CE Marking ย่อมาจาก Conformit? Europ?enne (European Conformity) Marking เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าสินค้าอุตสาหกรรมที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป (European Union: EU) ทั้งสินค้าที่นำเข้าและที่ผลิตใน EU มีการออกแบบและผลิตที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามระเบียบข้อบังคับที่ EU กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคถึงความปลอดภัยในการใช้สินค้าและลดผลกระทบที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อสร้างมาตรฐานสินค้าของประเทศสมาชิกให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน EU จึงได้เริ่มบังคับใช้เครื่องหมาย CE มาตั้งแต่ปี 2536 โดยกำหนดให้สินค้าอุตสาหกรรมทุกประเภทที่จำหน่ายใน EU ต้องติดเครื่องหมาย CE ครอบคลุมตั้งแต่ของเด็กเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อุปกรณ์ทางการแพทย์ ลิฟท์ อุปกรณ์ก่อสร้าง วิทยุและอุปกรณ์สื่อสาร และหม้อน้ำร้อน เป็นต้น
ขั้นตอนการขออนุญาตติดเครื่องหมาย CE บนสินค้าอุตสาหกรรมมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1. ตรวจสอบระเบียบข้อบังคับ (Directives) และมาตรฐานสินค้า (Harmonized Standards) เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ปัจจุบันระเบียบข้อบังคับที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) กำหนดมีกว่า 20 ฉบับ แต่ละฉบับแสดงถึงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรฐานต่างๆ ของสินค้าอุตสาหกรรมแต่ละประเภท จัดทำขึ้นโดยหน่วยงานมาตรฐานสินค้าของ EU อาทิ European Committee for Standardization และ European Committee for Electrotechnical Standardization ผู้ผลิตจึงควรติดตามความเคลื่อนไหวของระเบียบข้อบังคับและมาตรฐานของสินค้าที่ตนผลิตอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. การทดสอบผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของสินค้าด้วยตนเองหากสินค้ามีความเสี่ยงน้อยในการใช้งาน แต่หากสินค้ามีความเสี่ยงสูงผู้ผลิตต้องให้หน่วยงานตรวจสอบอิสระ (Notified Body) ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมาธิการยุโรปให้เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันมีเกือบ 1,000 แห่งใน EU แต่ยังไม่มีในประเทศไทย
3. จัดทำแฟ้มข้อมูลด้านเทคนิค (Technical File) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่ายต้องจัดทำแฟ้มข้อมูลทางเทคนิคเพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อมีการเรียกตรวจสอบ โดยระบุรายละเอียดต่างๆ คือ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต ลักษณะและประเภทของสินค้า ขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการผลิต วิธีประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สินค้า มาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบ รายงานผลการตรวจสอบ และคู่มือการใช้งาน
4. จัดทำใบรับรอง (Declaration of Conformity) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่ายต้องจัดทำใบรับรองเพื่อแสดงว่าสินค้าได้มาตรฐานความปลอดภัยตามที่ EU กำหนด โดยระบุรายละเอียดต่างๆ คือ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายใน EU ลักษณะของสินค้า ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า มาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบ ชื่อหน่วยงานตรวจสอบอิสระที่เป็นผู้ทดสอบสินค้า วันที่ออกใบรับรอง และลายมือชื่อผู้มีอำนาจของบริษัทผู้ผลิต
5. ติดเครื่องหมาย CE ผู้ผลิตจะติดเครื่องหมาย CE บนตัวสินค้าหรือบนบรรจุภัณฑ์ได้ก็ต่อเมื่อสินค้าผ่านการทดสอบและมีมาตรฐานตามที่ EU กำหนด โดยเครื่องหมาย CE จะต้องมีความคงทนถาวรและมีขนาดไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร เพื่อให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าการติดเครื่องหมาย CE จะทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับและมาตรฐานที่ EU กำหนด ตลอดจนมีค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างหน่วยงานตรวจสอบอิสระเพื่อทดสอบความปลอดภัยของสินค้า แต่เครื่องหมาย CE นับได้ว่าเป็นใบเบิกทางสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดอุปสรรคทางการค้ากับ EU และยังสามารถเคลื่อนย้ายสินค้าได้อย่างเสรีภายในกลุ่ม EU โดยที่แต่ละประเทศไม่สามารถนำมาตรฐานสินค้าของตนมากีดกันสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกจากประเทศไทยได้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-
ขั้นตอนการขออนุญาตติดเครื่องหมาย CE บนสินค้าอุตสาหกรรมมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1. ตรวจสอบระเบียบข้อบังคับ (Directives) และมาตรฐานสินค้า (Harmonized Standards) เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ปัจจุบันระเบียบข้อบังคับที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) กำหนดมีกว่า 20 ฉบับ แต่ละฉบับแสดงถึงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรฐานต่างๆ ของสินค้าอุตสาหกรรมแต่ละประเภท จัดทำขึ้นโดยหน่วยงานมาตรฐานสินค้าของ EU อาทิ European Committee for Standardization และ European Committee for Electrotechnical Standardization ผู้ผลิตจึงควรติดตามความเคลื่อนไหวของระเบียบข้อบังคับและมาตรฐานของสินค้าที่ตนผลิตอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. การทดสอบผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของสินค้าด้วยตนเองหากสินค้ามีความเสี่ยงน้อยในการใช้งาน แต่หากสินค้ามีความเสี่ยงสูงผู้ผลิตต้องให้หน่วยงานตรวจสอบอิสระ (Notified Body) ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมาธิการยุโรปให้เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันมีเกือบ 1,000 แห่งใน EU แต่ยังไม่มีในประเทศไทย
3. จัดทำแฟ้มข้อมูลด้านเทคนิค (Technical File) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่ายต้องจัดทำแฟ้มข้อมูลทางเทคนิคเพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อมีการเรียกตรวจสอบ โดยระบุรายละเอียดต่างๆ คือ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต ลักษณะและประเภทของสินค้า ขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการผลิต วิธีประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สินค้า มาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบ รายงานผลการตรวจสอบ และคู่มือการใช้งาน
4. จัดทำใบรับรอง (Declaration of Conformity) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่ายต้องจัดทำใบรับรองเพื่อแสดงว่าสินค้าได้มาตรฐานความปลอดภัยตามที่ EU กำหนด โดยระบุรายละเอียดต่างๆ คือ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายใน EU ลักษณะของสินค้า ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า มาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบ ชื่อหน่วยงานตรวจสอบอิสระที่เป็นผู้ทดสอบสินค้า วันที่ออกใบรับรอง และลายมือชื่อผู้มีอำนาจของบริษัทผู้ผลิต
5. ติดเครื่องหมาย CE ผู้ผลิตจะติดเครื่องหมาย CE บนตัวสินค้าหรือบนบรรจุภัณฑ์ได้ก็ต่อเมื่อสินค้าผ่านการทดสอบและมีมาตรฐานตามที่ EU กำหนด โดยเครื่องหมาย CE จะต้องมีความคงทนถาวรและมีขนาดไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร เพื่อให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าการติดเครื่องหมาย CE จะทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับและมาตรฐานที่ EU กำหนด ตลอดจนมีค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างหน่วยงานตรวจสอบอิสระเพื่อทดสอบความปลอดภัยของสินค้า แต่เครื่องหมาย CE นับได้ว่าเป็นใบเบิกทางสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดอุปสรรคทางการค้ากับ EU และยังสามารถเคลื่อนย้ายสินค้าได้อย่างเสรีภายในกลุ่ม EU โดยที่แต่ละประเทศไม่สามารถนำมาตรฐานสินค้าของตนมากีดกันสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกจากประเทศไทยได้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-