นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.คมนาคมเปิดเผยสัญญาซื้อตรงซีทีเอ็กซ์ระหว่างบทม.กับบริษัทจีอีอินวิชั่นว่า
เมื่อตนได้วิเคราะห์ดู เห็นว่าเป็นการปรับสัญญาให้เป็นไปตามคำสั่งของสหรัฐฯ ที่ให้มีการขายตรง แต่เมื่อดูลักษณะของสัญญาแล้วพบว่า บทม. เป็นคู่สัญญาจริงกับจีอีอินวิชั่น แต่สิทธิและหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดตามสัญญาของ บทม. มอบหมายให้ไอทีโอเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับในอดีตก็คือถือว่าเป็นถือหุ้นแทนหรือนอมินี
และเมื่อลงไปในรายละเอียดของสัญญา ตนเห็นว่ามี 2-3 ข้อที่สำคัญ ชี้ให้เห็นว่าประเด็นที่ตนพูดนั้นมีหลักฐานของสัญญาจริงๆ ข้อ 7.1 ในสัญญาระบุชัดเจนว่า ไอทีโอเป็นผู้ชำระเงินแทน บทม. และอีกส่วนที่มีความสำคัญ คือเอกสารแนบที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา ระบุว่า บทม.อนุญาตให้จีอีอินวิชั่น มอบหนังสือค้ำประกันธนาคารออกในนามไอทีโอได้ แต่ไอทีโอไม่ได้เป็นคู่สัญญา แต่เขียนสัญญาในลักษณะนี้ คือ บทม.เป็นคู่สัญญาจริงตามความต้องการของกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันมอบภาระหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่ไอทีโอทั้งหมด ส.ส.เกรียติ กล่าว
ถ้ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยอมรับโครงสร้างในสัญญาอย่างนี้ได้ ตนคิดว่าเป็นที่น่าผิดหวัง ชี้ให้เห็นว่าคู่สัญญาที่แท้จริงที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาที่แท้จริงไม่ใช่ บทม. แต่เป็นไอทีโอ และไม่สอดคล้องกับการที่ต้องให้มีการขายตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวแทน หลายขั้นตอนที่ทำให้เป็นเหตุมีการทุจริตจ่ายค่าสินบน
ประการต่อมา ตนเห็นว่าคำชี้แจงของทางนายสมชัย สวัสดิผล ชี้แจงว่าราคาทั้งหมดสองพันกว่าล้านนั้น มีรายละเอียดไม่ตรง มีหลายส่วนเป็นสาระสำคัญว่าเมื่อมีการลงนามระหว่าง บทม. กับ จีอีอินวิชั่นแล้ว ไอทีโอควรมีส่วนได้กำไรในส่วนที่ บทม.ได้ลงนามไว้กับจีอีอินวิชั่น หากไปดูรายละเอียดการคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ในส่วนของกำไร มีค่าดำเนินการอยู่ 9% มีค่ากำไร 6.5% รวมแล้วเป็นยอดเงินทั้งหมด 341 ล้านบาท ถามว่าทำไมไอทีโอจึงมีส่วนได้กำไรตรงนี้ด้วย ถ้าไอทีโอรับเป็นผู้ดำเนินการนำเครื่องไปติดตั้ง ก็เป็นผู้ติดตั้ง ก็คิดเป็นค่าดำเนินการติดตั้ง แต่ทำไมได้รับกำไรส่วนนี้ด้วย ซึ่งไม่ถูกต้อง
นายเกียรติ กล่าวว่า ยอดเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดอีก 66.5 ล้านบาท ซึ่งในการทำสัญญาระหว่างประเทศไม่เคยมี และยังมีค่าบริหารช่วงประกันอีก 69 ล้านบาท ทั้งที่ประกันอยู่ในส่วนของจีอีแล้ว ซึ่งจีอีได้ใส่เงินส่วนนี้ไว้แล้ว 150 ล้านบาท อีกประเด็นคือภาษีหัก ณ ที่จ่าย ใส่ไว้ที่หนึ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดเงิน 75 ล้านบาท อีกที่หนึ่งใส่ไว้ 78 ล้านบาท เหตุใดถึงคิด 2 ต่อ แล้วนำมาบวกเป็นต้นทุน ซึ่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือการเก็บภาษีกำไรล่วงหน้า ถ้าหากไม่มีกำไร สามารถขอคืนได้ แต่กลับใส่เป็นค่าใช้จ่าย รวมแล้ว 150 กว่าล้านบาท ถ้าหากจะอ้างว่ากรณีสหรัฐฯ ต้องคิดเหมือนกัน ลองกลับดูระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาเรื่องภาษีซ้อนกันอยู่ เพราะฉะนั้นภาษีที่เสียในประเทศไทยไม่ต้องเสียเพิ่มในสหรัฐฯ ภาษีนี้ไม่ควรมาใส่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าในตารางที่บทม.