ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการ
เงินของ ธ.กลาง สรอ. (FOMC) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.75 โดยให้
เหตุผลว่าความเสียหายจากพายุเฮอริเคนแคทรีนาเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในพื้นที่อ่าวเม็กซิโก และความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดจนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน แม้จะทำให้ค่าใช้จ่ายการผลิตและการจ้างงาน
ของ สรอ. ชะลอตัวลงในช่วงเวลาอันใกล้และอาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อ แต่ FOMC เห็นว่าปัญหาเหล่านี้
ไม่น่าที่จะกลายเป็นปัญหาคุกคามต่อเนื่องไปมากกว่านี้ในอนาคต ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่าการประกาศขึ้น
ดอกเบี้ยครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจของ สรอ. ที่จะสามารถรับมือกับผลกระทบจาก
พายุเฮอริเคนแคทรีนาได้ และคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ด้าน นายปิยะสวัสดิ์ อัม
ระนันทน์ ประธานกรรมการ บลจ.กองทุนรวมกสิกรไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธปท. คงจะ
พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย อาร์/พี อีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ภายในสิ้นปี 48 หลังจากที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้ง
นี้ ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ย อาร์/พี จะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากในระบบปรับขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีที่จะ
ช่วยสกัดปัญหาเงินเฟ้อที่ปัจจุบันเงินเฟ้อแท้จริงของไทยสูงกว่า สรอ. ในขณะที่ นายชาติศิริ โสภณพนิช กก.ผจก.
ใหญ่ ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังอยู่
ในระดับต่ำ ส่วนจะปรับขึ้นเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจไทย แต่คงจะปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก(ผู้จัดการรายวัน,กรุงเทพธุรกิจ)
2. ก.คลังอนุมัติใบอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคลล็อตแรก 6 ราย ธปท. เปิดเผยว่า ก.คลัง
อนุมัติใบอนุญาตผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลล็อตแรก 6 ราย จากที่ ธปท. ส่งไปทั้งหมด 27 ราย
ได้แก่ 1) บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ 2) บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 3) บริษัท เอซีเอส 4) บริษัท เอ
ไอจี การ์ด 5) บริษัท บัตรกรุงไทย และ 6) บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง ด้าน นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผอส.
สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า นิติบุคคลรายใหม่ที่ต้องการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลสามารถยื่น
เรื่องเข้ามายัง ธปท. ได้ตลอดเวลา โดยจะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งการที่ ธปท. กำหนด
กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการบีบให้ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทนี้มีจำนวนน้อยลง แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้
บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ เช่น การกำหนดให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี เป็นต้น (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังและ ธปท. ขอเวลาให้ ธ.พาณิชย์ปรับตัวตามแผนแม่บทสถาบันการเงินก่อนเปิดเสรีภาค
การเงิน ดร. ทนง พิทยะ รมว.คลัง กล่าวยอมรับว่ายังไม่สามารถกำหนดเวลาได้ว่าการเจรจาการค้าเสรี
ไทย- สรอ. จะได้ข้อยุติเมื่อใด เพราะทั้ง 2 ประเทศใช้แนวทางเจรจาที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง โดยฝ่ายไทยจะ
ใช้วิธี Positive List หรือจัดทำบัญชีรายการสินค้าที่สามารถเปิดเสรีร่วมกันได้ ที่เหลือจะสงวนไว้ ขณะที่ฝ่าย
สรอ. ใช้วิธี Negative List คือจัดทำบัญชีรายการสินค้าที่จะไม่เปิดเสรี ส่วนที่เหลือจะต้องเปิดให้หมด ซึ่งหาก
ไทยจะใช้ Negative List เจรจากับ สรอ. ก็เกรงว่ารายการสินค้าหรือบริการจะไม่ครอบคลุมพอ โดยเฉพาะ
ภาคบริการด้านการเงินที่ สรอ. มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก้าวหน้ากว่าไทยมาก โดยประเด็นที่ทุกธนาคารของไทยเป็น
ห่วงมากที่สุดคือ อิเล็กทรอนิกส์แบงกิ้ง อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนของไทยรวมทั้ง ธปท. และ ก.คลัง จะต้องร่วม
มือกันเพื่อให้ธุรกิจไทยพัฒนาตัวเอง สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่ต้องการทำข้อตกลง
เอฟทีเอกับ สรอ. ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย โดยฝ่ายไทยต้องการเปิดเสรีด้านการค้า ส่วน สรอ. เน้นใน
ภาคบริการโดยเฉพาะการเงิน ส่วนแนวทางการเจรจาที่แตกต่างกันก็คงต้องหาทางประนีประนอมให้เป็นที่ยอมรับ
