กรุงเทพฯ--28 มี.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (27 มีนาคม 2543) นายอภินันท์ ณ ระนอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมด้วยนักธุรกิจชั้นนำของเม็กซิโก 3 คน เนื่องในโอกาสที่ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยมีนาย Fernando Correa Mota ประธานสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกแห่งชาติเม็กซิโก นาย Juan Jose Flores Rivero อดีตประธานสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกแห่งชาติเม็กซิโกและประธานบริษัท BICI International S.A.de C.V. ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Trading company และนาย Henk Wichers ประธานบริษัท Bianero S.A.de C.V. ซึ่งดำเนินธุรกิจในลักษณะ Trading company เช่นกัน โดยบริษัทเหล่านี้ได้รับการมอบหมายจากห้างสรรพสินค้า Liverpool ของเม็กซิโกให้เป็นผู้แทนเข้ามาเลือกสินค้าจากประเทศไทยเข้าไปวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว สรุปประเด็นได้ ดังนี้
1. ปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทยเพียงหน่วยงานเดียวที่ตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก เนื่องจากภายหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเคยจัดตั้งสำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงเม็กซิโก ได้ปิดสำนักงานลงและได้โอนงานในความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้แก่สถานเอกอัครราชทูตฯ ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อให้งานส่งเสริมการค้าและอำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้ 2 ประการ คือ การเพิ่มมูลค่าการค้าสองฝ่ายให้ถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า และเร่งส่งเสริมสินค้าไทยภายใต้ Thai Brand Name ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ชาวเม็กซิกัน
2. การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนักธุรกิจเม็กซิโกในครั้งนี้ ก็เป็นโครงการหนึ่งของสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อส่งเสริมเป้าหมายดังกล่าว โดยนักธุรกิจทั้งสามมีจุดประสงค์ในการเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้เพื่อหาสินค้า Brand Name ของไทยที่มีมาตรฐานอยู่ในระดับกลางและสูง เพื่อหาลู่ทางในการวางจำหน่ายในเม็กซิโก และในขณะเดียวกัน เพื่ออธิบายระเบียบวิธีการทำธุรกิจในประเทศเม็กซิโกให้กับนักธุรกิจชั้นนำของไทยโดยตรง
3. นาย Fernando กล่าวว่า ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยมีปริมาณการค้าสองฝ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 350-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน เม็กซิโกก็เป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากเป็นอันดับหนึ่ง และยังมีความตกลงทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลางและใต้ อีกด้วย ดังนั้น จึงถือได้ว่าเม็กซิโกเป็นตลาดที่นักธุรกิจไทยไม่ควรมองข้าม
4. ต่อข้อซักถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับสินค้าที่ชาวเม็กซิกันสนใจจะนำไปจำหน่ายในเม็กซิโกนั้น นาย Fernando กล่าวว่ามีสินค้าหลายชนิดที่ประเทศไทยผลิตได้อย่างมีคุณภาพและสามารถแข่งขันกับสินค้าชนิดเดียวกันในเม็กซิโก ซึ่งได้แก่ สิ่งทอ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และดอกไม้ส่งออก เช่น กล้วยไม้ อย่างไรก็ดี ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในเม็กซิโกนั้น นักธุรกิจชาวไทยจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบที่รัฐบาลของเม็กซิโกได้วางอย่างถูกต้อง และหวังว่านักธุรกิจทั้งสองประเทศจะสามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อย่างแข็งแกร่งหลังจากที่วิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียได้ผ่านพ้นไปแล้ว--จบ--
วันนี้ (27 มีนาคม 2543) นายอภินันท์ ณ ระนอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมด้วยนักธุรกิจชั้นนำของเม็กซิโก 3 คน เนื่องในโอกาสที่ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยมีนาย Fernando Correa Mota ประธานสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกแห่งชาติเม็กซิโก นาย Juan Jose Flores Rivero อดีตประธานสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกแห่งชาติเม็กซิโกและประธานบริษัท BICI International S.A.de C.V. ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Trading company และนาย Henk Wichers ประธานบริษัท Bianero S.A.de C.V. ซึ่งดำเนินธุรกิจในลักษณะ Trading company เช่นกัน โดยบริษัทเหล่านี้ได้รับการมอบหมายจากห้างสรรพสินค้า Liverpool ของเม็กซิโกให้เป็นผู้แทนเข้ามาเลือกสินค้าจากประเทศไทยเข้าไปวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว สรุปประเด็นได้ ดังนี้
1. ปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไทยเพียงหน่วยงานเดียวที่ตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก เนื่องจากภายหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเคยจัดตั้งสำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงเม็กซิโก ได้ปิดสำนักงานลงและได้โอนงานในความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้แก่สถานเอกอัครราชทูตฯ ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อให้งานส่งเสริมการค้าและอำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้ 2 ประการ คือ การเพิ่มมูลค่าการค้าสองฝ่ายให้ถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า และเร่งส่งเสริมสินค้าไทยภายใต้ Thai Brand Name ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ชาวเม็กซิกัน
2. การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนักธุรกิจเม็กซิโกในครั้งนี้ ก็เป็นโครงการหนึ่งของสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อส่งเสริมเป้าหมายดังกล่าว โดยนักธุรกิจทั้งสามมีจุดประสงค์ในการเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้เพื่อหาสินค้า Brand Name ของไทยที่มีมาตรฐานอยู่ในระดับกลางและสูง เพื่อหาลู่ทางในการวางจำหน่ายในเม็กซิโก และในขณะเดียวกัน เพื่ออธิบายระเบียบวิธีการทำธุรกิจในประเทศเม็กซิโกให้กับนักธุรกิจชั้นนำของไทยโดยตรง
3. นาย Fernando กล่าวว่า ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยมีปริมาณการค้าสองฝ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 350-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน เม็กซิโกก็เป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากเป็นอันดับหนึ่ง และยังมีความตกลงทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลางและใต้ อีกด้วย ดังนั้น จึงถือได้ว่าเม็กซิโกเป็นตลาดที่นักธุรกิจไทยไม่ควรมองข้าม
4. ต่อข้อซักถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับสินค้าที่ชาวเม็กซิกันสนใจจะนำไปจำหน่ายในเม็กซิโกนั้น นาย Fernando กล่าวว่ามีสินค้าหลายชนิดที่ประเทศไทยผลิตได้อย่างมีคุณภาพและสามารถแข่งขันกับสินค้าชนิดเดียวกันในเม็กซิโก ซึ่งได้แก่ สิ่งทอ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และดอกไม้ส่งออก เช่น กล้วยไม้ อย่างไรก็ดี ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในเม็กซิโกนั้น นักธุรกิจชาวไทยจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบที่รัฐบาลของเม็กซิโกได้วางอย่างถูกต้อง และหวังว่านักธุรกิจทั้งสองประเทศจะสามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อย่างแข็งแกร่งหลังจากที่วิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียได้ผ่านพ้นไปแล้ว--จบ--