กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศไทย
วันนี้ (12 ธันวาคม 2544) ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-19 ธันวาคม 2544 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการเยือนในลักษณะ working visit เนื่องจากภายหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมตึก World Trade ณ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 แล้ว ฝ่ายสหรัฐฯ จะไม่ให้มีการเยือนสหรัฐฯ ในลักษณะ official visit ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เนื่องจาก ต้องมีพิธีต้อนรับกลางแจ้ง
2. อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเยือนสหรัฐฯ ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มาก อาทิ การให้เครื่องบินพิเศษของนายกรัฐมนตรีและคณะลงจอดที่สนามบิน ฐานทัพอากาศ Andrew Airforce Base การเชิญนายกรัฐมนตรีพักที่บ้านพักรับรอง Blair House ของ รัฐบาลสหรัฐฯ การพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนาย Donald Rumsfeld รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ การเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่นายกรัฐมนตรี โดย พล.อ. Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ภายหลังการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางการต้อนรับที่พิเศษมากกว่าการต้อนรับการเยือนในลักษณะ working visit ทั่วไป
3. สาระสำคัญของการเยือนครั้งนี้ คือ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งไทยและสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วน (Partnership Relations)
4. ทั้งสองฝ่ายจะมีการลงนามในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ระหว่าง ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ พล.อ. Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายแบบใหม่ที่จะมีความสำคัญในอนาคตมากกว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ที่เคยมีมา เนื่องจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายที่ผ่านมานั้น มักจะให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ และสิทธิพิเศษทางการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่าย มีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันและเป็นหุ้นส่วนกันในการที่จะแสวงหาความร่วมมือและส่งเสริมผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
5. กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับ ศักยภาพของไทยในการเป็น
1) ศูนย์กลางการซ่อมอากาศยาน โดยสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการบินและการซ่อมเครื่องบิน 2) ศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ (cargo hub) ในภูมิภาคนี้ โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมมือลงทุน 3) ศูนย์กลางด้านการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เช่น อุตสาหกรรมผลิตยางล้อเครื่องบิน โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะร่วมมือและให้ความช่วยเหลือไทยในการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เช่น การเพิ่มมูลค่าเพิ่มโดยการใช้ยางพาราไทย ในการผลิตยางล้อเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานของไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ อีกเช่น
4) ทั้งสองฝ่ายจะตกลงที่จะให้มีความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านราคาข้าว เพื่อร่วมกันรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลกไว้ 5) ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตที่จะแสดงความประสงค์ว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของอนุสัญญา ยกเว้นภาษีซ้อน ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติในไทยด้วย
6) ฝ่ายสหรัฐฯ จะให้การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในไทย
7) ฝ่ายสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนการก่อตั้งวิทยาลัยชุมชน (Community College) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยมาตั้งแต่เริ่มแรก
6. นอกจากนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ จะพิจารณาให้องค์การเพื่อการพัฒนาและการค้า (Trade and Development Agency-TDA) มาจัดตั้งสำนักงานสาขาประจำภูมิภาค (regional office) ในประเทศไทย เพื่อให้ความช่วยเหลือโครงการต่างๆ ของไทย โดยการส่งเสริมบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และทั้งสองฝ่ายจะมีการลงนาม Memorandum of Understanding on Matching Fund ระหว่างฝ่ายไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีวงเงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
7. สำหรับการพบปะกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ นั้น นายกรัฐมนตรีจะได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยมีสภานักธุรกิจสหรัฐฯ —อาเซียน (US-ASEAN Business Council) สภานักธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (US-Thailand Business Council) และ The Asia Society เป็นเจ้าภาพ ณ กรุงวอชิงตัน และจะมีการพบปะกับนักธุรกิจ ณ นครนิวยอร์ก ด้วย ซึ่งถือเป็นการทำ road show ประการหนึ่ง ที่จะชี้แจงให้นักธุรกิจต่างชาติทราบเกี่ยวกับนโยบายและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทย
8. สำหรับการพบปะกับนาย Kofi Annan เลขาธิการสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก นั้น ฝ่ายไทยจะมีการลงนามเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายสากล ซึ่งเป็นไปตามมติของสหประชาชาติด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
