เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ออกรัฐบัญญัติที่มีชื่อว่า Contineud Dumping and Offset Act of 2000 มีสาระสำคัญคือให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกานำอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรืออากรตอบโต้การอุดหนุนที่เก็บได้ ไปชดเชยให้แก่อุตสาหกรรมภายในที่ได้รับผลกระทบ โดยให้แจกจ่ายอากรตอบโต้ที่ศุลกากรสหรัฐฯ เรียกเก็บได้ในแต่ละปีงบประมาณ ให้แก่ผู้ผลิตที่เป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุน รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียหากยังดำเนินธุรกิจอยู่ โดยให้อธิบดีกรมศุลกากรเปิดบัญชีพิเศษกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อฝากเงินอากรตอบโต้ที่เก็บได้ให้แก่ผู้รับ(อุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ)ใช้เงินในบัญชีนั้นเพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย อาทิ ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการ การฝึกงาน กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และการยกระดับการผลิต ทั้งนี้รัฐบัญญัติดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
ร่างกฎหมายฉบับนี้นำเสนอโดยวุฒิสมาชิก Robert Byrd แห่งมลรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งได้รับแรงกดดันจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูง เนื่องจากภูมิภาคที่ผลิตเหล็กนั้น เป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคการเมืองโดยเฉพาะในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เวอร์จิเนีย และเพนน์ซิลวาเนีย การโน้มน้าวของภาคอุตสาหกรรมเหล็กดังกล่าว ทำให้นโยบายของสหรัฐฯเอนเอียงไปในทิศทางที่ปกป้องมากขึ้น และไม่เพียงแต่สินค้าเหล็กเท่านั้น แต่จะขยายไปถึงสินค้าอื่นๆด้วย
อุตสาหกรรมเหล็กภายในของสหรัฐฯ ได้เริ่มเปิดศึกยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยขอให้ทางกระทรวงการค้าสหรัฐฯ เปิดการไต่สวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าเหล็กคาร์บอนรีดร้อน จาก 11 ประเทศรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งในข้อกล่าวหากับผู้ส่งออกของไทย มีทั้งการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ทั้ง 2 ประเด็นพร้อมกัน
หลายฝ่ายได้แสดงความเป็นห่วง โดยให้ข้อสังเกตว่ารัฐบัญญัติฉบับนี้จะเป็นกฎหมาย ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตสหรัฐฯยื่นคำร้องขอให้เปิดการไต่สวนมากขึ้น เพื่อหวังประโยชน์ทางการเงิน ที่จะได้รับทางตรงจากอากรที่เรียกเก็บนั้น ส่วนผู้คัดค้านหรือไม่ให้ความร่วมมือ จะไม่มีสิทธิในอากรที่เรียกเก็บ หรือผู้เคยคัดค้านหรือไม่ให้ความร่วมมือในการไต่สวน หากได้ซื้อกิจการของผู้ที่เคยยื่นคำร้องขอก็ไม่มีสิทธิในอากรที่เรียกเก็บ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้สำนักกฎหมายต่างๆในสหรัฐฯ โน้มน้าวผู้ผลิตเปิดการฟ้องร้องมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้อากรที่เรียกเก็บไว้ มาชดเชยเป็นค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่เกิดขึ้น และในที่สุดก็จะสร้างแรงจูงใจให้เรียกเก็บอัตราอากรที่สูงขึ้นได้
จากรัฐบัญญัติดังกล่าวนี้ อาจจะทำให้สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มีโอกาสถูกเปิดการไต่สวนมากขึ้นทั้งจำนวนกรณีและรายสินค้า นอกจากนี้ประเทศอื่นๆที่นำเข้าสินค้าชนิดดียวกันจากไทย ก็อาจจะเปิดการไต่สวนอีกด้วย ถ้าหากไทยแก้ข้อกล่าวหากับสหรัฐฯไม่สำเร็จ
สำหรับสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปิดการไต่สวน เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฯลฯ และผู้ส่งออกควรระมัดระวังอัตราการส่งออกที่เพิ่มขึ้น(Growth rate)ของสินค้าชนิดนั้นๆที่ส่งออกไปสหรัฐฯไม่ให้สูงขึ้นจนผิดปกติ รวมทั้งราคาเสนอขายภายในประเทศและราคาส่งออกไปสหรัฐฯ เพราะว่าเมื่อเกิดการไต่สวนขึ้นแล้ว ไทยจะเป็นฝ่ายเสียหายไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ คือ ถ้าชนะก็ต้องเสียค่าทนายความ ซึ่งค่าว่าจ้างแต่ละกรณีหลายล้านบาทขึ้นไปนับว่าสูงมาก ถ้าแพ้ก็จะถูกเก็บอากรไปถึง 5 ปี เป็นอย่างน้อย และอาจจะเสียตลาดไปก็ได้อันเนื่องมาจากไม่สามารถแข่งขันได้เพราะต้นทุนสูงขึ้น
