนของเงินดอลลาร์ สิงคโปร์สำหรับธุรกรรมในต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง กับการค้าไว้ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์โดยจะต้อง มีการทำ swap ไปเป็นเงินสกุลอื่นเมื่อจะนำไปใช้ ในต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเงินดอลลาร์ สิงคโปร์ของ non-residents และเพื่อเป็นการยับยั้ง การพัฒนาตลาดเงินดอลลาร์สิงคโปร์ offshore
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงเเสดงถึงการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจในแทบทุกภาค โดยเฉพาะการบริโภค และการผลิตซึ่งอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็น ในประกาศเตือนของบริษัทต่างๆ ถึงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปีนี้ว่าอาจต่ำกว่าความคาดหมาย และเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ส่งผลลบต่อดัชนีหลักทรัพย์สหรัฐฯ นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีความยืดเยื้อส่งผลให้มีความผันผวนในตลาดการเงินเช่นกัน ส่วนแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตและการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง และภาวะการจ้างงานที่ลดความตึงตัวลง เนื่องจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและความ คาดหมายว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่ำ 25 basis point ในไตรมาสแรกของปี 2544
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2544 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากการอ่อนตัวของอุปสงค์และอุปทานในประเทศ ยอดการสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนพฤศจิกายนที่ลดลงเเสดงถึงการชะลอตัวสอดคล้องกับผลการสำรวจของ Consensus Economic Inc. ที่มีค่าเฉลี่ยการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 5.1 ในปี 2543 และร้อยละ 3 ในปี 2544 เทียบกับของ OECD (พฤศจิกายน 2543) ที่ร้อยละ 5.2 ในปี 2543 และ 3.5 ในปี 2544 ส่วนนโยบายของประธานาธิบดี George W. Bush โดยเฉพาะนโยบายการลดภาษีนั้น คาดว่าจะยังไม่เป็นผลในปี 2544
ยุโรป
เศรษฐกิจยูโร (11) ยังคงขยายตัวในระดับสูง แม้ว่าจะชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เทียบกับ ไตรมาสที่ 2 โดย GDP ขยายตัวร้อยละ 3.4 (yoy) ในไตรมาสที่3 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตรา ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ตลอดจนธุรกิจต่างๆ มีผลกำไรต่ำลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.7 ต่อปีในเดือนตุลาคมเทียบกับร้อยละ 2.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่สูงกว่า เป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ร้อยละ 2.0 ต่อปี อย่างไรก็ตาม core CPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปี ในเดือนตุลาคมใกล้เคียงกับที่เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 1.4 ต่อปีในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ย ไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หลังจาก ที่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.75 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา
เอเชียตะวันออก
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายนยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ โดย GDP ใน ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 0.2 (qoq) ส่วนใหญ่ เป็นผลจากการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 (qoq) ขณะที่การลงทุนภาครัฐฯ ลดลง เนื่องจากผลจากการใช้จ่ายตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสริมที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 หมดลง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2
อนึ่ง Economic Planning Agency (EPA) ได้ประกาศปรับตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 โดยใช้วิธีคำนวณแบบใหม่แทนการคำนวณตามวิธีเดิม ส่งผลให้ Real GDP ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 (qoq) เมื่อเทียบกับวิธีคำนวณแบบเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 1.0
ทางการจีนคาดว่าปริมาณการค้าต่างประเทศของจีนในปีนี้จะมีมูลค่าถึง 455 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 จากปีที่แล้วและขยายตัวสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2538 โดยการส่งออกในปี 2543 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.1 (yoy) และการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29.7 (yoy) ดุลการค้าเกินดุลประมาณ 25 พันล้านดอลลาร์ สรอ. การส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นและ ดุลการค้าที่เกินดุลจะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อเสถียรภาพค่าเงินหยวนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของจีน เนื่องจากการส่งออกมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของ GDP ทั้งนี้ GDP ของจีนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวสูง ถึงร้อยละ 8 และอาจจะขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 7.5-8 ในปี 2544