วันนี้ (12 ธันวาคม 2544) ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-19 ธันวาคม 2544 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการเยือนในลักษณะ working visit เนื่องจากภายหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมตึก World Trade ณ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 แล้ว ฝ่ายสหรัฐฯ จะไม่ให้มีการเยือนสหรัฐฯ ในลักษณะ official visit ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เนื่องจาก ต้องมีพิธีต้อนรับกลางแจ้ง
2. อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเยือนสหรัฐฯ ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มาก อาทิ การให้เครื่องบินพิเศษของนายกรัฐมนตรีและคณะลงจอดที่สนามบิน ฐานทัพอากาศ Andrew Airforce Base การเชิญนายกรัฐมนตรีพักที่บ้านพักรับรอง Blair House ของ รัฐบาลสหรัฐฯ การพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนาย Donald Rumsfeld รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ การเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่นายกรัฐมนตรี โดย พล.อ. Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ภายหลังการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางการต้อนรับที่พิเศษมากกว่าการต้อนรับการเยือนในลักษณะ working visit ทั่วไป
3. สาระสำคัญของการเยือนครั้งนี้ คือ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งไทยและสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วน (Partnership Relations)
4. ทั้งสองฝ่ายจะมีการลงนามในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ระหว่าง ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ พล.อ. Colin Powell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายแบบใหม่ที่จะมีความสำคัญในอนาคตมากกว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ที่เคยมีมา เนื่องจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายที่ผ่านมานั้น มักจะให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ และสิทธิพิเศษทางการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่าย มีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันและเป็นหุ้นส่วนกันในการที่จะแสวงหาความร่วมมือและส่งเสริมผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
5. กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับ ศักยภาพของไทยในการเป็น
1) ศูนย์กลางการซ่อมอากาศยาน โดยสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการบินและการซ่อมเครื่องบิน 2) ศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ (cargo hub) ในภูมิภาคนี้ โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมมือลงทุน 3) ศูนย์กลางด้านการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เช่น อุตสาหกรรมผลิตยางล้อเครื่องบิน โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะร่วมมือและให้ความช่วยเหลือไทยในการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เช่น การเพิ่มมูลค่าเพิ่มโดยการใช้ยางพาราไทย ในการผลิตยางล้อเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานของไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ อีกเช่น
4) ทั้งสองฝ่ายจะตกลงที่จะให้มีความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านราคาข้าว เพื่อร่วมกันรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลกไว้ 5) ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตที่จะแสดงความประสงค์ว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของอนุสัญญา ยกเว้นภาษีซ้อน ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติในไทยด้วย
6) ฝ่ายสหรัฐฯ จะให้การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในไทย
7) ฝ่ายสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนการก่อตั้งวิทยาลัยชุมชน (Community College) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยมาตั้งแต่เริ่มแรก
6. นอกจากนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ จะพิจารณาให้องค์การเพื่อการพัฒนาและการค้า (Trade and Development Agency-TDA) มาจัดตั้งสำนักงานสาขาประจำภูมิภาค (regional office) ในประเทศไทย เพื่อให้ความช่วยเหลือโครงการต่างๆ ของไทย โดยการส่งเสริมบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และทั้งสองฝ่ายจะมีการลงนาม Memorandum of Understanding on Matching Fund ระหว่างฝ่ายไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีวงเงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
7. สำหรับการพบปะกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ นั้น นายกรัฐมนตรีจะได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยมีสภานักธุรกิจสหรัฐฯ —อาเซียน (US-ASEAN Business Council) สภานักธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (US-Thailand Business Council) และ The Asia Society เป็นเจ้าภาพ ณ กรุงวอชิงตัน และจะมีการพบปะกับนักธุรกิจ ณ นครนิวยอร์ก ด้วย ซึ่งถือเป็นการทำ road show ประการหนึ่ง ที่จะชี้แจงให้นักธุรกิจต่างชาติทราบเกี่ยวกับนโยบายและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทย
8. สำหรับการพบปะกับนาย Kofi Annan เลขาธิการสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก นั้น ฝ่ายไทยจะมีการลงนามเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายสากล ซึ่งเป็นไปตามมติของสหประชาชาติด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-