ได้ทั้งสองฝ่าย โดยอาจเปิดรายการ Negative List หรือ Positive List ไว้ก่อน ให้สามารถเพิ่มเติมได้อีก
ในภายหลัง (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธปท. เตือนระวังแก๊งต้มตุ๋นผ่านอี-เมล รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ได้ออกประกาศ
เตือนให้ประชาชนระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่ปัจจุบันได้ใช้กลอุบายหลอกลวงผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เม
ล) โดยส่งอี-เมลไปยังประชาชนและแอบอ้างว่าเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของ ธปท. หลอกลวงให้ประชาชนจ่าย
เงินล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง แลกเปลี่ยนกับการโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมาก ซึ่งหากประชาชนหลงเชื่อจะต้องสูญเสียเงิน
จำนวนมาก ทั้งนี้ อี-เมลดังกล่าวมีการปลอมแปลงลายมือชื่อของผู้ว่าการ ธปท. และ รมว.คลัง ตลอดจนสัญลักษณ์
ของ ธปท. เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีประชาชนรายใดตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินให้
กับมิจฉาชีพ เนื่องจากไหวตัวทันจึงสอบถามข้อมูลมายัง ธปท. นอกจากนี้ มีพนักงาน ธปท. หลายคนเคยได้รับอี-
เมลในลักษณะคล้ายกันด้วย ธปท. จึงเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น และหากมีข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถแจ้งได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2283-5032 และ 0-2283-5044 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 48 และ 49 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 21 ก.ย.48 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยในรายงาน World
Economic Outlook (ซึ่งจัดทำปีละ 2 ครั้ง) ว่า ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 48
และ 49 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 ซึ่งยังอยู่เหนือกว่าร้อยละ 3.9 ที่เป็นอัตราเฉลี่ยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าโลกจะ
ประสบกับภาวะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรินาที่ สรอ. แต่ลดลงจากที่ประมาณ
การไว้ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือน เม.ย.48 ว่า ปี 49 จะขยายตัวร้อยละ 4.4 ขณะที่ปี 48 ยังคงอยู่ในระดับ
เดิม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลจากความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิเช่น ความไม่สมดุลของดุลเดินบัญชีเดินสะพัด
ทั่วโลกที่มีมากขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ผิดปกติ ตลอดจนความกังวลด้านกำลังการผลิตเชื้อเพลิงที่มีจำกัดส่งผล
ให้ระดับราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันพุ่งทะยานสูงขึ้นเหนือกว่า 70 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อ
เดือนก่อน ซึ่งมีระดับสูงถึง 2 เท่าของต้นปี 47 นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก
ก็มีระดับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใน
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แม้ว่าราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงจะต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้
ชิด ด้านภาวะตลาดการเงินก็ยังไม่รุนแรงเท่าใดนัก ท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำ ราคาตลาดหุ้นที่สูงขึ้น
และตัวเลขงบดุลของบริษัทที่ดีขึ้น ส่วนภาวะการเงินของตลาดเกิดใหม่ก็อยู่ในระดับปกติ ซึ่งสะท้อนถึงรากฐาน
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ภาวะการลงทุนจากนักลงทุนระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น อนึ่ง ไอเอ็มเอฟ ปรับลดประมาณ
การเศรษฐกิจปี 48 และ 49 ของ สรอ.ลงเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 3.5 และ 3.3 ตามลำดับ จากร้อยละ 3.6 ที่
ประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย. (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก รายงาน
จาก ลอนดอน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 48 ในการประชุมนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษเมื่อวานนี้ คณะกรรมการ
นโยบายการเงินทั้ง 9 คนมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก ซึ่งเป็นไปตามการ
คาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตามอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในช่วงต้นปีหน้าหาก
เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อลดลง (รอยเตอร์)
3. ในเดือนส.ค.ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 80 รายงานจาก โตเกียว
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 48 รมว.คลังญื่ปุ่นเปิดเผยว่า ในเดือนส.ค. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงที่ระดับ 116.3 พันล.
