นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ประชุมร่วมกัน เพื่อประเมินภาพเศรษฐกิจและพิจารณาแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับภาวะการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เหตุการณ์วินาศกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศจากมาตรการการคลัง และการปรับโครงสร้างระบบการเงินจากการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จะช่วยให้กลไกระบบการเงินในประเทศทำงานได้ดีขึ้น นับเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากภายนอกลง ขณะที่ไม่มีแรงกดดันด้านราคา และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้าก็ยังอยู่ภายในเป้าหมาย
สำหรับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเป็นอิสระจากประเทศอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการฯ ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อผู้ออม และผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนระหว่างประเทศ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และประเทศอุตสาหกรรมหลัก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ในระดับปัจจุบันยังทำให้ส่วนต่างของอัตรา ดอกเบี้ยในและนอกประเทศลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพภายนอก
คณะกรรมการฯ เห็นว่ายังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างผ่อนคลายต่อไปเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนับว่าเหมาะสม และเอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัว เพราะเมื่อหักอัตราเงินเฟ้อแล้วอยู่ประมาณร้อยละ 1 ซึ่งนับว่าต่ำมาก และยังเอื้อต่อการรักษาความมั่นคงของฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของค่าเงิน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับภายในเป้าหมาย ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี ต่อไป
สำหรับรายละเอียดการประเมินภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนการประมาณการแนวโน้มเงินเฟ้อ จะแถลงให้ทราบในการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนตุลาคม ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เหตุการณ์วินาศกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศจากมาตรการการคลัง และการปรับโครงสร้างระบบการเงินจากการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จะช่วยให้กลไกระบบการเงินในประเทศทำงานได้ดีขึ้น นับเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากภายนอกลง ขณะที่ไม่มีแรงกดดันด้านราคา และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้าก็ยังอยู่ภายในเป้าหมาย
สำหรับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเป็นอิสระจากประเทศอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการฯ ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อผู้ออม และผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนระหว่างประเทศ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และประเทศอุตสาหกรรมหลัก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ในระดับปัจจุบันยังทำให้ส่วนต่างของอัตรา ดอกเบี้ยในและนอกประเทศลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพภายนอก
คณะกรรมการฯ เห็นว่ายังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างผ่อนคลายต่อไปเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนับว่าเหมาะสม และเอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัว เพราะเมื่อหักอัตราเงินเฟ้อแล้วอยู่ประมาณร้อยละ 1 ซึ่งนับว่าต่ำมาก และยังเอื้อต่อการรักษาความมั่นคงของฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของค่าเงิน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับภายในเป้าหมาย ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี ต่อไป
สำหรับรายละเอียดการประเมินภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนการประมาณการแนวโน้มเงินเฟ้อ จะแถลงให้ทราบในการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนตุลาคม ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-