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนในเดือนพฤศจิกายน 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 (yoy) ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี และสูงกว่าที่ตลาด คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.2 (yoy) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วง 11 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.2 (yoy) ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะความแห้งแล้งในภาคเหนือของจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมาก รวมทั้ง การปรับขึ้นราคาค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่าที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม การค้าปลีกในเดือนพฤศจิกายนกลับขยายตัวต่ำสุดในปีนี้เนื่องจากประชาชนยังคงวิตกกังวลต่อความมั่นคงในการจ้างงานและชะลอการจับจ่าย ใช้สอยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งปฏิรูปภาคเศรษฐกิจต่างๆ ของทางการ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ ปรับเพิ่มตัวเลขการคาดการณ์ CPI ของจีนในปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นจากภาวะเงินฝืด และการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนในเดือนพฤศจิกายนไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของ อุปสงค์ที่แท้จริง โดยคาดว่าภาวะเงินฝืดในจีนจะเริ่มผ่อนคลายลงในปีหน้า
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2543 รัฐสภาไต้หวันมีมติผ่านกฎหมายการควบรวมสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการควบรวมกิจการ อาทิ ยกเว้นภาษีบางประเภท อนุโลมให้สถาบันการเงินสามารถทยอยตัดบัญชีสำหรับผลขาดทุนที่เกิดจากการควบรวมกิจการได้นานขึ้น อนุญาตให้มีการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMCs) เพื่อซื้อหนี้เสียจากธนาคาร และอนุญาตให้สถาบัน การเงินต่างชาติเข้าควบรวมกิจการหรือถือหุ้นใหญ่ ในสถาบันการเงินท้องถิ่นได้ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมแก่สถาบันการเงินในประเทศตามแผนที่ไต้หวัน จะขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลกที่ทำให้ต้อง เปิดเสรีตลาดในประเทศมากขึ้น และแนวโน้มการรวม กิจการในตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจำนวน 54 แห่งและสหกรณ์สินเชื่อจำนวนเกือบ 400 แห่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนการควบรวม กิจการในภาคการธนาคารไต้หวัน กระทรวงการคลังไต้หวันมีแผนที่จะอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวในธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นได้ โดยจะต้องได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากกระทรวง การคลังก่อน นอกจากนี้ ไต้หวันมีแผนจะอนุญาตให้มีการจัดตั้งบริษัท holding ทางการเงินขึ้นด้วย
ตัวเลข GDP เบื้องต้นของไต้หวันในไตรมาส ที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 6.63 (yoy) สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.43 (yoy) เนื่องจากฐานการคำนวณในช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้วต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2542
ทั้งนี้ ทางการไต้หวันได้ประกาศปรับลด ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ลงเป็นร้อยละ 5.97 (yoy) จากที่คาดการณ์มื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ศกนี้ไว้ที่ร้อยละ 6.32 (yoy) เนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ลดลงโดยได้รับผลกระทบมาจากการตกต่ำของตลาดหุ้นไต้หวัน พร้อมทั้งได้ปรับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ทั้งปีลดลงเป็นร้อยละ 6.47 (yoy) จากเดิมคาดไว้ที่ร้อยละ 6.49 (yoy)
ธนาคารกลางไต้หวันประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสำรองเงินฝากเงินตราต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในอัตราร้อยละ 5 ของเงินตราต่างประเทศ ที่รับฝาก และให้มีผลบังคับใช้กับการฝากเงินตรา ต่างประเทศที่มีขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไป เนื่องจากปริมาณเงินฝากเงินตราต่างประเทศในไต้หวันได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันที่ลดลง (ร้อยละ 50 จากระดับสูงสุดในปีนี้ในเดือนเมษายน) และการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 7.5 จากเดือนมกราคมปีนี้) ทั้งนี้ เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินฝากเงินตราต่างประเทศและสร้างเสถียรภาพในตลาดเงินตรา ต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มต้นทุนในการ รับฝากเงินตราต่างประเทศและสร้างเเรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ย เงินฝากเงินตราต่างประเทศลง