พยายามอธิบายนั้นมีความพยายามเอาข้อมูลเอาตัวเลขที่ไม่น่าเป็นค่าใช้จ่ายมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้ตัวเลขยอดรวมทั้งหมดถึง 2,608 ล้านบาทให้ได้ และคำชี้แจงของบทม.ยังเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดมาก
"โดยสรุปมีตัวเลขค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ผมเชื่อว่าอธิบายไม่ได้และไม่ตรงกับที่เคยตั้งข้อสังเกตไว้หรือเคยชี้แจงไว้ แต่ตรงกับที่ผมเคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า ผมเชื่อว่าในส่วนที่อธิบายไม่ได้นั้นมียอดรวมกันไม่ต่ำกว่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นส่วนที่ประชาชนได้คืนจากการซื้อตรงโดยบทม. ไม่ควรจะยังอยู่ในมือของไอทีโอ แต่การทำสัญญาลักษณะนี้ มีความชัดเจนว่าเป็นความพยายามที่ไม่ต้องการปรับยอดราคาสัญญาและในส่วนความซ้ำซ้อนของสัญญาทั้งหมด หรือภาษีที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่มีการนำมาคืนบทม. หรือเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง” นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 เหตุใดจึงไม่เปิดสัญญาระหว่าง บทม. กับ ไอทีโอ เหตุใดไม่เปิดสัญญาระหว่างอินวิชั่นกับแพทรออตในอดีต เพื่อยืนยันว่า 35.8 ล้าน นั้นขอบเขตของงานตรงกันกับที่เคยลงนามไว้กับแพทริออต เพราะจะบอกว่าลงนามในราคาเดียวกันแต่ไม่ตรวจสอบเนื้องานนั้นไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ บทม. ต้องเปิดเผยออกมา
นายเกียรติ กล่าวว่า ตนเคยได้ยินว่าไอทีโอหลังจากเสียค่าปรับแล้วจะเหลือกำไรเพียงเล็กน้อย ซึ่งถ้าหากเป็นคำพูดจากคนที่ทำงานให้ไอทีโอ ก็ไม่เป็นไร แต่กลายเป็นคำพูดของอดีต รมว.คมนาคม ทำไมพูดจาเหมือนกับเป็นการอุ้มหรืออธิบายความในส่วนที่เป็นผลประโยชน์ เหตุใดจึงไม่บอกว่าเมื่อทำผิดสัญญาต้องเสียค่าปรับ และประชาชนเป็นผู้เสียประโยชน์ ไม่ใช่บอกว่าเสียค่าปรับแล้วกำไรเหลือน้อย การพูดเช่นนี้จึงไม่น่าถูกต้อง
ประการสุดท้าย ขอให้สื่อมวลชนอย่าหลงประเด็น แม้ตอนนี้จะมีข่าวว่าลงนามในสัญญาโดยตรง แต่ประเด็นสำคัญของกรณีนี้คือสังคมรอคอยว่าคนที่เป็นไอ้โม่งคือใคร และใครเป็นผู้เสนอให้ ใครเป็นผู้ให้และรับสินบน ตามที่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้มีการระบุไว้ในเอกสารซึ่งเป็นคำรับสารภาพของบริษัทอินวิชั่น ซึ่งหลังจากที่ได้มีการอภิปรายฯ มายังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ในการที่จะนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่พร้อมจะให้มาเปิดเผยให้สังคมได้ทราบ นำข้อเท็จจริงมาให้ประชาชนได้รับทราบ ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการขอข้อมูลจากสหรัฐฯและหาคนผิดมาลงโทษให้ได้
