กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศจะจัดให้มีพิธีลงนามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 เวลา 14.30 น. โดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และนาย Hermann Erath เอกอัครราชทูต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามฝ่ายสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
การลงนามความตกลงฉบับดังกล่าวเป็นผลของการเจรจาร่างความตกลงระหว่าง ผู้แทนรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2539 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างสองประเทศ โดยยึดหลักการค้าเสรีและผลประโยชน์ ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และเพื่อขยายความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านนี้ให้มากขึ้น
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้วมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
(1) สิทธิในการให้บริการขนส่ง ให้เรือของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิให้บริการขนส่งระหว่างประเทศไทย-เยอรมนี และระหว่างประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งกับประเทศที่สามด้วย ทั้งนี้ ไม่รวมถึง การขนส่งทางทะเลภายในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง
(2) การเข้า-ออกจากท่า ให้ทั้งสองฝ่ายอำนวยความสะดวกแก่เรือของอีก ฝ่ายหนึ่งในเรื่องพิธีการศุลกากรและเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เรือเสียเวลาอยู่ในท่าน้อยที่สุด
(3) บริการท่าเรือ ให้เรือของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้บริการ ท่าเรือของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น การเข้าเทียบท่า การออกจากท่า การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณ ท่าเรือ เป็นต้น
(4) การจัดตั้งสำนักงานสาขาของบริษัทเรือ ให้บริษัทเรือของอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเข้าไปจัดตั้งสำนักงานสาขาของอีกฝ่ายหนึ่งได้
(5) การโอนเงินระหว่างประเทศ การโอนเงินรายได้ที่ได้รับจากการประกอบ กิจการของบริษัทเรือกลับประเทศของตน ให้ทำได้อย่างเสรี (6) เอกสารประจำเรือ ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับและให้ความเชื่อถือซึ่งกันและกัน ในเอกสารประจำเรือที่อีกฝ่ายหนึ่งออกให้แก่เรือของตน เช่น ใบทะเบียนเรือ หนังสือสำคัญรับรอง การวัดขนาดของเรือ เป็นต้น
(7) คนประจำเรือ
(ก) ให้ใช้หนังสือประจำตัวคนประจำเรือ (Seamen Book) แทน หนังสือเดินทาง (Passport) ได้
(ข) ขณะที่เรือจอดอยู่ในท่า ให้คนประจำเรือของอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นฝั่ง เดินทางภายในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมือง
(ค) ให้เจ้าหน้าที่สถานทูตหรือกงสุลของอีกฝ่ายหนึ่งสามารถติดต่อ กับคนประจำเรือประเทศของตนเมื่อเรือจอดอยู่ในท่าของอีกฝ่ายหนึ่งได้
(8) กรณีเรือประสบภัย ทั้งสองฝ่ายจะให้ความช่วยเหลือแก่เรือของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งคนประจำเรือ ผู้โดยสารและสินค้าในเรือที่ประสบภัยในน่านน้ำของตนอย่างสุดความสามารถ
(9) ความร่วมมือ
(ก) ให้มีคณะกรรมการร่วมด้านการขนส่งทางทะเล (Joint Maritime Commerce) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของทั้งสองฝ่ายเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับความตกลงนี้
(ข) รัฐบาลไทยและเยอรมันจะสนับสนุนให้มีความร่วมมือทางด้าน วิชาการ การฝึกอบรมผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน และความร่วมมือด้านอื่นๆ ระหว่างบริษัทเรือ และหน่วยงานหรือสถาบันทางพาณิชย์นาวีของทั้งสองประเทศ
(10) ความตกลงฯ นี้ จะเป็นประโยชน์ร่วมกันแก่บริษัทเรือของทั้งสองฝ่าย โดยทำให้เกิดความสะดวกในการเดินเรือเข้าออกจากท่า การใช้บริการในท่าเรือ การบรรทุก ขนถ่ายสินค้า การโอนเงินรายได้กลับประเทศ และบริษัทเรือและหน่วยงานทางด้านการพาณิชย์นาวีของไทยยังมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีจากฝ่ายเยอรมัน ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลการพัฒนาพาณิชย์นาวีโดยรวมอีกทางหนึ่งด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7--จบ--
-อน-