ทางการฮ่องกงประกาศ GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 10.4 (yoy) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดไว้ที่ร้อยละ 7-8 พร้อมทั้งปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.8 เป็นร้อยละ 10.9 และทั้งปี 2543 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.5 เป็นร้อยละ 10 ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัว ดังกล่าวมาจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 17.7 (real term) ตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นของฮ่องกง รวมถึงการลงทุนที่ขยายตัวสูงขึ้น ส่วนการบริโภค ภาคเอกชนนับว่ายังอ่อนแออยู่เมื่อเทียบกับการขยายตัวของ GDP เนื่องจากอัตราการว่างงานที่ยังสูงถึงร้อยละ 4.8 นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ และภาวะเงินฝืดที่คาดว่าจะยืดเยื้อไปจนถึงกลางปีหน้าทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ สำหรับเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 4 และในปีหน้าคาดว่าจะชะลอลงเนื่องจากฐานการคำนวณที่สูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่สูงขึ้น
นับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไป บริษัทธุรกิจและบุคคลทั่วไปในฮ่องกงสามารถสั่งจ่ายเช็คเป็นเงินดอลลาร์ สรอ. จากบัญชีเงินฝากเงินดอลลาร์ สรอ. ของตนเองได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการพัฒนาระบบการชำระเงินในสกุลดอลลาร์ สรอ. (US-dollar clearing system) ของ Hong Kong Monetary Authority (HKMA) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาให้มีความสมบูรณ์เต็มรูปแบบระบบใหม่นี้จะช่วยให้บริษัทธุรกิจสามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ขาย (suppliers) ที่ต้องการรับชำระเป็นเงินดอลลาร์ สรอ. ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา ลดความเสี่ยง ในการชำระเงินและลดรายจ่ายค่าธรรมเนียมในการ แลกเปลี่ยนเงินลง นอกจากนี้ ผู้ค้าพันธบัตรจะสามารถรับชำระเงินได้เร็วขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก HKMA ได้เชื่อมระบบการชำระเงินในสกุลดอลลาร์ สรอ. เข้ากับระบบ Central Moneymarkets Unit (CMU) ของ HKMA ที่ดำเนินงานด้านชำระบัญชีและดูแลเก็บรักษาหลักทรัพย์ (Local debt securities custodian) ทำให้การค้า พันธบัตรที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ. ในระบบ CMU สามารถชำระบัญชีได้ทันที
GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 9.2 (yoy) ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 9.6 แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 7-8 โดยมีการส่งออกเป็นปัจจัยผลักดัน สำหรับเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ธนาคารกลางเกาหลีใต้คาดว่า อาจจะชะลอลงเนื่องจากแนวโน้มการชะลอลงของการ ส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ ธนาคารกลางคาดว่าเศรษฐกิจของทั้งปี 2543 จะขยายตัวร้อยละ 9.3 ส่วน ในปี 2544 คาดว่าจะชะลอลง โดยจะขยายตัวเพียง ร้อยละ 5.3
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) หรือสภาผู้แทนราษฎร เกาหลีใต้อนุมัติเงินงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 40 ล้านล้านวอน (32.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพื่อปรับโครงสร้างสถาบันการเงินที่มีหนี้เสียจำนวนมาก ซึ่งนับตั้งแต่วิกฤติทางการเงินจนถึงปัจจุบัน ทางการเกาหลีใต้ใช้ งบประมาณแล้วทั้งสิ้น 110 ล้านล้านวอน (90 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพื่อปฏิรูปสถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจ นอกจากนี้ ทางการเกาหลีใต้จะระดมเงินจากการขาย หนี้เสียที่รับซื้อมาจากสถาบันการเงินอีกจำนวน 10 ล้านล้านวอน ดังนั้น จำนวนเงินเพื่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินจะมีทั้งสิ้น 50 ล้านล้านวอน (41.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.)
อาเซียน
ทางการอินโดนีเซียประกาศปรับตัวเลข งบประมาณปี 2544 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 โดยคาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้นเนื่องจากมีรายรับจากการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นและรัฐบาลมีรายรับจาก การเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทางการตั้งเป้าการขาดดุล งบประมาณในปี 2544 ไว้ที่ร้อยละ 3.7 ของ GDP
ใหม่ เดิม
GDP(%) 5.00 4.50
อัตราเงินเฟ้อ (%) 7.20 7.00
อัตราดอกเบี้ย (3-month SBI) 11.50 11.00
อัตราแลกเปลี่ยน(รูเปียห์/$US) 7800.00 7300.00
ขาดดุลงบประมาณ (bln.US) 3.13 4.65
ราคาน้ำมัน($US/บาเรล) 24.00 22.00
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 ทางการ อินโดนีเซีย ออกระเบียบให้รัฐวิสาหกิจต้องซื้อเงินตรา ต่างประเทศเพื่อชำระคืนหนี้ต่างประเทศจาก ธนาคารกลางเท่านั้น ห้ามไม่ให้ซื้อจากตลาดทั่วไป (open market) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความต้องการเงินดอลลาร์ สรอ. ในตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นการช่วยพยุง ค่าเงินรูเปียห์ไม่ให้อ่อนลงตามความต้องการซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อชำระคืนหนี้ต่างประเทศในช่วงปลายปี และมาตรการดังกล่าวจะทำให้ธนาคารกลางสามารถ ควบคุมดูแลค่าเงินได้ง่ายขึ้น
