แท็ก
นายกรัฐมนตรี
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--24 ม.ค.--รอยเตอร์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
1.2.1 หอมหัวใหญ่ : ราคาอาจมีแนวโน้มต่ำลง
จากการที่ประธานสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่าตอง จำกัด ได้ทำหนังสือร้องเรียนนายกรัฐมนตรีขอให้แก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณา สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ติดตามภาวะการผลิตและการตลาดปี 2542/43 ซึ่งประมาณการเนื้อที่ปลูกหอมหัวใหญ่ไว้ 21,369 ไร่ ผลผลิต 67,646 ตัน ผลผลิตบางส่วนเสียหายเนื่องจากอุทกภัยในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2542 ที่ผ่านมา ยังคงเหลือผลผลิตที่อยู่ในเขตอำเภอแม่วางและสันป่าตอง คาดว่าจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม สำหรับผลผลิตของอำเภอฝางและไชยปราการจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2543
จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดเดือนมกราคม 2543 ผลผลิตหอมหัวใหญ่ของอำเภอแม่วางและสันป่าตองมีบริษัททำข้อตกลงรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในราคาหอมหัวใหญ่เบอร์ 0 กิโลกรัมละ 13 บาท เบอร์ 1 กิโลกรัมละ 11 บาท เบอร์ 2 กิโลกรัมละ 8 บาท เบอร์ 3 กิโลกรัมละ 5 บาท ไม่น่าที่จะมีปัญหาต่อไปอีกแล้ว ส่วนผลผลิตที่จะออกในช่วงเดือนมีนาคม จากการที่ได้มีการประชุมปรึกษาหารือระหว่างบริษัทรับซื้อและสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2542 คาดว่าปัญหาการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ถ้าไม่มีการเข้มงวดกวดขันการปราบปรามลักลอบการนำเข้า อาจจะทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคม 2543 มีแนวโน้มลดต่ำลง เกิดปัญหากับเกษตรกรได้
จึงเห็นควรให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมศุลกากรเข้มงวดกวดขันการปราบปรามลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ โดยเฉพาะตามด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ในเขตอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นกรณีพิเศษ
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ครม. เห็นชอบแนวทางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรควรเร่งรัดดำเนินการ
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 รับทราบแนวทางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยสินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด ประกอบด้วย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ลำไย สับปะรด ทุเรียน กล้วยไม้ และกุ้งกุลาดำ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการหรือองค์การที่ดูแลสินค้าเกษตรแต่ละชนิดรับไปพิจารณาในรายละเอียด แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจทราบ
นอกจากนี้ยังเห็นชอบแนวทางยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินต่อไป ดังนี้
1. แนวทางแก้ไขปัญหา ปี 2543 ที่คณะกรรมการต่าง ๆ ได้อนุมัติไปเป็นยุทธศาสตร์ในการแก้ไข และสำหรับสินค้าเกษตรใดที่ยังไม่อนุมัติให้ดำเนินการขอให้วางมาตรการป้องกันแต่เนิ่น ๆ และพิจารณาเร่งดำเนินการให้รัดกุมและเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรดังต่อไปนี้
มาตรการระยะสั้น เนื่องจากขณะนี้ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาด ดังนั้นจำเป็นต้องใช้มาตรการแก้ไขปัญหา คือ
(1) ให้คณะกรรมการดูแลสินค้าที่มีอยู่กำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อป้องกันราคาสินค้าตกต่ำ ซึ่งขณะนี้ได้มีคณะกรรมการบางคณะฯ ได้จัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด ถั่วเหลือง สับปะรด ปาล์มน้ำมันและอ้อย ดังนั้นในสินค้าที่ยังไม่ได้จัดเตรียมนโยบาย จำเป็นต้องรีบดำเนินงาน
(2) ใช้มาตรการยกระดับราคาสินค้าโดยการแทรกแซงราคา การปกป้องผู้ผลิต และการควบคุมปริมาณการผลิตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องในการดำเนินงาน
2. เห็นชอบยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการเพื่อวางระบบแก้ไขปัญหาของชาติให้ยั่งยืนต่อไป ดังนี้
มาตรการระยะยาว
จากปัญหาในสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ สินค้าผลิตเพื่อส่งออก สินค้าผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และสินค้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้า รวมทั้งมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ในการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อยกระดับราคาสินค้าที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะป้องกันความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาสินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำได้ หากจะลดปัญหาในเรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในระยะยาวให้ได้ผล รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนให้มีการดำเนินงานในเรื่องต่อไปนี้ คือ
(1) มาตรการด้านการผลิต
- ให้มีการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสม
- ช่วยลดความเสี่ยงให้แก่เกษตรกรในด้านการผลิต โดยการจัดหาแหล่งน้ำและการประกันภัยพืชผล
- เร่งรัดจัดหาพันธุ์ดี
(2) มาตรการหลังการเก็บเกี่ยว
- สนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลในการเก็บเกี่ยว ลานตากและเครื่องอบลดความชื้น
- จัดทำมาตรฐานสินค้าและส่งเสริมให้เกษตรกรจัดเกรดสินค้า
- สนับสนุนให้มีการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
(3) มาตรการด้านการตลาด
- ส่งเสริมและขยายตลาดทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า
- สร้างมูลภัณฑ์กันชนในแหล่งผลิตสินค้าที่เป็นฤดูกาล
- พัฒนาเรื่องการบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งในลักษณะ One Stop Service
2.2 พืชไบโอเทคได้รับการเตือนจะหาตลาดไม่ได้
กลุ่มเกษตรกรกว่า 30 กลุ่มทั่วประเทศ เกษตรกร Midwest และผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน ได้ร่วมประชุมผ่านระบบโทรคมนาคมเตือนสมาชิกของตนเกี่ยวกับความเสี่ยงปลูกพืช GMO ในปีนี้ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมของตลาดรวมทั้งอันตรายจากการปลูกพืช GMO ที่มีผลต่อการเปลี่ยนพันธุกรรมของพืช และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ และเรียกร้องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์หันไปส่งเสริมการขายเมล็ดพันธุ์พืชเดิมจนกว่าจะมีรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์และเศรษฐกิจออกมา โดยมีความเห็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
1) กลุ่มเกษตรกร
National Family Farm Coalition และ American Corn Growers Association เตือนว่า การทดสอบเมล็ดพันธุ์ GMO ที่ไม่เพียงพอ ทำให้เกษตรกรต้องอยู่ในสถานภาพรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดการเปลี่ยนพันธุกรรมพืช เช่น การกระจายของละอองเกสรพืช GMO และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะนี้เกษตรกรอยู่ในฐานะที่จะไม่ปลูกพืช GMO ได้ เพราะตลาดต่างประเทศทั้งในยุโรปและเอเซียก็ไม่ยอมรับอาหารที่ผลิตจากพืช GMO เกษตรกรจึงต้องตอบสนองต่อความต้องการของตลาดเพื่อความอยู่รอด โดยเรียกร้องให้บริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ GMO หันไปส่งเสริมการขายเมล็ดพันธุ์เดิมแทนสำหรับการเพาะปลูกในฤดูที่จะถึง
2) พ่อค้าเมล็ดพันธุ์
ในรัฐอิลลินอยส์เห็นว่า เกษตรกรอาจหันหลังให้เมล็ดพันธุ GMO บ้าง โดยเฉพาะข้าวโพด ทั้งๆ ที่ปีนี้คาดหมายว่าจะขายเมล็ดพันธุ์ GMO เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
