สรุปภาวะอุตสาหกรรมระหว่างเดือน มกราคม - มีนาคม 2544
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ มีการปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยลงจากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ลงมามาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆเป็นปริมาณมาก กำลังประสบกับภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐก็มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ประเทศต่างๆในยุโรปและเอเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ก็อาจมีอัตราการขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่น องค์การต่างๆจึงมีการปรับลดการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในปี 2544 ลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย สำนักพยากรณ์ต่างๆที่ก็มีการปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยคือสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นซึ่งมีสัดส่วนในการส่งออกของไทยสูงถึงร้อยละ 36 มีแนวโน้มการขยายตัวที่ไม่ดี การส่งออกซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.5 ในปี 2543 คาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมาก และหลายฝ่ายมีการปรับลดการคาดการณ์การส่งออกในปี 2544 กันใหม่ โดยมีการคาดการณ์กันว่า อัตราการขยายตัวในการส่งออกจะลดลงไปจนถึงระดับร้อยละ 5-7 หรือต่ำกว่านั้น ในอีกด้านหนึ่ง การบริโภคและการลงทุนในประเทศก็มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2544 จะมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าปี 2543 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งมีการกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงปลายปี2543 ก็มีการปรับลดลงมาตามลำดับตั้งแต่ต้นปี 2544 เป็นต้นมา รัฐบาลจึงพยายามที่จะเพิ่มการใช้จ่ายและปรับขนาดการขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การใช้จ่ายของรัฐบาลตามโครงการต่างๆอาจมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในขอบเขตจำกัด และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น การพยากรณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2544 จึงถูกปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องโดยส่วนใหญ่คาดกันว่าในปี 2544 เศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตในระดับร้อยละ 3.5 หรือต่ำกว่า
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากการสำรวจของหน่วยงานต่างๆและจากข้อมูลการค้า การลงทุน และการบริโภค ชี้ใปในทิศทางที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้จะมีอัตราที่ลดน้อยลง การผลิตและการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังมีระดับที่ไม่ต่ำกว่าไตรมาสที่แล้ว และมีแนวโน้มสูงขึ้นในระหว่างเดือนมกราคมและมีนาคม โดยในเดือนมีนาคม ทั้งดัชนีผลผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มในปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2543 ทั้งดัชนีผลผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าลดลง อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยทั้งไตรมาสอยู่ในระดับ 56.5 (ร้อยละ 60 หากไม่รวมสุรา) โดยเดือนมีนาคม มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับร้อยละ 60 (ร้อยละ 63.7 หากไม่รวมสุรา) จึงอาจกล่าวได้ว่าภาคอุตสาหกรรมโดยรวมยังมีการใช้กำลังการผลิตเหลืออยู่มากพอควร
การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนในไตรมาสแรกของปี 2544 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2543 แล้วมีลักษณะทรงตัว ทางด้านการลงทุน ยังไม่มีการขยายตัวมากนัก การจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศมีมากขึ้นแต่การจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ การนำเข้าในสินค้าทุน การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ และการเพิ่มทุนมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาการเปลี่ยนแปลงภายในไตรมาส จะพบว่า การจำหน่ายปูนซีเมนต์และรถยนต์เชิงพาณิชย์ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม มีปริมาณเพิ่มขึ้น
สำหรับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชน มีการชะลอตัวลงในไตรมาสแรกของปี 2544 โดยดัชนีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมีแนวโน้มที่ลดลงมาจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และ มีนาคม ตามลำดับ แต่ยอดจำหน่ายเหล้าและเบียร์ รถยนต์นั่งและจักรยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม แม้จะยังมีระดับต่ำกว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่วนการนำเข้าสินค้าบริโภคมีแนวโน้มทรงตัว โดยในเดือนกุมภาพันธ์มีปริมาณการนำเข้าลดลงมามาก โดยภาพรวมแล้วการบริโภคภาคเอกชนยังไม่กระเตื้องขึ้น การสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานต่างๆมีผลออกมาที่สอดคล้องกันว่า จากเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2544 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีค่าลดลงมาตามลำดับ
