6. ความคืบหน้าในการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้
1. เป้าหมายการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อสินค้าเกษตรที่ก่อให้เกิดราคาในอนาคต และเป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรในระยะยาว เป็นเรื่องใหม่และมีความสลับซับซ้อน ยากแก่การทำความเข้าใจ ประกอบกับมีรายละเอียดของกฎระเบียบค่อนข้างมาก รวมทั้งความสำเร็จของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าจะมีผลกระทบต่อการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (คณะกรรมการ ก.ส.ล.) ได้พิจารณารายละเอียดแผนงานและกิจกรรมต่าง ๆ โดยจัดลำดับความสำคัญของงานและระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว เห็นควรกำหนดเป้าหมายการจัดตั้งตลาดฯ และเปิดดำเนินการซื้อขายในเดือนตุลาคม 2545 หากการจัดตั้งประสบความสำเร็จและมีสภาพคล่องสูง จะสร้างประโยชน์อย่างทวีคูณให้เกิดแก่ระบบการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรไทย รวมถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวม
2. การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล.) มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่ปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ก.ส.ล. ซึ่งรวมถึงการดำเนินการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย และภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงได้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นการชั่วคราว
3. โครงสร้างองค์กร อัตรากำลังและระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารภายในสำนักงาน คณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้มีมติอนุมัติโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ในช่วงเริ่มจัดตั้งประกอบด้วยสำนักเลขาธิการ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายกำกับตลาดและธุรกิจ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา และฝ่ายบริหารทั่วไปและการพนักงาน โดยกำหนดอัตราเริ่มแรกสำหรับปี 2544 จำนวน 26 อัตรา (ไม่รวมเลขาธิการ แต่เนื่องจากมีปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ ดังนั้น ในทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงาน จึงได้มอบหมายให้ข้าราชการกรมการค้าภายในจำนวนหนึ่งช่วยปฏิบัติงานไปพลางก่อน) ซึ่งเน้นโครงสร้างและอัตรากำลังที่เล็ก กะทัดรัด แต่ให้มีความยืดหยุ่นในการปรับให้เหมาะสมกับลักษณะและปริมาณงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว นอกจากนี้ ได้เห็นชอบข้อบังคับเกี่ยวกับการพนักงาน รวมตลอดถึงอยู่ระหว่างการพิจารณาออกระเบียบต่าง ๆ เช่น ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงิน การเก็บรักษาเงินและการจ่ายเงิน ระเบียบว่าด้วยการพัสดุ และระเบียบว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นต้น
4. การจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อทำหน้าที่ในการศึกษาและแนะนำการวางระบบและโครงสร้างองค์กรต่าง ๆ ตามกฎหมาย ศึกษาและออกแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ยกร่างกฎระเบียบการซื้อขาย กำหนดคุณสมบัติและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า และการเป็นสมาชิกตลาด ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการตรวจสอบและกำกับดูแล รวมตลอดถึงการจัดทำแผนการดำเนินงานของตลาดฯ ในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ ได้ลงนามในสัญญาจ้างเมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 และจะสิ้นสุดเมื่อตลาดเปิดดำเนินการซื้อขายไปแล้ว 6 เดือน โดยการดำเนินงานของบริษัทที่ปรึกษาจะเป็นลักษณะคู่ขนานไปกับการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้การจัดตั้งตลาดฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ตามเป้าหมาย
5. การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ในพระราชบัญญัติการซื้อขายตลาดล่วงหน้า พ.ศ. 2542 จะก่อให้เกิดธุรกิจใหม่และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษา ซื้อขายล่วงหน้า ตัวแทนซื้อขายล่วงหน้า และผู้บริหารธุรกิจร่วมทุนซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งนับเป็นงานสำคัญเร่งด่วนประการหนึ่งที่จะต้องรีบเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้ต้องมีสมาชิกตลาดฯ ภายในวันที่ 11 เมษายน 2545 ซึ่งสมาชิกตลาดฯ จะมาจากผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ดังนั้น คณะกรรมการ ก.ส.ล. จึงได้พิจารณาหลักการของกรอบการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า และได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านบริหารรับไปพิจารณาในรายละเอียดก่อนเสนอให้คณะกรรมการ ก.ส.ล. พิจารณาอนุมัติให้ประกาศใช้โดยด่วนต่อไป
6. การแต่งตั้งคณะกรรมการตลาดและผู้จัดการตลาด คณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตลาดและผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย รวม 11 คน มีหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและบริหารตลาดฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ก่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ที่เข้ามาทำธุรกรรมการซื้อขายล่วงหน้า โดยจะมีภารกิจค่อนข้างมากนับตั้งแต่การกำหนดโครงสร้างองค์กร การพนักงาน การจัดหาสถานที่ตั้งตลาด การกำหนดสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการซื้อขาย การอนุญาตสมาชิกตลาด กฎ ระเบียบการซื้อขาย ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องดำเนินการทั้งหมด โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับคณะกรรมการ ก.ส.ล. และบริษัทที่ปรึกษา ที่กรมการค้าภายในจัดจ้างอย่างใกล้ชิด
7. ปัญหาและอุปสรรค
กระทรวงพาณิชย์ได้รับอนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนรวม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 600 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแล้วแต่ในทางปฏิบัติปรากฎว่า ไม่สามารถเบิกจ่ายหรือตัดโอนเงินจากกองทุนดังกล่าวไปให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ ต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ และเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป จำนวน 1,550 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2545-2549) เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. นำไปใช้จ่ายในการจัดตั้งตลาดฯ
8. แผนการดำเนินการต่อไปตามความสำคัญเร่งด่วนของงาน ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2545 เป็นต้นไป มีดังนี้คือ
1) การจัดหาสถานที่ตั้งถาวรของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล.