3) พ่อค้ารับซื้อพืชผลในรัฐอิลลินอยส์เห็นว่า พ่อค้าไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นแก่เกษตรกรว่าตนจะรับซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง GMO ในปีหน้า เนื่องจากไม่ทราบว่าจะมีตลาดรองรับหรือไม่
อย่างไรก็ตาม American Seed Trade Association ได้ช่วยขจัดความกังวลด้านตลาด โดยจะจัดทำฐานข้อมูลผู้ซื้อพืช GMO ใน Website ของสมาคม เพื่อให้เกษตรกรทราบรายชื่อและแหล่งรับซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง และสรุปว่าตลาดข้าวโพดและถั่วเหลืองเป็นการซื้อขายภายในประเทศถึง 80 % ในจำนวนนี้ 54 %ซื้อขายโดยพ่อค้า 2 พันราย ซึ่งยอมรับเมล็ดพันธุ์ GMO จึงเห็นได้ว่าตลาดมีอยู่แล้ว
2.3 ผักต่าง ๆ ราคามีแนวโน้มลดลงสู่ภาวะปกติ
จากสถานการณ์ราคาตลาดผักในช่วงเทศกาลปีใหม่ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 ในตลาดต่าง ๆ คือ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท มีราคาสูงขึ้นมาก เนื่องจากว่า เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ พ่อค้า-แม่ค้า นำผลผลิตมาขายออกสู่ตลาดน้อย เกษตรกรบางส่วนหยุดฉลองเทศกาลปีใหม่ จึงเป็นโอกาสให้พ่อค้า-แม่ค้า 2-3 รายที่นำผลผลิตมาขายสู่ท้องตลาดขายผักได้ราคาสูง เช่น ใบกระเพา ใบโหระพา จากการสำรวจราคาตลาดผัก วันที่ 7 มกราคม 2543 เทียบกับเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2542
ราคาผักต่างๆ ในตลาดขายส่ง คือ สี่มุมเมือง ตลาดไท และปากคลองตลาดโดยส่วนใหญ่ มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 20-80
ราคาผักต่างๆ ในตลาดขายปลีกคือ ตลาดเทเวศน์ ตลาด อตก. ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
สินค้าผักต่างๆ โดยทั่วไปมีผลผลิตออกสู่ตลาดตามฤดูกาลอย่างสม่ำเสมอแล้ว จึงทำให้ราคาพืชผักต่างๆ โดยส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดต่ำลงเข้าสู่ภาวะปกติ
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 3 - 9 ม.ค. 2543--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
1.2.1 หอมหัวใหญ่ : ราคาอาจมีแนวโน้มต่ำลง
จากการที่ประธานสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่าตอง จำกัด ได้ทำหนังสือร้องเรียนนายกรัฐมนตรีขอให้แก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณา สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ติดตามภาวะการผลิตและการตลาดปี 2542/43 ซึ่งประมาณการเนื้อที่ปลูกหอมหัวใหญ่ไว้ 21,369 ไร่ ผลผลิต 67,646 ตัน ผลผลิตบางส่วนเสียหายเนื่องจากอุทกภัยในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2542 ที่ผ่านมา ยังคงเหลือผลผลิตที่อยู่ในเขตอำเภอแม่วางและสันป่าตอง คาดว่าจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม สำหรับผลผลิตของอำเภอฝางและไชยปราการจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2543
จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดเดือนมกราคม 2543 ผลผลิตหอมหัวใหญ่ของอำเภอแม่วางและสันป่าตองมีบริษัททำข้อตกลงรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในราคาหอมหัวใหญ่เบอร์ 0 กิโลกรัมละ 13 บาท เบอร์ 1 กิโลกรัมละ 11 บาท เบอร์ 2 กิโลกรัมละ 8 บาท เบอร์ 3 กิโลกรัมละ 5 บาท ไม่น่าที่จะมีปัญหาต่อไปอีกแล้ว ส่วนผลผลิตที่จะออกในช่วงเดือนมีนาคม จากการที่ได้มีการประชุมปรึกษาหารือระหว่างบริษัทรับซื้อและสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2542 คาดว่าปัญหาการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ถ้าไม่มีการเข้มงวดกวดขันการปราบปรามลักลอบการนำเข้า อาจจะทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคม 2543 มีแนวโน้มลดต่ำลง เกิดปัญหากับเกษตรกรได้