สำหรับภาวะราคาสินค้า แม้ราคาน้ำมันในประเทศจะทะยานสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเมื่อพิจารณาจากดัชนีราคาผู้บริโภคในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่สูงมากนักคือ อยู่ในระดับร้อยละ 1.4 เนื่องจากการอ่อนตัวลงของสินค้าประเภทอาหารและสินค้าอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้ผลิตได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2.8 ในไตรมาสนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังมีระดับอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์แรงงาน หากพิจารณาจากจำนวนคนงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม จำนวนกิจการที่เลิกหรือหยุดกิจการชั่วคราว และจำนวนคนงานที่ถูกเลิกจ้างแล้ว สถานการณ์การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังไม่เลวร้ายลงกว่าเดิม
ในไตรมาสแรของปี 2544 การส่งออกของสินค้ามีการชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปลายปี 2543 โดยใน 3 เดือนแรกของปี 2544 มูลค่าการส่งออกในรูปของเงินเหรียญสหรัฐอเมริกามีค่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2543 137.8 ล้านเหรียญ หรือลดลงร้อยละ 0.82 ส่วนมูลค่าการนำเข้านั้นมีค่าสูงกว่าการนำเข้าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 19 อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกยังสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าและมีการเกินดุลการค้าอยู่ 38.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นขนาดการเกินดุลการค้าที่ลดน้อยลงไปมาก ในช่วงไตรมาสแรก เดือนมกราคม ไทยมีการขาดดุลในดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 40 เดือน ตัวเลขเบื้องต้นในเดือนเมษายนก็แสดงว่า จะมีการขาดดุลการค้าเล็กน้อยในเดือนนี้
เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2543 พบว่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมมีการขยายตัว ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร แร่และเชื้อเพลิงล้วนมีมูลค่าลดลงในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ การส่งออกไปตลาดหลัก ซึ่งได้แก่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อาเซียนและญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมประมาณร้อยละ 70 ของการส่งออกของไทย โดยรวมแล้วยังมีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่การส่งออกไปตลาดสหรัฐและอาเซียนลดลง(ร้อยละ 0.5 และ0.8 ตามลำดับ) ในขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ยังคงมีการขยายตัว(ร้อยละ 7 และ 6 ตามลำดับ)
ในการส่งออกของสินค้าที่สำคัญ 10 รายการแรก สินค้าหลายรายการปะสบกับการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 43 เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องรับโทรทัศน์ และข้าว ในขณะที่แผงวงจรไฟฟ้า กุ้งสดแช่เย็น รถยนต์และจักรยานยนต์ และชิ้นส่วน และอัญมณียังมีการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทางด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2540 และ 2541 ซึ่งมีปริมาณการลงทุนไหลเข้าสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีแนวโน้มที่ลดลง แม้จะยังคงไม่ต่ำกว่าระดับก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงต้นปี 2544 เดือนมกราคมมีการลงทุนโดยตรงสุทธิติดต่อ แต่เดือนกุมภาพันธ์การลงทุนมีการเพิ่มขึ้นบ้าง ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในไตรมาสแรกมีโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุน 124 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 49,752 ล้านบาท ประเภทกิจการที่สำคัญที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสแรกนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี และพลาสติก หากเทียบกับการลงทุนในไตรมาสที่แล้ว(ไตรมาสสุดท้ายของปี 2543) พบว่ามีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนน้อยลง แต่มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2544 คาดกันว่าจะไม่สดใสนักเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในระหว่างประเทศที่ได้รับการลงทุน
กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 มีลักษณะชะลอตัวลง ปัจจัยสำคัญคือแรงกระตุ้นจากภาคการส่งออกมีการอ่อนแรงลงไปมาก ทางด้านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนก็ไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก แม้ว่าภาครัฐบาลมีแผนเร่งรัดการใชจ่ายและการเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผล การคาดการณ์ส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องกันว่า ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2544 มีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่ลดลง อย่างไรก็ดี การผลิตและการส่งสินค้าในภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 ยังไม่มีทีท่าว่า จะมีการชะลอตัวลงไปมากนัก ทั้งการผลิต การใช้กำลังผลิตและการส่งสินค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการขยายตัวในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม เช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวที่ดีในช่วงไตรมาสแรกนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง อัญมณี และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท เช่น แอร์ และตู้เย็น แต่สินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังมีสภาพทรงตัว สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาสที่สอง คาดว่าภาวะอุตสาหกรรมคงไม่ดีขึ้นไปกว่านี้มาก อย่างไรก็ตาม การผลิตและการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หากเศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น คาดว่าในตลอดปี 2544 