2) การจัดจ้างพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดฯ
3) การรับรองสถาบันฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
4) การศึกษา วิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายการแทรกแซงสินค้าเกษตรของรัฐบาลต่อตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เพื่อสรุปเสนอรัฐบาล
5) การขอสนับสนุนจากรัฐบาลในการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรบาง
ประการที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
6) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด
สินค้าเกษตรล่วงหน้าพร้อมกับการฝึกอบรมพนักงาน และผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า
7) การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
8) ทำการตลาด เพื่อเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้ามาประกอบธุรกิจการ
ซื้อขายล่วงหน้า
9) ออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่งเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
10) อญาตผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเป็นสมาชิกตลาดฯ
7. ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 8
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม ครั้งที่ 8 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม 2544 ซึ่งจะเป็นมาตรการและแนวทางในการดำเนินการตามเป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างรู้เท่าทัน และพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศที่ใช้ความรู้ความสามารถในประเทศมากขึ้น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ในการประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากกลุ่มสมาชิกเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปากัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ ไชนีส ไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนจากสำนักเลขาธิการเอเปค (APEC Secretariat) และผู้สังเกตการณ์จากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในคาบสมุทรแปซิฟิก (Pacific Economic Cooperation Council - PECC) และกลุ่มหมู่เกาะในแปซิฟิก (The Pacific Islands Forum - PIF) โดยการประชุมดังกล่าวได้จัดคู่ขนานกับการประชุมภาคธุรกิจเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนิทรรศการ (APEC SME Business Forum and Exhibition) ซึ่งที่ประชุมได้หารือภายใต้หัวข้อหลัก “ศตวรรษใหม่ ความท้าทายใหม่ : นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (New Century, New Challenges : Innovation and Environment for SME Development) ซึ่งมีมาตรการสำคัญในการนำเสนอ 3 ประเด็นคือ
1.1 การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Advancing Technological Innovation)
1.2 การอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน (Facilitating Financing)
1.3 การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Improving the Environment for SME Development)
2. จากการประชุมดังกล่าว มีข้อสังเกตจากการประชุมและสิ่งที่กระทรวง
อุตสาหกรรมจะดำเนินการ ดังนี้
2.1 การนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในหัวข้อหลัก เรื่อง “การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา SME ” มีใจความตอนหนึ่งของรายงานสรุปผลการจัดประชุม APEC SME 2001 Conference on Strategic Alliances for Efficient Supply Chain Management ระหว่างวันที่ 1 — 3 สิงหาคม 2544 ซึ่งประเทศไทยได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้มีหน่วยประสานการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูล เพื่อสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานให้แก่ SMEs โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อเสนอของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และสิงคโปร์ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทำงานเอเปคด้าน SME พิจารณาหาแนวทางเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามข้อเสนอของประเทศไทยต่อไป
กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะดำเนินงานผลักดันการพัฒนาระบบ Supply Chain อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการส่งเสริมความรู้และสร้างความเข้าใจให้แก่ SMEs ไทย ตลอดจนประสานความร่วมมือกับภาคีสมาชิกเอเปค โดยเฉพาะกลุ่มภาคีที่ให้การสนับสนุนข้อเสนอของไทย เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคีต่อไป
2.2 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่อาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นหลัก โดยที่ความตื่นตัวของภาคีสมาชิกโดยเฉพาะที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ในเรื่องการสร้างความรู้และความเข้าใจในหมู่ SMEs เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการหาข้อมูลและทำธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางด้านการตลาดและต้นทุนการผลิต/การค้า ประกอบกับการที่จีนจะได้ร่วมเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง และเร่งรีบพัฒนาศักยภาพของ SEMs ไทยโดยเฉพาะในเรื่องการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจะคงความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกไว้
กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการเสริมสร้างความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ภายใต้โครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