จึงเห็นควรให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมศุลกากรเข้มงวดกวดขันการปราบปรามลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่ โดยเฉพาะตามด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ในเขตอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นกรณีพิเศษ
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ครม. เห็นชอบแนวทางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรควรเร่งรัดดำเนินการ
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 รับทราบแนวทางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยสินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด ประกอบด้วย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ลำไย สับปะรด ทุเรียน กล้วยไม้ และกุ้งกุลาดำ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการหรือองค์การที่ดูแลสินค้าเกษตรแต่ละชนิดรับไปพิจารณาในรายละเอียด แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจทราบ
นอกจากนี้ยังเห็นชอบแนวทางยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินต่อไป ดังนี้
1. แนวทางแก้ไขปัญหา ปี 2543 ที่คณะกรรมการต่าง ๆ ได้อนุมัติไปเป็นยุทธศาสตร์ในการแก้ไข และสำหรับสินค้าเกษตรใดที่ยังไม่อนุมัติให้ดำเนินการขอให้วางมาตรการป้องกันแต่เนิ่น ๆ และพิจารณาเร่งดำเนินการให้รัดกุมและเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรดังต่อไปนี้
มาตรการระยะสั้น เนื่องจากขณะนี้ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาด ดังนั้นจำเป็นต้องใช้มาตรการแก้ไขปัญหา คือ
(1) ให้คณะกรรมการดูแลสินค้าที่มีอยู่กำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อป้องกันราคาสินค้าตกต่ำ ซึ่งขณะนี้ได้มีคณะกรรมการบางคณะฯ ได้จัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด ถั่วเหลือง สับปะรด ปาล์มน้ำมันและอ้อย ดังนั้นในสินค้าที่ยังไม่ได้จัดเตรียมนโยบาย จำเป็นต้องรีบดำเนินงาน
(2) ใช้มาตรการยกระดับราคาสินค้าโดยการแทรกแซงราคา การปกป้องผู้ผลิต และการควบคุมปริมาณการผลิตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องในการดำเนินงาน
2. เห็นชอบยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการเพื่อวางระบบแก้ไขปัญหาของชาติให้ยั่งยืนต่อไป ดังนี้
มาตรการระยะยาว
จากปัญหาในสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ สินค้าผลิตเพื่อส่งออก สินค้าผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และสินค้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้า รวมทั้งมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ในการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อยกระดับราคาสินค้าที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะป้องกันความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาสินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำได้ หากจะลดปัญหาในเรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในระยะยาวให้ได้ผล รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนให้มีการดำเนินงานในเรื่องต่อไปนี้ คือ
(1) มาตรการด้านการผลิต
- ให้มีการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสม
- ช่วยลดความเสี่ยงให้แก่เกษตรกรในด้านการผลิต โดยการจัดหาแหล่งน้ำและการประกันภัยพืชผล
- เร่งรัดจัดหาพันธุ์ดี
(2) มาตรการหลังการเก็บเกี่ยว
- สนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลในการเก็บเกี่ยว ลานตากและเครื่องอบลดความชื้น
- จัดทำมาตรฐานสินค้าและส่งเสริมให้เกษตรกรจัดเกรดสินค้า
- สนับสนุนให้มีการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
(3) มาตรการด้านการตลาด
- ส่งเสริมและขยายตลาดทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า
- สร้างมูลภัณฑ์กันชนในแหล่งผลิตสินค้าที่เป็นฤดูกาล
- พัฒนาเรื่องการบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งในลักษณะ One Stop Service
