เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 48 พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมาส.ส.-อดีตส.ส.-อดีตผู้สมัครส.ส.และสาขาพรรค ภาคเหนือ ครั้งที่ 1 ขึ้นที่โรงแรมอัมรินทร์ลากูน จังหวัดพิษณุโลก โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมกันนี้ได้บรรยายพิเศษและมอบแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เหน็ดเหนื่อยมาก และ ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เสียเปรียบ แต่ไม่อยากให้ท้อถอยหรือเสียกำลังใจ เพราะการเลือกตั้งจะต้องมีแพ้ มีชนะ
“5-6 ปีที่ผ่านมา เราเสียเปรียบทางการเมือง แต่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาส แม้ว่าพรรคการเมืองจะใหญ่แค่ไหน อนาคตไม่นานก็จะประสบชะตากรรมเหมือนหลายพรรคการเมืองที่เกิดแล้วเฟืองฟูและหมดความนิยมลง เพราะขาดอุดมการณ์และความผูกพันกับประชาชน ตัวนี้เป็นตัวชี้ขาดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมเชื่อมาตลอดว่าแนวทางทางการเมืองต้องอยู่กับความเป็นจริง ต้องยั่งยืน และทำงานร่วมกับประชาชน พรรคไทยรักไทยมักอ้างว่าได้รับความนิยมสูงสุด และทำงานเพื่อประชาชน แต่ผมยืนยันว่าเขาไม่ทำงานร่วมกับประชาชน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายหลายอย่างของรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดการเปิดเขตการค้าเสรี ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดเปิดเขตการค้าเสรีกับอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ไปเร่งรัดการเปิดเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นมาแล้ว พรรคไม่ได้ต่อต้านเขตการค้าเสรี แต่ข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น ส่วนที่เป็นข้อสียรัฐบาลไม่พูดชัดเจนว่าประเทศไทยเสียอะไร ซึ่งแม้แต่ทำข้อตกลงไปแล้วรัฐบาลก็ยังไม่บอกว่าประเทศเสียอะไร คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือคนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมภาคเหนือ โดยเฉพาะหอม กระเทียมของภาคเหนือ เปรียบเสมือนถูกฆ่าทิ้ง แต่รัฐบาลชี้แจงว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนอาชีพ ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนอาชีพของเกษตรกรคือการเปลี่ยนวิถีชีวิต บางอย่างยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจบางอย่างเกิดจากปัจจัยภายนอก แต่ต้องยอมรับว่ามีส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล และปัดปัญหาความรับผิดชอบเพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้ประชาชนแบกภาระดอกเบี้ยหนี้สิน และผลักภาระให้เกษตรกรภาคเหนือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องตีให้แตกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพราะในฐานะพรรคการเมือง และพรรคจะรอให้ฝ่ายอื่นผิดพลาดเสียหายแล้วถือว่าเป็นโอกาสของพรรคแต่พรรคต้องรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของประชาชน
“ขณะนี้มีเรื่องน่าแปลกมากที่ส.ส.ในรัฐบาลอยากจะพูดอะไร บางครั้งต้องมาสะกิด ส.ส.ฝ่ายค้านให้เป็นปากเสียงของประชาชน ดังนั้นอย่าไปกังวลว่ารัฐบาลจะอยู่อีกนานเท่าไร ขอให้ช่วยกันคิดว่าพรรคจะดูแลประเทศไทยหลังยุคนายกฯทักษิณอย่างไร เพราะต่อไปคนที่จะมารับหน้าที่ต่อจากนายกฯทักษิณจะต้องทำงานหนัก ยิ่งกว่าสมัยวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ซึ่งขณะนั้นเป็นเรื่องวิกฤติค่าเงินเพียงอย่างเดียว แต่ขณะนี้วิกฤติซึมลึกลงไปถึงรากหญ้าทั้งเรื่องค่านิยม เศรษฐกิจ สังคม ที่ถูกกระตุ้นในเรื่องวัตถุนิยมและบริโภคนิยม จึงเป็นเรื่องที่เราต้องคิดและเตรียมตัวให้พร้อมว่าจะเข้าไปสะสางปัญหาเหล่านั้นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า พรรคจะต้องพิจารณาว่าขณะนี้ระบบคุณธรรมยังมีอยู่หรือไม่ ข้าราชการยังสามารถทำประโยชน์ให้ประชาชนมากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชน ซึ่งไม่ต้องพูดถึงสื่อของรัฐ ที่หากมีรายการที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็จะหายไปเรื่อยๆ ส่วนสื่อเอกชน หากไม่เจออำนาจรัฐ ก็จะต้องเจออำนาจทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะเป็นกระบอกเสียงสะท้อนให้เจ้าของประเทศตัวจริง คือ ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาได้ ดังนั้น พรรคต้องพร้อม หน้าที่พรรคไม่ได้เพียงแค่ดูรัฐบาลทำงานหรือการตรวจสอบเพียงเท่านั้น แต่จะต้องสร้างพรรคให้เป็นทางเลือกสร้างให้ประชาชน ให้เห็นว่าในวิกฤติเช่นนี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งได้ และพร้อมจะเข้ามาแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นพรรคจะต้องทำงานกันหนักมาก
ด้านนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องของฝนห่าใหญ่ แต่เรียกได้ว่าเขื่อนแตกเลยทีเดียว ส.ส.ทีได้มาเพียง 5 คน ถือว่าน้อยที่สุดที่พรรคเคยได้มา แต่หากพรรคจะหนุนนายอภิสิทธิ์ ให้เป็นนายกฯ แค่ 5 ที่นั่งที่ได้มาไม่เพียงพอ แต่พรรคจะต้องได้ 38 ที่นั่งจาก 76 เขต โดยพรรคจะต้องหารือถึงความพ่ายแพ้ครั้งที่ผ่านมา และกำหนดแผนการต่อสู้ในการเลือกตั้งให้ได้ โดยภายในเดือนพ.ค. 48 นี้พรรคประชาธิปัตย์จะต้องมีตัวผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตเลือกตั้งทั่วประเทศและจะเริ่มลงพื้นที่ทันที
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า ในอนาคตพรรคจะไม่ให้รองหัวหน้าพรรคคนเดียวดูพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด เพราะที่ผ่านมามีปัญหาที่ผู้สมัครตามหารองหัวหน้าพรรคที่ดูแลพื้นที่ให้มาช่วยหาเสียงกันไม่ทัน ดังนั้นในเขตภาคเหนือจะแบ่งเป็น 7 เขต คือ 1.จ.เชียงใหม่ 2.จ.เชียงราย และพะเยา 3. จ.น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ 4. จ.ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน 5. จ.เพชรบูรณ์ และพิจิตร 6. จ.พิษณุโลก สุโขทัย และตาก และ 7.กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยจะให้เริ่มหาเสียงพร้อมผู้สมัครตั้งแต่เดือนพ.ค. 48
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.ย. 2548--จบ--
“5-6 ปีที่ผ่านมา เราเสียเปรียบทางการเมือง แต่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาส แม้ว่าพรรคการเมืองจะใหญ่แค่ไหน อนาคตไม่นานก็จะประสบชะตากรรมเหมือนหลายพรรคการเมืองที่เกิดแล้วเฟืองฟูและหมดความนิยมลง เพราะขาดอุดมการณ์และความผูกพันกับประชาชน ตัวนี้เป็นตัวชี้ขาดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมเชื่อมาตลอดว่าแนวทางทางการเมืองต้องอยู่กับความเป็นจริง ต้องยั่งยืน และทำงานร่วมกับประชาชน พรรคไทยรักไทยมักอ้างว่าได้รับความนิยมสูงสุด และทำงานเพื่อประชาชน แต่ผมยืนยันว่าเขาไม่ทำงานร่วมกับประชาชน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายหลายอย่างของรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดการเปิดเขตการค้าเสรี ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดเปิดเขตการค้าเสรีกับอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ไปเร่งรัดการเปิดเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นมาแล้ว พรรคไม่ได้ต่อต้านเขตการค้าเสรี แต่ข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น ส่วนที่เป็นข้อสียรัฐบาลไม่พูดชัดเจนว่าประเทศไทยเสียอะไร ซึ่งแม้แต่ทำข้อตกลงไปแล้วรัฐบาลก็ยังไม่บอกว่าประเทศเสียอะไร คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือคนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมภาคเหนือ โดยเฉพาะหอม กระเทียมของภาคเหนือ เปรียบเสมือนถูกฆ่าทิ้ง แต่รัฐบาลชี้แจงว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนอาชีพ ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนอาชีพของเกษตรกรคือการเปลี่ยนวิถีชีวิต บางอย่างยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจบางอย่างเกิดจากปัจจัยภายนอก แต่ต้องยอมรับว่ามีส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล และปัดปัญหาความรับผิดชอบเพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้ประชาชนแบกภาระดอกเบี้ยหนี้สิน และผลักภาระให้เกษตรกรภาคเหนือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องตีให้แตกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพราะในฐานะพรรคการเมือง และพรรคจะรอให้ฝ่ายอื่นผิดพลาดเสียหายแล้วถือว่าเป็นโอกาสของพรรคแต่พรรคต้องรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของประชาชน
“ขณะนี้มีเรื่องน่าแปลกมากที่ส.ส.ในรัฐบาลอยากจะพูดอะไร บางครั้งต้องมาสะกิด ส.ส.ฝ่ายค้านให้เป็นปากเสียงของประชาชน ดังนั้นอย่าไปกังวลว่ารัฐบาลจะอยู่อีกนานเท่าไร ขอให้ช่วยกันคิดว่าพรรคจะดูแลประเทศไทยหลังยุคนายกฯทักษิณอย่างไร เพราะต่อไปคนที่จะมารับหน้าที่ต่อจากนายกฯทักษิณจะต้องทำงานหนัก ยิ่งกว่าสมัยวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ซึ่งขณะนั้นเป็นเรื่องวิกฤติค่าเงินเพียงอย่างเดียว แต่ขณะนี้วิกฤติซึมลึกลงไปถึงรากหญ้าทั้งเรื่องค่านิยม เศรษฐกิจ สังคม ที่ถูกกระตุ้นในเรื่องวัตถุนิยมและบริโภคนิยม จึงเป็นเรื่องที่เราต้องคิดและเตรียมตัวให้พร้อมว่าจะเข้าไปสะสางปัญหาเหล่านั้นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า พรรคจะต้องพิจารณาว่าขณะนี้ระบบคุณธรรมยังมีอยู่หรือไม่ ข้าราชการยังสามารถทำประโยชน์ให้ประชาชนมากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชน ซึ่งไม่ต้องพูดถึงสื่อของรัฐ ที่หากมีรายการที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็จะหายไปเรื่อยๆ ส่วนสื่อเอกชน หากไม่เจออำนาจรัฐ ก็จะต้องเจออำนาจทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะเป็นกระบอกเสียงสะท้อนให้เจ้าของประเทศตัวจริง คือ ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาได้ ดังนั้น พรรคต้องพร้อม หน้าที่พรรคไม่ได้เพียงแค่ดูรัฐบาลทำงานหรือการตรวจสอบเพียงเท่านั้น แต่จะต้องสร้างพรรคให้เป็นทางเลือกสร้างให้ประชาชน ให้เห็นว่าในวิกฤติเช่นนี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งได้ และพร้อมจะเข้ามาแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นพรรคจะต้องทำงานกันหนักมาก
ด้านนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องของฝนห่าใหญ่ แต่เรียกได้ว่าเขื่อนแตกเลยทีเดียว ส.ส.ทีได้มาเพียง 5 คน ถือว่าน้อยที่สุดที่พรรคเคยได้มา แต่หากพรรคจะหนุนนายอภิสิทธิ์ ให้เป็นนายกฯ แค่ 5 ที่นั่งที่ได้มาไม่เพียงพอ แต่พรรคจะต้องได้ 38 ที่นั่งจาก 76 เขต โดยพรรคจะต้องหารือถึงความพ่ายแพ้ครั้งที่ผ่านมา และกำหนดแผนการต่อสู้ในการเลือกตั้งให้ได้ โดยภายในเดือนพ.ค. 48 นี้พรรคประชาธิปัตย์จะต้องมีตัวผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตเลือกตั้งทั่วประเทศและจะเริ่มลงพื้นที่ทันที
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า ในอนาคตพรรคจะไม่ให้รองหัวหน้าพรรคคนเดียวดูพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด เพราะที่ผ่านมามีปัญหาที่ผู้สมัครตามหารองหัวหน้าพรรคที่ดูแลพื้นที่ให้มาช่วยหาเสียงกันไม่ทัน ดังนั้นในเขตภาคเหนือจะแบ่งเป็น 7 เขต คือ 1.จ.เชียงใหม่ 2.จ.เชียงราย และพะเยา 3. จ.น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ 4. จ.ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน 5. จ.เพชรบูรณ์ และพิจิตร 6. จ.พิษณุโลก สุโขทัย และตาก และ 7.กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยจะให้เริ่มหาเสียงพร้อมผู้สมัครตั้งแต่เดือนพ.ค. 48
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.ย. 2548--จบ--