2.3 การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาของ SMEs ไทย จากผลการประชุมชี้ให้เห็นว่า SMEs จำเป็นจะต้องมีการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและขยายโอกาสทางการตลาด นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาจะเป็นฐานสนับสนุนให้ SMEs แข็งแกร่งและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นที่จะให้มีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ในการทำวิจัยและพัฒนาในลักษณะไตรภาคีคือ ภาครัฐ ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยในเบื้องต้นกระทรวงอุตสาหกรรมจะสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในสาขาที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องจักรและอุปกรณ์ อาทิ โลหะการ สิ่งทอ เป็นต้น
2.4 กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) จากการที่ภาคีสมาชิกได้นำเสนอรายงานมาตรการสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ต่างระบุตรงกันถึง การใช้เงินทุนร่วมลงทุนเป็นกลไกสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
2.5 การดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการประชุมในคราวนี้คือ การผลักดันให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นในกิจการเอเปคด้าน SMEs ทั้งในด้านการร่วมกำหนดนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร และการมีส่วนร่วมในการประชุม
กระทรวงอุตสาหกรรม มีความเห็นสอดคล้องและพร้อมที่จะดำเนินการตามทิศทางของเอเปค และเห็นควรที่จะให้การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเกื้อหนุนให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมของเอเปค โดยรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์และความจริงใจของภาครัฐในการดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด
3. ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2546 และกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการจัดประชุมรัฐมนตรีและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดการประชุมสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น ในการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการตามแนวทางเอเปคด้วยการสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นไป
8. แผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ซึ่งประกอบด้วยสินค้า
เกษตรหลัก 12 ชนิด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. แผนยุทธศาสตร์รายสินค้า ประกอบด้วยสินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง สับปะรด ลำไย ทุเรียน กาแฟโรบัสต้า กล้วยไม้ กุ้งกุลาดำ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลือง
2. แผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรในภาพรวม จำแนกเป็นรายพืช จำนวน 11 สินค้า และประมง จำนวน 1 สินค้า รวมทั้งสิ้น 12 สินค้า โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา 4 ด้าน ดังนี้ 1) แผนยุทธศาสตร์ด้านการผลิต 2) แผนยุทธศาสตร์ด้านการแปรรูป 3) แผนยุทธศาสตร์ด้านการตลาด 4) แผนยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ
ทั้งนี้ เนื่องจากภาคเกษตรเป็นแหล่งที่มาของเงินตราต่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องมาตลอด เป็นสาขาการผลิตที่มีการจ้างงานมากที่สุด เป็นฐานความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศเมื่อเกิดภาวะวิกฤติด้านอาหารและเป็นฐานการพัฒนาของภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์รวมด้านอาหารมีการขยายตัวอย่างมาก
นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรไทยมีศักยภาพสูงและสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต การแปรรูป และการตลาดทั้งภายในและตลาดส่งออก โดยประเทศไทยจะต้องเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของโลก และสามารถพัฒนาระบบการค้าและสร้างคุณภาพสินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 5 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เป็นประธานกรรมการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการปรับแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (คกก. 5) และข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำกลับมาเสนอ คกก. 5 อีกครั้ง เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนจะส่งไปยังคณะกรรมการที่มีหน้าที่กำกับดูแลโดยตรงของแต่ละสินค้าเกษตร เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
สำหรับความเห็นของที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 มีดังนี้
1. การกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรหลักที่สำคัญ ๆ แม้จะมีคณะกรรมการเฉพาะของแต่ละสินค้าเกษตรดูแลรับผิดชอบอยู่ แต่เรื่องนโยบาย แผน ยุทธศาสตร์ และมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรใดที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการของแต่ละ สินค้าเกษตรแล้ว ก็ควรที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยผ่านกลไกของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี หากคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นควรให้ไปศึกษาเพิ่มเติมในบางประเด็นตามข้อคิดเห็นและข้อสังเกตต่าง ๆ ก็ให้คณะกรรมการฯ ของแต่ละสินค้าเกษตรไปดำเนินการต่อแล้ว นำกลับมาเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากเห็นชอบก็สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ซึ่งกระบวนการนี้จะสามารถสร้างความชัดเจนและเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรได้
2. แผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ควรจะกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินงานที่ชัดเจน ส่วนมาตรการกำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจนั้น ก็ควรพิจารณาหามาตรการจูงใจเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์สามารถบังเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง
นอกจากนี้ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีข้อสังเกตว่า การกำหนดแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละสินค้านั้นจะต้องสามารถตอบคำถามตามประเด็นเหล่านี้ให้ได้ คือ
1) เกษตรกรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่
2) คุณภาพของผลผลิตผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องสาร
พิษตกค้าง
3) สินค้าสามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร
4) การจัดการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตและการตลาดระหว่างภาครัฐ
และภาคเอกชนจะทำได้อย่างไร
9. อนุมัติงบประมาณประจำปี 2545 สำหรับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณแก่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ผ่านกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ตามแผนงานและงบประมาณประจำปี 2545 ของสถาบันฯ เป็นเงิน 41,124,945.75 บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในการดำเนินงานปีงบประมาณ 2542-2543 สถาบันฯได้รับเงินอุดหนุนจากเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผ่านกรมส่งเสริมการส่งออก รวมเป็นเงิน 60 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2544 สถาบันฯ ได้รับอนุมัติการจัดสรรจากเงินงบประมาณ จำนวน 37 ล้านบาท และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย สถาบันฯ ได้จัดทำแผนการดำเนินงานปีงบประมาณ 2545 ในด้านวัตถุดิบ การพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร การออกแบบและการตลาด ในลักษณะเงินอุดหนุน ทั่วไป รวม 4 แผน โดยมิได้ซ้ำซ้อนกับแผนงานหรือหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการส่งออก ดังนี้
1) แผนงานด้านการพัฒนาวัตถุดิบและตรวจสอบคุณภาพ 10,030,000 บาท
2) แผนงานด้านพัฒนาเทคโนโลยีบุคลการและการออกแบบอัญมณีและ
เครื่องประดับ 7,100,000 บาท
3) แผนงานด้านการพัฒนาและขยายตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
10,650,000 บาท
4) งบประมาณด้านบริหารของสถาบันฯ 13,344,945.75 บาท
รวมเป็นเงิน 41,124,945.75 บาท
10. ความก้าวหน้านโยบายกองทุนหมู่บ้าน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความก้าวหน้านโยบายกองทุนหมู่บ้าน ตามที่
สำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินงานในระดับพื้นที่
1.1 มีจำนวนหมู่บ้านขอขึ้นทะเบียนกองทุนแล้ว จำนวน 68,223
หมู่บ้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 96 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
1.2 จำนวนกองทุนหมู่บ้านขอขึ้นทะเบียน ได้ผ่านการพิจารณาความพร้อมของคณะอนุกรรมการฯ ระดับอำเภอแล้ว จำนวน 65,223 กองทุน หรือร้อยละ 91 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
1.3 จำนวนกองทุนหมู่บ้านที่ขอขึ้นทะเบียนได้ผ่านการพิจารณาความพร้อมของคณะอนุกรรมการฯ ระดับจังหวัด จำนวน 61,064 กองทุน หรือร้อยละ 86 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
2. จำนวนกองทุนหมู่บ้านที่ได้รับการเห็นชอบได้จัดสรรและโอนเงินไปแล้ว มีจำนวนทั้งสิ้น 45,153 กองทุน หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ของหมู่บ้านเป้าหมาย โดยงวดที่ 1 จำนวน 9,293 กองทุน งวดที่ 2 จำนวน 19,188 กองทุน งวดที่ 3 จำนวน 16,672 กองทุน
3. จำนวนเงินที่กองทุนหมู่บ้านได้กระทำการจัดสรรให้แก่สมาชิก ปัจจุบันเป็นจำนวนเงิน 10,146 ล้านบาท
4. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ขณะนี้คือ กองทุนหมู่บ้านยังไม่สามารถดำเนินการจัดสรรเงินให้แก่สมาชิกได้มากเท่าที่ควร ทั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการกองทุน จึงทำให้ไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการ
ซึ่งจากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว สทบ. จะได้จัดให้มีโครงการเพิ่มศักยภาพคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคณะกรรมการกองทุน หมู่บ้านและชุมชนเมืองเกี่ยวกับการบริหารจัดการ โดยให้มีความรู้และสามารถในการวิเคราะห์สินเชื่อแก่สมาชิก การสร้างจิตสำนึกแก่สมาชิกให้มีวินัยทางการเงิน การจัดทำบัญชีกองทุนอย่างถูกต้อง ตลอดจนแนะนำอาชีพ และสร้างรายได้แก่สมาชิก
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้
1. เป้าหมายการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อสินค้าเกษตรที่ก่อให้เกิดราคาในอนาคต และเป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรในระยะยาว เป็นเรื่องใหม่และมีความสลับซับซ้อน ยากแก่การทำความเข้าใจ ประกอบกับมีรายละเอียดของกฎระเบียบค่อนข้างมาก รวมทั้งความสำเร็จของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าจะมีผลกระทบต่อการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (คณะกรรมการ ก.ส.ล.) ได้พิจารณารายละเอียดแผนงานและกิจกรรมต่าง ๆ โดยจัดลำดับความสำคัญของงานและระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว เห็นควรกำหนดเป้าหมายการจัดตั้งตลาดฯ และเปิดดำเนินการซื้อขายในเดือนตุลาคม 2545 หากการจัดตั้งประสบความสำเร็จและมีสภาพคล่องสูง จะสร้างประโยชน์อย่างทวีคูณให้เกิดแก่ระบบการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรไทย รวมถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวม
2. การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล.) มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่ปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ก.ส.ล. ซึ่งรวมถึงการดำเนินการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย และภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงได้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นการชั่วคราว
3. โครงสร้างองค์กร อัตรากำลังและระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารภายในสำนักงาน คณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้มีมติอนุมัติโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ในช่วงเริ่มจัดตั้งประกอบด้วยสำนักเลขาธิการ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายกำกับตลาดและธุรกิจ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา และฝ่ายบริหารทั่วไปและการพนักงาน โดยกำหนดอัตราเริ่มแรกสำหรับปี 2544 จำนวน 26 อัตรา (ไม่รวมเลขาธิการ แต่เนื่องจากมีปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ ดังนั้น ในทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงาน จึงได้มอบหมายให้ข้าราชการกรมการค้าภายในจำนวนหนึ่งช่วยปฏิบัติงานไปพลางก่อน) ซึ่งเน้นโครงสร้างและอัตรากำลังที่เล็ก กะทัดรัด แต่ให้มีความยืดหยุ่นในการปรับให้เหมาะสมกับลักษณะและปริมาณงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว นอกจากนี้ ได้เห็นชอบข้อบังคับเกี่ยวกับการพนักงาน รวมตลอดถึงอยู่ระหว่างการพิจารณาออกระเบียบต่าง ๆ เช่น ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงิน การเก็บรักษาเงินและการจ่ายเงิน ระเบียบว่าด้วยการพัสดุ และระเบียบว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นต้น
4. การจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อทำหน้าที่ในการศึกษาและแนะนำการวางระบบและโครงสร้างองค์กรต่าง ๆ ตามกฎหมาย ศึกษาและออกแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ยกร่างกฎระเบียบการซื้อขาย กำหนดคุณสมบัติและการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า และการเป็นสมาชิกตลาด ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการตรวจสอบและกำกับดูแล รวมตลอดถึงการจัดทำแผนการดำเนินงานของตลาดฯ ในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ ได้ลงนามในสัญญาจ้างเมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 และจะสิ้นสุดเมื่อตลาดเปิดดำเนินการซื้อขายไปแล้ว 6 เดือน โดยการดำเนินงานของบริษัทที่ปรึกษาจะเป็นลักษณะคู่ขนานไปกับการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้การจัดตั้งตลาดฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ตามเป้าหมาย
5. การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้า ในพระราชบัญญัติการซื้อขายตลาดล่วงหน้า พ.ศ. 2542 จะก่อให้เกิดธุรกิจใหม่และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการเป็นผู้ค้าล่วงหน้า นายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษา ซื้อขายล่วงหน้า ตัวแทนซื้อขายล่วงหน้า และผู้บริหารธุรกิจร่วมทุนซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งนับเป็นงานสำคัญเร่งด่วนประการหนึ่งที่จะต้องรีบเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้ต้องมีสมาชิกตลาดฯ ภายในวันที่ 11 เมษายน 2545 ซึ่งสมาชิกตลาดฯ จะมาจากผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ดังนั้น คณะกรรมการ ก.ส.ล. จึงได้พิจารณาหลักการของกรอบการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า และได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านบริหารรับไปพิจารณาในรายละเอียดก่อนเสนอให้คณะกรรมการ ก.ส.ล. พิจารณาอนุมัติให้ประกาศใช้โดยด่วนต่อไป
6. การแต่งตั้งคณะกรรมการตลาดและผู้จัดการตลาด คณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตลาดและผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย รวม 11 คน มีหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและบริหารตลาดฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ก่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ที่เข้ามาทำธุรกรรมการซื้อขายล่วงหน้า โดยจะมีภารกิจค่อนข้างมากนับตั้งแต่การกำหนดโครงสร้างองค์กร การพนักงาน การจัดหาสถานที่ตั้งตลาด การกำหนดสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการซื้อขาย การอนุญาตสมาชิกตลาด กฎ ระเบียบการซื้อขาย ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องดำเนินการทั้งหมด โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับคณะกรรมการ ก.ส.ล. และบริษัทที่ปรึกษา ที่กรมการค้าภายในจัดจ้างอย่างใกล้ชิด
7. ปัญหาและอุปสรรค
กระทรวงพาณิชย์ได้รับอนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนรวม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 600 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแล้วแต่ในทางปฏิบัติปรากฎว่า ไม่สามารถเบิกจ่ายหรือตัดโอนเงินจากกองทุนดังกล่าวไปให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ ต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ และเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป จำนวน 1,550 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2545-2549) เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. นำไปใช้จ่ายในการจัดตั้งตลาดฯ
8. แผนการดำเนินการต่อไปตามความสำคัญเร่งด่วนของงาน ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2545 เป็นต้นไป มีดังนี้คือ
1) การจัดหาสถานที่ตั้งถาวรของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล.