เยน (1.05 พันล. ดอลลาร์ สรอ.) น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะเกินดุล 378 พันล. เยน แต่เมื่อ
เทียบกับเดือนก.ย. ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และนับเป็นการเกินดุลการค้าลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการส่งออกประกอบกับปัจจัยอื่นๆที่เกิดขึ้นชั่วคราว
อาทิผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา แต่ก็ไม่ได้ทำให้มุมมองที่ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ GDP ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกร้อยละ 0.8 และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน
ร้อยละ 3.3 ส่วนการส่งออกในเดือนส.ค.ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค.ปีที่แล้วร้อยละ 9.1 อยู่ที่ระดับ 5.219 ล้าน
ล้าน เยน แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 5.103 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
จากเดือนก่อน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 21 ก.ย.48 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 0.2 ต่อ
เดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ต่อเดือนในเดือน ก.ค.48 โดยหากเทียบกับปีก่อนแล้วคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค
ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อปี นับเป็นอัตราการเพิ่มต่อปีสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.48 หลัง
จากลดลงร้อยละ 0.1 ต่อปีในเดือน ก.ค.48 ทั้งนี้เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็น
ประวัติการณ์ โดยราคาน้ำมัน light crude ของ สรอ.อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 70 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลหลังพายุเฮอริเคนแคทรินาถล่ม สรอ. ส่งผลให้ปั๊มน้ำมันในสิงคโปร์ต้องขึ้นราคาน้ำมันถึง 3 ครั้งในรอบ
6 สัปดาห์นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการขึ้นราคาค่าใช้กระแสไฟฟ้าอีกร้อยละ 13.7 ในช่วงเดือน ก.ค.- ก.ย.48
โดยมีการทบทวนราคาใหม่ทุก 3 เดือน ในขณะที่ราคารถยนต์ในเดือน ส.ค.48 กลับลดลงซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผล
กระทบจากราคาน้ำมันและค่าใช้กระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะเพิ่มสูง
ขึ้นแต่จะพยายามรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อของทั้งปีนี้ให้อยู่ระหว่างร้อยละ 0 ถึง 1 โดยสนง.สถิติของสิงคโปร์มี
กำหนดจะรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 อย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ก.ย.48 นี้ เวลา 13.00
น.ตามเวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.ย. 48 21 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.079 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8927/41.1827 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.35972 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 721.16/ 20.86 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,000/9,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.26 58.21 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธ.กลาง สรอ. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการ
เงินของ ธ.กลาง สรอ. (FOMC) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.75 โดยให้
เหตุผลว่าความเสียหายจากพายุเฮอริเคนแคทรีนาเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในพื้นที่อ่าวเม็กซิโก และความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดจนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน แม้จะทำให้ค่าใช้จ่ายการผลิตและการจ้างงาน
ของ สรอ. ชะลอตัวลงในช่วงเวลาอันใกล้และอาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อ แต่ FOMC เห็นว่าปัญหาเหล่านี้
ไม่น่าที่จะกลายเป็นปัญหาคุกคามต่อเนื่องไปมากกว่านี้ในอนาคต ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่าการประกาศขึ้น
ดอกเบี้ยครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจของ สรอ. ที่จะสามารถรับมือกับผลกระทบจาก
พายุเฮอริเคนแคทรีนาได้ และคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ด้าน นายปิยะสวัสดิ์ อัม
ระนันทน์ ประธานกรรมการ บลจ.กองทุนรวมกสิกรไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธปท. คงจะ
พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย อาร์/พี อีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ภายในสิ้นปี 48 หลังจากที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้ง
นี้ ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ย อาร์/พี จะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากในระบบปรับขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีที่จะ
ช่วยสกัดปัญหาเงินเฟ้อที่ปัจจุบันเงินเฟ้อแท้จริงของไทยสูงกว่า สรอ. ในขณะที่ นายชาติศิริ โสภณพนิช กก.ผจก.
ใหญ่ ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังอยู่
ในระดับต่ำ ส่วนจะปรับขึ้นเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจไทย แต่คงจะปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก(ผู้จัดการรายวัน,กรุงเทพธุรกิจ)
2. ก.คลังอนุมัติใบอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคลล็อตแรก 6 ราย ธปท. เปิดเผยว่า ก.คลัง
อนุมัติใบอนุญาตผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลล็อตแรก 6 ราย จากที่ ธปท. ส่งไปทั้งหมด 27 ราย
ได้แก่ 1) บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ 2) บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 3) บริษัท เอซีเอส 4) บริษัท เอ
ไอจี การ์ด 5) บริษัท บัตรกรุงไทย และ 6) บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง ด้าน นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผอส.
สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า นิติบุคคลรายใหม่ที่ต้องการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลสามารถยื่น
เรื่องเข้ามายัง ธปท. ได้ตลอดเวลา โดยจะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งการที่ ธปท. กำหนด
กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการบีบให้ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทนี้มีจำนวนน้อยลง แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้
บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ เช่น การกำหนดให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี เป็นต้น (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังและ ธปท. ขอเวลาให้ ธ.พาณิชย์ปรับตัวตามแผนแม่บทสถาบันการเงินก่อนเปิดเสรีภาค
การเงิน ดร. ทนง พิทยะ รมว.คลัง กล่าวยอมรับว่ายังไม่สามารถกำหนดเวลาได้ว่าการเจรจาการค้าเสรี
ไทย- สรอ. จะได้ข้อยุติเมื่อใด เพราะทั้ง 2 ประเทศใช้แนวทางเจรจาที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง โดยฝ่ายไทยจะ
ใช้วิธี Positive List หรือจัดทำบัญชีรายการสินค้าที่สามารถเปิดเสรีร่วมกันได้ ที่เหลือจะสงวนไว้ ขณะที่ฝ่าย
สรอ. ใช้วิธี Negative List คือจัดทำบัญชีรายการสินค้าที่จะไม่เปิดเสรี ส่วนที่เหลือจะต้องเปิดให้หมด ซึ่งหาก
ไทยจะใช้ Negative List เจรจากับ สรอ. ก็เกรงว่ารายการสินค้าหรือบริการจะไม่ครอบคลุมพอ โดยเฉพาะ
ภาคบริการด้านการเงินที่ สรอ. มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก้าวหน้ากว่าไทยมาก โดยประเด็นที่ทุกธนาคารของไทยเป็น
ห่วงมากที่สุดคือ อิเล็กทรอนิกส์แบงกิ้ง อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนของไทยรวมทั้ง ธปท. และ ก.คลัง จะต้องร่วม
มือกันเพื่อให้ธุรกิจไทยพัฒนาตัวเอง สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่ต้องการทำข้อตกลง
เอฟทีเอกับ สรอ. ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย โดยฝ่ายไทยต้องการเปิดเสรีด้านการค้า ส่วน สรอ. เน้นใน
ภาคบริการโดยเฉพาะการเงิน ส่วนแนวทางการเจรจาที่แตกต่างกันก็คงต้องหาทางประนีประนอมให้เป็นที่ยอมรับ
ได้ทั้งสองฝ่าย โดยอาจเปิดรายการ Negative List หรือ Positive List ไว้ก่อน ให้สามารถเพิ่มเติมได้อีก
ในภายหลัง (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธปท. เตือนระวังแก๊งต้มตุ๋นผ่านอี-เมล รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ได้ออกประกาศ
เตือนให้ประชาชนระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่ปัจจุบันได้ใช้กลอุบายหลอกลวงผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เม
ล) โดยส่งอี-เมลไปยังประชาชนและแอบอ้างว่าเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของ ธปท. หลอกลวงให้ประชาชนจ่าย
เงินล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง แลกเปลี่ยนกับการโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมาก ซึ่งหากประชาชนหลงเชื่อจะต้องสูญเสียเงิน
จำนวนมาก ทั้งนี้ อี-เมลดังกล่าวมีการปลอมแปลงลายมือชื่อของผู้ว่าการ ธปท. และ รมว.คลัง ตลอดจนสัญลักษณ์
ของ ธปท. เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีประชาชนรายใดตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินให้
กับมิจฉาชีพ เนื่องจากไหวตัวทันจึงสอบถามข้อมูลมายัง ธปท. นอกจากนี้ มีพนักงาน ธปท. หลายคนเคยได้รับอี-
เมลในลักษณะคล้ายกันด้วย ธปท. จึงเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น และหากมีข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถแจ้งได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2283-5032 และ 0-2283-5044 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 48 และ 49 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 21 ก.ย.48 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยในรายงาน World
Economic Outlook (ซึ่งจัดทำปีละ 2 ครั้ง) ว่า ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 48
และ 49 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 ซึ่งยังอยู่เหนือกว่าร้อยละ 3.9 ที่เป็นอัตราเฉลี่ยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าโลกจะ
ประสบกับภาวะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรินาที่ สรอ. แต่ลดลงจากที่ประมาณ
การไว้ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือน เม.ย.48 ว่า ปี 49 จะขยายตัวร้อยละ 4.4 ขณะที่ปี 48 ยังคงอยู่ในระดับ
เดิม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลจากความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิเช่น ความไม่สมดุลของดุลเดินบัญชีเดินสะพัด
ทั่วโลกที่มีมากขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ผิดปกติ ตลอดจนความกังวลด้านกำลังการผลิตเชื้อเพลิงที่มีจำกัดส่งผล
ให้ระดับราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันพุ่งทะยานสูงขึ้นเหนือกว่า 70 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลเมื่อ
เดือนก่อน ซึ่งมีระดับสูงถึง 2 เท่าของต้นปี 47 นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก
ก็มีระดับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใน
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แม้ว่าราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงจะต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้
ชิด ด้านภาวะตลาดการเงินก็ยังไม่รุนแรงเท่าใดนัก ท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำ ราคาตลาดหุ้นที่สูงขึ้น
และตัวเลขงบดุลของบริษัทที่ดีขึ้น ส่วนภาวะการเงินของตลาดเกิดใหม่ก็อยู่ในระดับปกติ ซึ่งสะท้อนถึงรากฐาน
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ภาวะการลงทุนจากนักลงทุนระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น อนึ่ง ไอเอ็มเอฟ ปรับลดประมาณ
การเศรษฐกิจปี 48 และ 49 ของ สรอ.ลงเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 3.5 และ 3.3 ตามลำดับ จากร้อยละ 3.6 ที่
ประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย. (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก รายงาน
จาก ลอนดอน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 48 ในการประชุมนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษเมื่อวานนี้ คณะกรรมการ
นโยบายการเงินทั้ง 9 คนมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก ซึ่งเป็นไปตามการ
คาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตามอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในช่วงต้นปีหน้าหาก
เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อลดลง (รอยเตอร์)
3. ในเดือนส.ค.ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 80 รายงานจาก โตเกียว
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 48 รมว.คลังญื่ปุ่นเปิดเผยว่า ในเดือนส.ค. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าลดลงที่ระดับ 116.3 พันล.
เยน (1.05 พันล. ดอลลาร์ สรอ.) น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะเกินดุล 378 พันล. เยน แต่เมื่อ
เทียบกับเดือนก.ย. ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และนับเป็นการเกินดุลการค้าลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน
เป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการส่งออกประกอบกับปัจจัยอื่นๆที่เกิดขึ้นชั่วคราว
อาทิผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา แต่ก็ไม่ได้ทำให้มุมมองที่ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ GDP ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกร้อยละ 0.8 และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน
ร้อยละ 3.3 ส่วนการส่งออกในเดือนส.ค.ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค.ปีที่แล้วร้อยละ 9.1 อยู่ที่ระดับ 5.219 ล้าน
ล้าน เยน แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 5.103 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 (รอยเตอร์)
4. ผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
จากเดือนก่อน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 21 ก.ย.48 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์คาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 0.2 ต่อ
เดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ต่อเดือนในเดือน ก.ค.48 โดยหากเทียบกับปีก่อนแล้วคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค
ในเดือน ส.ค.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อปี นับเป็นอัตราการเพิ่มต่อปีสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.48 หลัง
จากลดลงร้อยละ 0.1 ต่อปีในเดือน ก.ค.48 ทั้งนี้เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็น
ประวัติการณ์ โดยราคาน้ำมัน light crude ของ สรอ.อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 70 ดอลลาร์ สรอ.
ต่อบาร์เรลหลังพายุเฮอริเคนแคทรินาถล่ม สรอ. ส่งผลให้ปั๊มน้ำมันในสิงคโปร์ต้องขึ้นราคาน้ำมันถึง 3 ครั้งในรอบ
6 สัปดาห์นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการขึ้นราคาค่าใช้กระแสไฟฟ้าอีกร้อยละ 13.7 ในช่วงเดือน ก.ค.- ก.ย.48
โดยมีการทบทวนราคาใหม่ทุก 3 เดือน ในขณะที่ราคารถยนต์ในเดือน ส.ค.48 กลับลดลงซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผล
กระทบจากราคาน้ำมันและค่าใช้กระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะเพิ่มสูง
ขึ้นแต่จะพยายามรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อของทั้งปีนี้ให้อยู่ระหว่างร้อยละ 0 ถึง 1 โดยสนง.สถิติของสิงคโปร์มี
กำหนดจะรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 อย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ก.ย.48 นี้ เวลา 13.00
น.ตามเวลาท้องถิ่น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.ย. 48 21 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.079 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8927/41.1827 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.35972 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 721.16/ 20.86 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,000/9,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.26 58.21 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--