ในส่วนของภาครัฐนั้น ขณะนี้ประเทศไทยได้ร่วมกับบางมิตรประเทศ เช่น EU ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งมีความเห็นตรงกันทำการโต้แย้งไปยังสหรัฐฯ และอาจจะนำเข้าไปพิจารณาในองค์การการค้าโลก(WTO) หากรัฐบัญญัติฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับข้อตกลง WTO-- จบ--
--กรมการค้าต่างประเทศ ธันวาคม 2543--
-อน-
ร่างกฎหมายฉบับนี้นำเสนอโดยวุฒิสมาชิก Robert Byrd แห่งมลรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งได้รับแรงกดดันจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูง เนื่องจากภูมิภาคที่ผลิตเหล็กนั้น เป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคการเมืองโดยเฉพาะในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เวอร์จิเนีย และเพนน์ซิลวาเนีย การโน้มน้าวของภาคอุตสาหกรรมเหล็กดังกล่าว ทำให้นโยบายของสหรัฐฯเอนเอียงไปในทิศทางที่ปกป้องมากขึ้น และไม่เพียงแต่สินค้าเหล็กเท่านั้น แต่จะขยายไปถึงสินค้าอื่นๆด้วย
อุตสาหกรรมเหล็กภายในของสหรัฐฯ ได้เริ่มเปิดศึกยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยขอให้ทางกระทรวงการค้าสหรัฐฯ เปิดการไต่สวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าเหล็กคาร์บอนรีดร้อน จาก 11 ประเทศรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งในข้อกล่าวหากับผู้ส่งออกของไทย มีทั้งการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ทั้ง 2 ประเด็นพร้อมกัน
หลายฝ่ายได้แสดงความเป็นห่วง โดยให้ข้อสังเกตว่ารัฐบัญญัติฉบับนี้จะเป็นกฎหมาย ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตสหรัฐฯยื่นคำร้องขอให้เปิดการไต่สวนมากขึ้น เพื่อหวังประโยชน์ทางการเงิน ที่จะได้รับทางตรงจากอากรที่เรียกเก็บนั้น ส่วนผู้คัดค้านหรือไม่ให้ความร่วมมือ จะไม่มีสิทธิในอากรที่เรียกเก็บ หรือผู้เคยคัดค้านหรือไม่ให้ความร่วมมือในการไต่สวน หากได้ซื้อกิจการของผู้ที่เคยยื่นคำร้องขอก็ไม่มีสิทธิในอากรที่เรียกเก็บ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้สำนักกฎหมายต่างๆในสหรัฐฯ โน้มน้าวผู้ผลิตเปิดการฟ้องร้องมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้อากรที่เรียกเก็บไว้ มาชดเชยเป็นค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่เกิดขึ้น และในที่สุดก็จะสร้างแรงจูงใจให้เรียกเก็บอัตราอากรที่สูงขึ้นได้
จากรัฐบัญญัติดังกล่าวนี้ อาจจะทำให้สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มีโอกาสถูกเปิดการไต่สวนมากขึ้นทั้งจำนวนกรณีและรายสินค้า นอกจากนี้ประเทศอื่นๆที่นำเข้าสินค้าชนิดดียวกันจากไทย ก็อาจจะเปิดการไต่สวนอีกด้วย ถ้าหากไทยแก้ข้อกล่าวหากับสหรัฐฯไม่สำเร็จ
สำหรับสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปิดการไต่สวน เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฯลฯ และผู้ส่งออกควรระมัดระวังอัตราการส่งออกที่เพิ่มขึ้น(Growth rate)ของสินค้าชนิดนั้นๆที่ส่งออกไปสหรัฐฯไม่ให้สูงขึ้นจนผิดปกติ รวมทั้งราคาเสนอขายภายในประเทศและราคาส่งออกไปสหรัฐฯ เพราะว่าเมื่อเกิดการไต่สวนขึ้นแล้ว ไทยจะเป็นฝ่ายเสียหายไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ คือ ถ้าชนะก็ต้องเสียค่าทนายความ ซึ่งค่าว่าจ้างแต่ละกรณีหลายล้านบาทขึ้นไปนับว่าสูงมาก ถ้าแพ้ก็จะถูกเก็บอากรไปถึง 5 ปี เป็นอย่างน้อย และอาจจะเสียตลาดไปก็ได้อันเนื่องมาจากไม่สามารถแข่งขันได้เพราะต้นทุนสูงขึ้น
ในส่วนของภาครัฐนั้น ขณะนี้ประเทศไทยได้ร่วมกับบางมิตรประเทศ เช่น EU ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งมีความเห็นตรงกันทำการโต้แย้งไปยังสหรัฐฯ และอาจจะนำเข้าไปพิจารณาในองค์การการค้าโลก(WTO) หากรัฐบัญญัติฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับข้อตกลง WTO-- จบ--
--กรมการค้าต่างประเทศ ธันวาคม 2543--
-อน-