2) การจัดจ้างพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดฯ
3) การรับรองสถาบันฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
4) การศึกษา วิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายการแทรกแซงสินค้าเกษตรของรัฐบาลต่อตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เพื่อสรุปเสนอรัฐบาล
5) การขอสนับสนุนจากรัฐบาลในการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรบาง
ประการที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
6) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด
สินค้าเกษตรล่วงหน้าพร้อมกับการฝึกอบรมพนักงาน และผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า
7) การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
8) ทำการตลาด เพื่อเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้ามาประกอบธุรกิจการ
ซื้อขายล่วงหน้า
9) ออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่งเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
10) อญาตผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ค้าล่วงหน้าและนายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเป็นสมาชิกตลาดฯ
7. ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 8
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม ครั้งที่ 8 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม 2544 ซึ่งจะเป็นมาตรการและแนวทางในการดำเนินการตามเป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างรู้เท่าทัน และพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศที่ใช้ความรู้ความสามารถในประเทศมากขึ้น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ในการประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากกลุ่มสมาชิกเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปากัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ ไชนีส ไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนจากสำนักเลขาธิการเอเปค (APEC Secretariat) และผู้สังเกตการณ์จากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในคาบสมุทรแปซิฟิก (Pacific Economic Cooperation Council - PECC) และกลุ่มหมู่เกาะในแปซิฟิก (The Pacific Islands Forum - PIF) โดยการประชุมดังกล่าวได้จัดคู่ขนานกับการประชุมภาคธุรกิจเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนิทรรศการ (APEC SME Business Forum and Exhibition) ซึ่งที่ประชุมได้หารือภายใต้หัวข้อหลัก “ศตวรรษใหม่ ความท้าทายใหม่ : นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (New Century, New Challenges : Innovation and Environment for SME Development) ซึ่งมีมาตรการสำคัญในการนำเสนอ 3 ประเด็นคือ
1.1 การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Advancing Technological Innovation)
1.2 การอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน (Facilitating Financing)
1.3 การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Improving the Environment for SME Development)
2. จากการประชุมดังกล่าว มีข้อสังเกตจากการประชุมและสิ่งที่กระทรวง
อุตสาหกรรมจะดำเนินการ ดังนี้
2.1 การนำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในหัวข้อหลัก เรื่อง “การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา SME ” มีใจความตอนหนึ่งของรายงานสรุปผลการจัดประชุม APEC SME 2001 Conference on Strategic Alliances for Efficient Supply Chain Management ระหว่างวันที่ 1 — 3 สิงหาคม 2544 ซึ่งประเทศไทยได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้มีหน่วยประสานการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูล เพื่อสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานให้แก่ SMEs โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อเสนอของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และสิงคโปร์ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทำงานเอเปคด้าน SME พิจารณาหาแนวทางเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามข้อเสนอของประเทศไทยต่อไป
กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะดำเนินงานผลักดันการพัฒนาระบบ Supply Chain อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการส่งเสริมความรู้และสร้างความเข้าใจให้แก่ SMEs ไทย ตลอดจนประสานความร่วมมือกับภาคีสมาชิกเอเปค โดยเฉพาะกลุ่มภาคีที่ให้การสนับสนุนข้อเสนอของไทย เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคีต่อไป
2.2 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่อาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นหลัก โดยที่ความตื่นตัวของภาคีสมาชิกโดยเฉพาะที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ในเรื่องการสร้างความรู้และความเข้าใจในหมู่ SMEs เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการหาข้อมูลและทำธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางด้านการตลาดและต้นทุนการผลิต/การค้า ประกอบกับการที่จีนจะได้ร่วมเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง และเร่งรีบพัฒนาศักยภาพของ SEMs ไทยโดยเฉพาะในเรื่องการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจะคงความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกไว้
กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการเสริมสร้างความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทยเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ภายใต้โครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
2.3 การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาของ SMEs ไทย จากผลการประชุมชี้ให้เห็นว่า SMEs จำเป็นจะต้องมีการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและขยายโอกาสทางการตลาด นวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาจะเป็นฐานสนับสนุนให้ SMEs แข็งแกร่งและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นที่จะให้มีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ในการทำวิจัยและพัฒนาในลักษณะไตรภาคีคือ ภาครัฐ ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยในเบื้องต้นกระทรวงอุตสาหกรรมจะสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในสาขาที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องจักรและอุปกรณ์ อาทิ โลหะการ สิ่งทอ เป็นต้น
2.4 กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) จากการที่ภาคีสมาชิกได้นำเสนอรายงานมาตรการสนับสนุนเงินทุนแก่ SMEs ต่างระบุตรงกันถึง การใช้เงินทุนร่วมลงทุนเป็นกลไกสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
2.5 การดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการประชุมในคราวนี้คือ การผลักดันให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นในกิจการเอเปคด้าน SMEs ทั้งในด้านการร่วมกำหนดนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร และการมีส่วนร่วมในการประชุม
กระทรวงอุตสาหกรรม มีความเห็นสอดคล้องและพร้อมที่จะดำเนินการตามทิศทางของเอเปค และเห็นควรที่จะให้การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเกื้อหนุนให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมของเอเปค โดยรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์และความจริงใจของภาครัฐในการดำเนินงานร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิด
3. ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2546 และกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการจัดประชุมรัฐมนตรีและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดการประชุมสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น ในการนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นความจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการตามแนวทางเอเปคด้วยการสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมให้ผู้แทนของผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นไป
8. แผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ซึ่งประกอบด้วยสินค้า
เกษตรหลัก 12 ชนิด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. แผนยุทธศาสตร์รายสินค้า ประกอบด้วยสินค้าเกษตรหลัก 12 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง สับปะรด ลำไย ทุเรียน กาแฟโรบัสต้า กล้วยไม้ กุ้งกุลาดำ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลือง
2. แผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรในภาพรวม จำแนกเป็นรายพืช จำนวน 11 สินค้า และประมง จำนวน 1 สินค้า รวมทั้งสิ้น 12 สินค้า โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา 4 ด้าน ดังนี้ 1) แผนยุทธศาสตร์ด้านการผลิต 2) แผนยุทธศาสตร์ด้านการแปรรูป 3) แผนยุทธศาสตร์ด้านการตลาด 4) แผนยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ
ทั้งนี้ เนื่องจากภาคเกษตรเป็นแหล่งที่มาของเงินตราต่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องมาตลอด เป็นสาขาการผลิตที่มีการจ้างงานมากที่สุด เป็นฐานความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศเมื่อเกิดภาวะวิกฤติด้านอาหารและเป็นฐานการพัฒนาของภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์รวมด้านอาหารมีการขยายตัวอย่างมาก
นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรไทยมีศักยภาพสูงและสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต การแปรรูป และการตลาดทั้งภายในและตลาดส่งออก โดยประเทศไทยจะต้องเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของโลก และสามารถพัฒนาระบบการค้าและสร้างคุณภาพสินค้าเกษตรให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 5 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เป็นประธานกรรมการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการปรับแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (คกก. 5) และข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำกลับมาเสนอ คกก. 5 อีกครั้ง เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนจะส่งไปยังคณะกรรมการที่มีหน้าที่กำกับดูแลโดยตรงของแต่ละสินค้าเกษตร เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
สำหรับความเห็นของที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 มีดังนี้
1. การกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรหลักที่สำคัญ ๆ แม้จะมีคณะกรรมการเฉพาะของแต่ละสินค้าเกษตรดูแลรับผิดชอบอยู่ แต่เรื่องนโยบาย แผน ยุทธศาสตร์ และมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรใดที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการของแต่ละ สินค้าเกษตรแล้ว ก็ควรที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยผ่านกลไกของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี หากคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นควรให้ไปศึกษาเพิ่มเติมในบางประเด็นตามข้อคิดเห็นและข้อสังเกตต่าง ๆ ก็ให้คณะกรรมการฯ ของแต่ละสินค้าเกษตรไปดำเนินการต่อแล้ว นำกลับมาเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากเห็นชอบก็สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ซึ่งกระบวนการนี้จะสามารถสร้างความชัดเจนและเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรได้
2. แผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรหลัก ควรจะกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินงานที่ชัดเจน ส่วนมาตรการกำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจนั้น ก็ควรพิจารณาหามาตรการจูงใจเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์สามารถบังเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง
นอกจากนี้ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีข้อสังเกตว่า การกำหนดแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละสินค้านั้นจะต้องสามารถตอบคำถามตามประเด็นเหล่านี้ให้ได้ คือ
1) เกษตรกรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่
2) คุณภาพของผลผลิตผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องสาร
พิษตกค้าง
3) สินค้าสามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร
4) การจัดการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตและการตลาดระหว่างภาครัฐ
และภาคเอกชนจะทำได้อย่างไร
9. อนุมัติงบประมาณประจำปี 2545 สำหรับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณแก่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ผ่านกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ตามแผนงานและงบประมาณประจำปี 2545 ของสถาบันฯ เป็นเงิน 41,124,945.75 บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในการดำเนินงานปีงบประมาณ 2542-2543 สถาบันฯได้รับเงินอุดหนุนจากเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผ่านกรมส่งเสริมการส่งออก รวมเป็นเงิน 60 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2544 สถาบันฯ ได้รับอนุมัติการจัดสรรจากเงินงบประมาณ จำนวน 37 ล้านบาท และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย สถาบันฯ ได้จัดทำแผนการดำเนินงานปีงบประมาณ 2545 ในด้านวัตถุดิบ การพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร การออกแบบและการตลาด ในลักษณะเงินอุดหนุน ทั่วไป รวม 4 แผน โดยมิได้ซ้ำซ้อนกับแผนงานหรือหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการส่งออก ดังนี้
1) แผนงานด้านการพัฒนาวัตถุดิบและตรวจสอบคุณภาพ 10,030,000 บาท
2) แผนงานด้านพัฒนาเทคโนโลยีบุคลการและการออกแบบอัญมณีและ
เครื่องประดับ 7,100,000 บาท
3) แผนงานด้านการพัฒนาและขยายตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
10,650,000 บาท
4) งบประมาณด้านบริหารของสถาบันฯ 13,344,945.75 บาท
รวมเป็นเงิน 41,124,945.75 บาท
10. ความก้าวหน้านโยบายกองทุนหมู่บ้าน
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความก้าวหน้านโยบายกองทุนหมู่บ้าน ตามที่
สำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินงานในระดับพื้นที่
1.1 มีจำนวนหมู่บ้านขอขึ้นทะเบียนกองทุนแล้ว จำนวน 68,223
หมู่บ้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 96 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
1.2 จำนวนกองทุนหมู่บ้านขอขึ้นทะเบียน ได้ผ่านการพิจารณาความพร้อมของคณะอนุกรรมการฯ ระดับอำเภอแล้ว จำนวน 65,223 กองทุน หรือร้อยละ 91 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
1.3 จำนวนกองทุนหมู่บ้านที่ขอขึ้นทะเบียนได้ผ่านการพิจารณาความพร้อมของคณะอนุกรรมการฯ ระดับจังหวัด จำนวน 61,064 กองทุน หรือร้อยละ 86 ของหมู่บ้านเป้าหมาย
2. จำนวนกองทุนหมู่บ้านที่ได้รับการเห็นชอบได้จัดสรรและโอนเงินไปแล้ว มีจำนวนทั้งสิ้น 45,153 กองทุน หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ของหมู่บ้านเป้าหมาย โดยงวดที่ 1 จำนวน 9,293 กองทุน งวดที่ 2 จำนวน 19,188 กองทุน งวดที่ 3 จำนวน 16,672 กองทุน
3. จำนวนเงินที่กองทุนหมู่บ้านได้กระทำการจัดสรรให้แก่สมาชิก ปัจจุบันเป็นจำนวนเงิน 10,146 ล้านบาท
4. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ขณะนี้คือ กองทุนหมู่บ้านยังไม่สามารถดำเนินการจัดสรรเงินให้แก่สมาชิกได้มากเท่าที่ควร ทั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการกองทุน จึงทำให้ไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการ
ซึ่งจากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว สทบ. จะได้จัดให้มีโครงการเพิ่มศักยภาพคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคณะกรรมการกองทุน หมู่บ้านและชุมชนเมืองเกี่ยวกับการบริหารจัดการ โดยให้มีความรู้และสามารถในการวิเคราะห์สินเชื่อแก่สมาชิก การสร้างจิตสำนึกแก่สมาชิกให้มีวินัยทางการเงิน การจัดทำบัญชีกองทุนอย่างถูกต้อง ตลอดจนแนะนำอาชีพ และสร้างรายได้แก่สมาชิก
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-