GDP ไตรมาสที่ 3 ของฟิลิปปินส์ขยายตัว ร้อยละ 4.8 (yoy) สูงกว่าที่ทางการคาดการณ์ไว้ที่ ร้อยละ 4 และขยายตัวร้อยละ 1.1 (qoq) เป็นผลจาก การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 6.7 (yoy) สูงสุดในรอบ 2 ปี รวมทั้งภาคเกษตรกรรมและบริการซึ่งมีสัดส่วนสูงต่อ GDP ขยายตัวค่อนข้างดี อย่างไร ก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ของฟิลิปปินส์ จะชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศกรณีการ ลงมติถอดถอนประธานาธิบดี Estrada ซึ่งเป็นเหตุให้เงินเปโซอ่อนค่าลงจนธนาคารกลางต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึงร้อยละ 4 ในเดือนตุลาคม
ต่อมาในเดือนธันวาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (The policy making Monetary Board) ของ ฟิลิปปินส์ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของ ทางการลงร้อยละ 0.5 ติดต่อกัน 3 ครั้ง มีผลในวันที่ 4, 11 และ 18 ธันวาคม ตามลำดับ เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมและ ส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเนื่องจากค่าเงินเปโซ มีเสถียรภาพมากขึ้นส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate ลดลงจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 13.5 และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 17.25 เป็นร้อยละ 15.75 นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลาง ยังกล่าวว่าธนาคารกลางมีเป้าหมายจะลดอัตราดอกเบี้ย ให้เหลือร้อยละ 11 ในปีหน้า
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มาเลเซียได้เปิดตลาดการเงินระหว่างประเทศ Labuan International Financial Exchange (LFX) ขึ้นบนเกาะ Labuan ซึ่งเป็น tax heaven ของมาเลเซีย LFX จะเป็นตลาดซื้อขายตราสารทางการเงินสกุลเงินต่างๆ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบ internet โดยไม่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเงินทุนของมาเลเซีย และมี Kuala Lumpur Stock Exchange (KLSE) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด สำหรับบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนใน LFX จะต้อง ไม่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนใน KLSE
ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 (yoy) ต่ำกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ร้อยละ 8.2 และชะลอลงจากในช่วงครึ่งปีเเรก โดยเป็นผลจากการชะลอตัวของการบริโภค รวมทั้งการผลิตน้ำมันเเละการผลิตในภาคการเกษตรที่ลดลง อย่างไรก็ตาม GDP ขยายตัวร้อยละ 2 (qoq) นอกจากนี้ ยังได้ปรับลดอัตรา การขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 2 ลดลงเหลือ ร้อยละ 8.5 (yoy) จากเดิมร้อยละ 8.8 ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวว่ามาเลเซียจะยังคงสามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายซึ่งเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่อไปเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่า จะอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2 สำหรับทั้งปี 2543 และเห็นว่าอัตราเเลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่ร้อยละ 3.80 ริงกิตต่อดอลลาร์ สรอ. น่าจะยังคงเป็นอัตราที่ยังใช้ได้ต่อไป (viable and sustainable)
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 Monetary Authority of Singapore หรือ MAS ประกาศผ่อนคลาย กฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (non-internationalisation policy) เพื่อกระตุ้นการลงทุนจาก ต่างประเทศในตลาดทุน โดยอนุญาตให้ non-residents กู้ยืมเงินดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อใช้ในการลงทุนหรือเพื่อ ถือครองสินทรัพย์ที่เป็น equities, bonds และสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ใช่สำหรับอยู่อาศัยในสิงคโปร์ได้ (เดิมจะอนุญาตให้ non-residents กู้ยืมเงินดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับธุรกรรม ทางด้านการผลิตและการพาณิชย์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อ ระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์เท่านั้น) และอนุญาตให้ non-residents สามารถขอสินเชื่อเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับดำเนินธุรกรรมต่างประเทศ (offshore)ได้ แต่จะ ต้องมีการทำ swap ดอลลาร์สิงคโปร์ไปเป็นเงินสกุลอื่น เมื่อจะนำไปใช้ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบการทำธุรกรรมเงินดอลลาร์สิงคโปร์ยังคงจำกัดจำนวนของเงินดอลลาร์ สิงคโปร์สำหรับธุรกรรมในต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง กับการค้าไว้ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์โดยจะต้อง มีการทำ swap ไปเป็นเงินสกุลอื่นเมื่อจะนำไปใช้ ในต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเงินดอลลาร์ สิงคโปร์ของ non-residents และเพื่อเป็นการยับยั้ง การพัฒนาตลาดเงินดอลลาร์สิงคโปร์ offshore
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-