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคจะเดินหน้าตรวจสอบเพื่อดำเนินการหาคนทุจริตเกี่ยวข้องกับกระบวนการซีทีเอ็กซ์ต่อไป เพราะประเด็นสำคัญของการเปิดทุจริต CTX สู่สาธารณชน ก็คือการเปิดโปงทุจริตคอรัปชั่นเกี่ยวกับการทุจริตซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด แม้ว่าขณะนี้จะยังหาคนผิดมารับผิดชอบไม่ได้ทางพรรคฯ จะยังคงตรวจสอบต่อไป ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงคมนาคมก็ตาม แต่รมว.คมนาคมคนใหม่ก็ต้องทำความจริงให้ปรากฎ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ก็ต้องนำคนผิดที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนมาลงโทษด้วย ซึ่งรัฐบาลไม่ควรมีพฤติกรรมช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไว้ ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถปิดการทุจริตเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้ในวันที่ 9 สิงหาคมนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้เรียกประชุมคณะทำงานด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและคมนาคมของพรรค รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เพื่อจะได้กำหนดมาตรการและดำเนินการหาผู้กระผิดมารับโทษ และพรรคได้มอบหมายบุคคลกลุ่มหนึ่งให้ศึกษาสัญญานี้ เพื่อตรวจสอบต่อไปตามเป้าหมายเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ส.ค. 2548--จบ--
เมื่อตนได้วิเคราะห์ดู เห็นว่าเป็นการปรับสัญญาให้เป็นไปตามคำสั่งของสหรัฐฯ ที่ให้มีการขายตรง แต่เมื่อดูลักษณะของสัญญาแล้วพบว่า บทม. เป็นคู่สัญญาจริงกับจีอีอินวิชั่น แต่สิทธิและหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดตามสัญญาของ บทม. มอบหมายให้ไอทีโอเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับในอดีตก็คือถือว่าเป็นถือหุ้นแทนหรือนอมินี
และเมื่อลงไปในรายละเอียดของสัญญา ตนเห็นว่ามี 2-3 ข้อที่สำคัญ ชี้ให้เห็นว่าประเด็นที่ตนพูดนั้นมีหลักฐานของสัญญาจริงๆ ข้อ 7.1 ในสัญญาระบุชัดเจนว่า ไอทีโอเป็นผู้ชำระเงินแทน บทม. และอีกส่วนที่มีความสำคัญ คือเอกสารแนบที่ 5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา ระบุว่า บทม.อนุญาตให้จีอีอินวิชั่น มอบหนังสือค้ำประกันธนาคารออกในนามไอทีโอได้ แต่ไอทีโอไม่ได้เป็นคู่สัญญา แต่เขียนสัญญาในลักษณะนี้ คือ บทม.เป็นคู่สัญญาจริงตามความต้องการของกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันมอบภาระหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่ไอทีโอทั้งหมด ส.ส.เกรียติ กล่าว
ถ้ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยอมรับโครงสร้างในสัญญาอย่างนี้ได้ ตนคิดว่าเป็นที่น่าผิดหวัง ชี้ให้เห็นว่าคู่สัญญาที่แท้จริงที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาที่แท้จริงไม่ใช่ บทม. แต่เป็นไอทีโอ และไม่สอดคล้องกับการที่ต้องให้มีการขายตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวแทน หลายขั้นตอนที่ทำให้เป็นเหตุมีการทุจริตจ่ายค่าสินบน