กระทรวงการต่างประเทศจะจัดให้มีพิธีลงนามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 เวลา 14.30 น. โดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และนาย Hermann Erath เอกอัครราชทูต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามฝ่ายสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
การลงนามความตกลงฉบับดังกล่าวเป็นผลของการเจรจาร่างความตกลงระหว่าง ผู้แทนรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2539 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างสองประเทศ โดยยึดหลักการค้าเสรีและผลประโยชน์ ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และเพื่อขยายความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านนี้ให้มากขึ้น
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้วมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
(1) สิทธิในการให้บริการขนส่ง ให้เรือของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิให้บริการขนส่งระหว่างประเทศไทย-เยอรมนี และระหว่างประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งกับประเทศที่สามด้วย ทั้งนี้ ไม่รวมถึง การขนส่งทางทะเลภายในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง
(2) การเข้า-ออกจากท่า ให้ทั้งสองฝ่ายอำนวยความสะดวกแก่เรือของอีก ฝ่ายหนึ่งในเรื่องพิธีการศุลกากรและเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เรือเสียเวลาอยู่ในท่าน้อยที่สุด
(3) บริการท่าเรือ ให้เรือของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้บริการ ท่าเรือของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น การเข้าเทียบท่า การออกจากท่า การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณ ท่าเรือ เป็นต้น
(4) การจัดตั้งสำนักงานสาขาของบริษัทเรือ ให้บริษัทเรือของอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเข้าไปจัดตั้งสำนักงานสาขาของอีกฝ่ายหนึ่งได้
(5) การโอนเงินระหว่างประเทศ การโอนเงินรายได้ที่ได้รับจากการประกอบ กิจการของบริษัทเรือกลับประเทศของตน ให้ทำได้อย่างเสรี (6) เอกสารประจำเรือ ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับและให้ความเชื่อถือซึ่งกันและกัน ในเอกสารประจำเรือที่อีกฝ่ายหนึ่งออกให้แก่เรือของตน เช่น ใบทะเบียนเรือ หนังสือสำคัญรับรอง การวัดขนาดของเรือ เป็นต้น
(7) คนประจำเรือ
(ก) ให้ใช้หนังสือประจำตัวคนประจำเรือ (Seamen Book) แทน หนังสือเดินทาง (Passport) ได้
(ข) ขณะที่เรือจอดอยู่ในท่า ให้คนประจำเรือของอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นฝั่ง เดินทางภายในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า แต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตรวจคนเข้าเมือง
(ค) ให้เจ้าหน้าที่สถานทูตหรือกงสุลของอีกฝ่ายหนึ่งสามารถติดต่อ กับคนประจำเรือประเทศของตนเมื่อเรือจอดอยู่ในท่าของอีกฝ่ายหนึ่งได้
(8) กรณีเรือประสบภัย ทั้งสองฝ่ายจะให้ความช่วยเหลือแก่เรือของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งคนประจำเรือ ผู้โดยสารและสินค้าในเรือที่ประสบภัยในน่านน้ำของตนอย่างสุดความสามารถ
(9) ความร่วมมือ
(ก) ให้มีคณะกรรมการร่วมด้านการขนส่งทางทะเล (Joint Maritime Commerce) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของทั้งสองฝ่ายเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับความตกลงนี้
(ข) รัฐบาลไทยและเยอรมันจะสนับสนุนให้มีความร่วมมือทางด้าน วิชาการ การฝึกอบรมผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน และความร่วมมือด้านอื่นๆ ระหว่างบริษัทเรือ และหน่วยงานหรือสถาบันทางพาณิชย์นาวีของทั้งสองประเทศ
(10) ความตกลงฯ นี้ จะเป็นประโยชน์ร่วมกันแก่บริษัทเรือของทั้งสองฝ่าย โดยทำให้เกิดความสะดวกในการเดินเรือเข้าออกจากท่า การใช้บริการในท่าเรือ การบรรทุก ขนถ่ายสินค้า การโอนเงินรายได้กลับประเทศ และบริษัทเรือและหน่วยงานทางด้านการพาณิชย์นาวีของไทยยังมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีจากฝ่ายเยอรมัน ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลการพัฒนาพาณิชย์นาวีโดยรวมอีกทางหนึ่งด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7--จบ--
-อน-