ภาวะอุตสาหกรรมจะยังคงขยายตัวในอัตราสูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ มีการปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยลงจากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ลงมามาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆเป็นปริมาณมาก กำลังประสบกับภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐก็มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ประเทศต่างๆในยุโรปและเอเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ก็อาจมีอัตราการขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่น องค์การต่างๆจึงมีการปรับลดการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในปี 2544 ลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย สำนักพยากรณ์ต่างๆที่ก็มีการปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยคือสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นซึ่งมีสัดส่วนในการส่งออกของไทยสูงถึงร้อยละ 36 มีแนวโน้มการขยายตัวที่ไม่ดี การส่งออกซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.5 ในปี 2543 คาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมาก และหลายฝ่ายมีการปรับลดการคาดการณ์การส่งออกในปี 2544 กันใหม่ โดยมีการคาดการณ์กันว่า อัตราการขยายตัวในการส่งออกจะลดลงไปจนถึงระดับร้อยละ 5-7 หรือต่ำกว่านั้น ในอีกด้านหนึ่ง การบริโภคและการลงทุนในประเทศก็มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2544 จะมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าปี 2543 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งมีการกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงปลายปี2543 ก็มีการปรับลดลงมาตามลำดับตั้งแต่ต้นปี 2544 เป็นต้นมา รัฐบาลจึงพยายามที่จะเพิ่มการใช้จ่ายและปรับขนาดการขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การใช้จ่ายของรัฐบาลตามโครงการต่างๆอาจมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในขอบเขตจำกัด และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น การพยากรณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2544 จึงถูกปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องโดยส่วนใหญ่คาดกันว่าในปี 2544 เศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตในระดับร้อยละ 3.5 หรือต่ำกว่า
สำหรับภาคอุตสาหกรรม จากการสำรวจของหน่วยงานต่างๆและจากข้อมูลการค้า การลงทุน และการบริโภค ชี้ใปในทิศทางที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้จะมีอัตราที่ลดน้อยลง การผลิตและการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังมีระดับที่ไม่ต่ำกว่าไตรมาสที่แล้ว และมีแนวโน้มสูงขึ้นในระหว่างเดือนมกราคมและมีนาคม โดยในเดือนมีนาคม ทั้งดัชนีผลผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มในปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2543 ทั้งดัชนีผลผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าลดลง อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยทั้งไตรมาสอยู่ในระดับ 56.5 (ร้อยละ 60 หากไม่รวมสุรา) โดยเดือนมีนาคม มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับร้อยละ 60 (ร้อยละ 63.7 หากไม่รวมสุรา) จึงอาจกล่าวได้ว่าภาคอุตสาหกรรมโดยรวมยังมีการใช้กำลังการผลิตเหลืออยู่มากพอควร
การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนในไตรมาสแรกของปี 2544 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2543 แล้วมีลักษณะทรงตัว ทางด้านการลงทุน ยังไม่มีการขยายตัวมากนัก การจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศมีมากขึ้นแต่การจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ การนำเข้าในสินค้าทุน การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ และการเพิ่มทุนมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาการเปลี่ยนแปลงภายในไตรมาส จะพบว่า การจำหน่ายปูนซีเมนต์และรถยนต์เชิงพาณิชย์ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม มีปริมาณเพิ่มขึ้น
สำหรับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชน มีการชะลอตัวลงในไตรมาสแรกของปี 2544 โดยดัชนีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมีแนวโน้มที่ลดลงมาจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และ มีนาคม ตามลำดับ แต่ยอดจำหน่ายเหล้าและเบียร์ รถยนต์นั่งและจักรยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม แม้จะยังมีระดับต่ำกว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่วนการนำเข้าสินค้าบริโภคมีแนวโน้มทรงตัว โดยในเดือนกุมภาพันธ์มีปริมาณการนำเข้าลดลงมามาก โดยภาพรวมแล้วการบริโภคภาคเอกชนยังไม่กระเตื้องขึ้น การสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานต่างๆมีผลออกมาที่สอดคล้องกันว่า จากเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2544 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีค่าลดลงมาตามลำดับ
สำหรับภาวะราคาสินค้า แม้ราคาน้ำมันในประเทศจะทะยานสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเมื่อพิจารณาจากดัชนีราคาผู้บริโภคในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่สูงมากนักคือ อยู่ในระดับร้อยละ 1.4 เนื่องจากการอ่อนตัวลงของสินค้าประเภทอาหารและสินค้าอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้ผลิตได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2.8 ในไตรมาสนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังมีระดับอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์แรงงาน หากพิจารณาจากจำนวนคนงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม จำนวนกิจการที่เลิกหรือหยุดกิจการชั่วคราว และจำนวนคนงานที่ถูกเลิกจ้างแล้ว สถานการณ์การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกของปี 2544 ยังไม่เลวร้ายลงกว่าเดิม