ประการต่อมา ตนเห็นว่าคำชี้แจงของทางนายสมชัย สวัสดิผล ชี้แจงว่าราคาทั้งหมดสองพันกว่าล้านนั้น มีรายละเอียดไม่ตรง มีหลายส่วนเป็นสาระสำคัญว่าเมื่อมีการลงนามระหว่าง บทม. กับ จีอีอินวิชั่นแล้ว ไอทีโอควรมีส่วนได้กำไรในส่วนที่ บทม.ได้ลงนามไว้กับจีอีอินวิชั่น หากไปดูรายละเอียดการคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ในส่วนของกำไร มีค่าดำเนินการอยู่ 9% มีค่ากำไร 6.5% รวมแล้วเป็นยอดเงินทั้งหมด 341 ล้านบาท ถามว่าทำไมไอทีโอจึงมีส่วนได้กำไรตรงนี้ด้วย ถ้าไอทีโอรับเป็นผู้ดำเนินการนำเครื่องไปติดตั้ง ก็เป็นผู้ติดตั้ง ก็คิดเป็นค่าดำเนินการติดตั้ง แต่ทำไมได้รับกำไรส่วนนี้ด้วย ซึ่งไม่ถูกต้อง
นายเกียรติ กล่าวว่า ยอดเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดอีก 66.5 ล้านบาท ซึ่งในการทำสัญญาระหว่างประเทศไม่เคยมี และยังมีค่าบริหารช่วงประกันอีก 69 ล้านบาท ทั้งที่ประกันอยู่ในส่วนของจีอีแล้ว ซึ่งจีอีได้ใส่เงินส่วนนี้ไว้แล้ว 150 ล้านบาท อีกประเด็นคือภาษีหัก ณ ที่จ่าย ใส่ไว้ที่หนึ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดเงิน 75 ล้านบาท อีกที่หนึ่งใส่ไว้ 78 ล้านบาท เหตุใดถึงคิด 2 ต่อ แล้วนำมาบวกเป็นต้นทุน ซึ่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือการเก็บภาษีกำไรล่วงหน้า ถ้าหากไม่มีกำไร สามารถขอคืนได้ แต่กลับใส่เป็นค่าใช้จ่าย รวมแล้ว 150 กว่าล้านบาท ถ้าหากจะอ้างว่ากรณีสหรัฐฯ ต้องคิดเหมือนกัน ลองกลับดูระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาเรื่องภาษีซ้อนกันอยู่ เพราะฉะนั้นภาษีที่เสียในประเทศไทยไม่ต้องเสียเพิ่มในสหรัฐฯ ภาษีนี้ไม่ควรมาใส่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าในตารางที่บทม.พยายามอธิบายนั้นมีความพยายามเอาข้อมูลเอาตัวเลขที่ไม่น่าเป็นค่าใช้จ่ายมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้ตัวเลขยอดรวมทั้งหมดถึง 2,608 ล้านบาทให้ได้ และคำชี้แจงของบทม.ยังเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดมาก
"โดยสรุปมีตัวเลขค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ผมเชื่อว่าอธิบายไม่ได้และไม่ตรงกับที่เคยตั้งข้อสังเกตไว้หรือเคยชี้แจงไว้ แต่ตรงกับที่ผมเคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า ผมเชื่อว่าในส่วนที่อธิบายไม่ได้นั้นมียอดรวมกันไม่ต่ำกว่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นส่วนที่ประชาชนได้คืนจากการซื้อตรงโดยบทม. ไม่ควรจะยังอยู่ในมือของไอทีโอ แต่การทำสัญญาลักษณะนี้ มีความชัดเจนว่าเป็นความพยายามที่ไม่ต้องการปรับยอดราคาสัญญาและในส่วนความซ้ำซ้อนของสัญญาทั้งหมด หรือภาษีที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่มีการนำมาคืนบทม. หรือเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง” นายเกียรติกล่าว