2.2 พืชไบโอเทคได้รับการเตือนจะหาตลาดไม่ได้
กลุ่มเกษตรกรกว่า 30 กลุ่มทั่วประเทศ เกษตรกร Midwest และผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตัน ได้ร่วมประชุมผ่านระบบโทรคมนาคมเตือนสมาชิกของตนเกี่ยวกับความเสี่ยงปลูกพืช GMO ในปีนี้ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมของตลาดรวมทั้งอันตรายจากการปลูกพืช GMO ที่มีผลต่อการเปลี่ยนพันธุกรรมของพืช และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ และเรียกร้องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์หันไปส่งเสริมการขายเมล็ดพันธุ์พืชเดิมจนกว่าจะมีรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์และเศรษฐกิจออกมา โดยมีความเห็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
1) กลุ่มเกษตรกร
National Family Farm Coalition และ American Corn Growers Association เตือนว่า การทดสอบเมล็ดพันธุ์ GMO ที่ไม่เพียงพอ ทำให้เกษตรกรต้องอยู่ในสถานภาพรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดการเปลี่ยนพันธุกรรมพืช เช่น การกระจายของละอองเกสรพืช GMO และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะนี้เกษตรกรอยู่ในฐานะที่จะไม่ปลูกพืช GMO ได้ เพราะตลาดต่างประเทศทั้งในยุโรปและเอเซียก็ไม่ยอมรับอาหารที่ผลิตจากพืช GMO เกษตรกรจึงต้องตอบสนองต่อความต้องการของตลาดเพื่อความอยู่รอด โดยเรียกร้องให้บริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ GMO หันไปส่งเสริมการขายเมล็ดพันธุ์เดิมแทนสำหรับการเพาะปลูกในฤดูที่จะถึง
2) พ่อค้าเมล็ดพันธุ์
ในรัฐอิลลินอยส์เห็นว่า เกษตรกรอาจหันหลังให้เมล็ดพันธุ GMO บ้าง โดยเฉพาะข้าวโพด ทั้งๆ ที่ปีนี้คาดหมายว่าจะขายเมล็ดพันธุ์ GMO เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
3) พ่อค้ารับซื้อพืชผลในรัฐอิลลินอยส์เห็นว่า พ่อค้าไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นแก่เกษตรกรว่าตนจะรับซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง GMO ในปีหน้า เนื่องจากไม่ทราบว่าจะมีตลาดรองรับหรือไม่
อย่างไรก็ตาม American Seed Trade Association ได้ช่วยขจัดความกังวลด้านตลาด โดยจะจัดทำฐานข้อมูลผู้ซื้อพืช GMO ใน Website ของสมาคม เพื่อให้เกษตรกรทราบรายชื่อและแหล่งรับซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง และสรุปว่าตลาดข้าวโพดและถั่วเหลืองเป็นการซื้อขายภายในประเทศถึง 80 % ในจำนวนนี้ 54 %ซื้อขายโดยพ่อค้า 2 พันราย ซึ่งยอมรับเมล็ดพันธุ์ GMO จึงเห็นได้ว่าตลาดมีอยู่แล้ว
2.3 ผักต่าง ๆ ราคามีแนวโน้มลดลงสู่ภาวะปกติ
จากสถานการณ์ราคาตลาดผักในช่วงเทศกาลปีใหม่ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 ในตลาดต่าง ๆ คือ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท มีราคาสูงขึ้นมาก เนื่องจากว่า เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ พ่อค้า-แม่ค้า นำผลผลิตมาขายออกสู่ตลาดน้อย เกษตรกรบางส่วนหยุดฉลองเทศกาลปีใหม่ จึงเป็นโอกาสให้พ่อค้า-แม่ค้า 2-3 รายที่นำผลผลิตมาขายสู่ท้องตลาดขายผักได้ราคาสูง เช่น ใบกระเพา ใบโหระพา จากการสำรวจราคาตลาดผัก วันที่ 7 มกราคม 2543 เทียบกับเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2542
ราคาผักต่างๆ ในตลาดขายส่ง คือ สี่มุมเมือง ตลาดไท และปากคลองตลาดโดยส่วนใหญ่ มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 20-80
ราคาผักต่างๆ ในตลาดขายปลีกคือ ตลาดเทเวศน์ ตลาด อตก. ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
สินค้าผักต่างๆ โดยทั่วไปมีผลผลิตออกสู่ตลาดตามฤดูกาลอย่างสม่ำเสมอแล้ว จึงทำให้ราคาพืชผักต่างๆ โดยส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดต่ำลงเข้าสู่ภาวะปกติ
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 3 - 9 ม.ค. 2543--