ในไตรมาสแรของปี 2544 การส่งออกของสินค้ามีการชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปลายปี 2543 โดยใน 3 เดือนแรกของปี 2544 มูลค่าการส่งออกในรูปของเงินเหรียญสหรัฐอเมริกามีค่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2543 137.8 ล้านเหรียญ หรือลดลงร้อยละ 0.82 ส่วนมูลค่าการนำเข้านั้นมีค่าสูงกว่าการนำเข้าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 19 อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกยังสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าและมีการเกินดุลการค้าอยู่ 38.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นขนาดการเกินดุลการค้าที่ลดน้อยลงไปมาก ในช่วงไตรมาสแรก เดือนมกราคม ไทยมีการขาดดุลในดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 40 เดือน ตัวเลขเบื้องต้นในเดือนเมษายนก็แสดงว่า จะมีการขาดดุลการค้าเล็กน้อยในเดือนนี้
เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2543 พบว่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมมีการขยายตัว ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร แร่และเชื้อเพลิงล้วนมีมูลค่าลดลงในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ การส่งออกไปตลาดหลัก ซึ่งได้แก่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อาเซียนและญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมประมาณร้อยละ 70 ของการส่งออกของไทย โดยรวมแล้วยังมีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่การส่งออกไปตลาดสหรัฐและอาเซียนลดลง(ร้อยละ 0.5 และ0.8 ตามลำดับ) ในขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ยังคงมีการขยายตัว(ร้อยละ 7 และ 6 ตามลำดับ)
ในการส่งออกของสินค้าที่สำคัญ 10 รายการแรก สินค้าหลายรายการปะสบกับการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 43 เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องรับโทรทัศน์ และข้าว ในขณะที่แผงวงจรไฟฟ้า กุ้งสดแช่เย็น รถยนต์และจักรยานยนต์ และชิ้นส่วน และอัญมณียังมีการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทางด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2540 และ 2541 ซึ่งมีปริมาณการลงทุนไหลเข้าสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีแนวโน้มที่ลดลง แม้จะยังคงไม่ต่ำกว่าระดับก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงต้นปี 2544 เดือนมกราคมมีการลงทุนโดยตรงสุทธิติดต่อ แต่เดือนกุมภาพันธ์การลงทุนมีการเพิ่มขึ้นบ้าง ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในไตรมาสแรกมีโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุน 124 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 49,752 ล้านบาท ประเภทกิจการที่สำคัญที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสแรกนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี และพลาสติก หากเทียบกับการลงทุนในไตรมาสที่แล้ว(ไตรมาสสุดท้ายของปี 2543) พบว่ามีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนน้อยลง แต่มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2544 คาดกันว่าจะไม่สดใสนักเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในระหว่างประเทศที่ได้รับการลงทุน
กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 มีลักษณะชะลอตัวลง ปัจจัยสำคัญคือแรงกระตุ้นจากภาคการส่งออกมีการอ่อนแรงลงไปมาก ทางด้านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนก็ไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก แม้ว่าภาครัฐบาลมีแผนเร่งรัดการใชจ่ายและการเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผล การคาดการณ์ส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องกันว่า ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2544 มีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่ลดลง อย่างไรก็ดี การผลิตและการส่งสินค้าในภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 ยังไม่มีทีท่าว่า จะมีการชะลอตัวลงไปมากนัก ทั้งการผลิต การใช้กำลังผลิตและการส่งสินค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการขยายตัวในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม เช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวที่ดีในช่วงไตรมาสแรกนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง อัญมณี และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท เช่น แอร์ และตู้เย็น แต่สินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังมีสภาพทรงตัว สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาสที่สอง คาดว่าภาวะอุตสาหกรรมคงไม่ดีขึ้นไปกว่านี้มาก อย่างไรก็ตาม การผลิตและการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หากเศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น คาดว่าในตลอดปี 2544 ภาวะอุตสาหกรรมจะยังคงขยายตัวในอัตราสูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--