นายเกียรติ กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 เหตุใดจึงไม่เปิดสัญญาระหว่าง บทม. กับ ไอทีโอ เหตุใดไม่เปิดสัญญาระหว่างอินวิชั่นกับแพทรออตในอดีต เพื่อยืนยันว่า 35.8 ล้าน นั้นขอบเขตของงานตรงกันกับที่เคยลงนามไว้กับแพทริออต เพราะจะบอกว่าลงนามในราคาเดียวกันแต่ไม่ตรวจสอบเนื้องานนั้นไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ บทม. ต้องเปิดเผยออกมา
นายเกียรติ กล่าวว่า ตนเคยได้ยินว่าไอทีโอหลังจากเสียค่าปรับแล้วจะเหลือกำไรเพียงเล็กน้อย ซึ่งถ้าหากเป็นคำพูดจากคนที่ทำงานให้ไอทีโอ ก็ไม่เป็นไร แต่กลายเป็นคำพูดของอดีต รมว.คมนาคม ทำไมพูดจาเหมือนกับเป็นการอุ้มหรืออธิบายความในส่วนที่เป็นผลประโยชน์ เหตุใดจึงไม่บอกว่าเมื่อทำผิดสัญญาต้องเสียค่าปรับ และประชาชนเป็นผู้เสียประโยชน์ ไม่ใช่บอกว่าเสียค่าปรับแล้วกำไรเหลือน้อย การพูดเช่นนี้จึงไม่น่าถูกต้อง
ประการสุดท้าย ขอให้สื่อมวลชนอย่าหลงประเด็น แม้ตอนนี้จะมีข่าวว่าลงนามในสัญญาโดยตรง แต่ประเด็นสำคัญของกรณีนี้คือสังคมรอคอยว่าคนที่เป็นไอ้โม่งคือใคร และใครเป็นผู้เสนอให้ ใครเป็นผู้ให้และรับสินบน ตามที่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้มีการระบุไว้ในเอกสารซึ่งเป็นคำรับสารภาพของบริษัทอินวิชั่น ซึ่งหลังจากที่ได้มีการอภิปรายฯ มายังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ในการที่จะนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่พร้อมจะให้มาเปิดเผยให้สังคมได้ทราบ นำข้อเท็จจริงมาให้ประชาชนได้รับทราบ ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการขอข้อมูลจากสหรัฐฯและหาคนผิดมาลงโทษให้ได้
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคจะเดินหน้าตรวจสอบเพื่อดำเนินการหาคนทุจริตเกี่ยวข้องกับกระบวนการซีทีเอ็กซ์ต่อไป เพราะประเด็นสำคัญของการเปิดทุจริต CTX สู่สาธารณชน ก็คือการเปิดโปงทุจริตคอรัปชั่นเกี่ยวกับการทุจริตซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด แม้ว่าขณะนี้จะยังหาคนผิดมารับผิดชอบไม่ได้ทางพรรคฯ จะยังคงตรวจสอบต่อไป ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงคมนาคมก็ตาม แต่รมว.คมนาคมคนใหม่ก็ต้องทำความจริงให้ปรากฎ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ก็ต้องนำคนผิดที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนมาลงโทษด้วย ซึ่งรัฐบาลไม่ควรมีพฤติกรรมช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไว้ ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถปิดการทุจริตเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้ในวันที่ 9 สิงหาคมนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้เรียกประชุมคณะทำงานด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและคมนาคมของพรรค รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เพื่อจะได้กำหนดมาตรการและดำเนินการหาผู้กระผิดมารับโทษ และพรรคได้มอบหมายบุคคลกลุ่มหนึ่งให้ศึกษาสัญญานี้ เพื่อตรวจสอบต่อไปตามเป้าหมายเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ส.ค. 2548--จบ--