สหรัฐอเมริกา
ในเดือนพฤษภาคม 2544 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวทั้งในด้านการผลิตและการบริโภค โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวต่อไปในระยะอันใกล้ได้แก่ (1) การปลดพนักงานของบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและการใช้จ่ายของประชาชน (2) ความผันผวนของตลาดหุ้นซึ่งได้รับผลกระทบ ในทางลบจากที่บริษัทต่างๆ ประกาศปรับลดการ คาดการณ์ผลกำไรในไตรมาส 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มโทรคมนาคม และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (3) การชะลอตัวของเศรษฐกิจในทวีปยุโรปและเอเซีย และ (4) ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ดัชนีสำคัญส่วนใหญ่ชะลอตัวช้าลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ภาคการผลิตก็ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม Industrial Production ลดลงร้อยละ 0.8 จากเดือนก่อน (ลดลงเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน) เช่นเดียวกับ Capacity Utilization ที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 77.4 เทียบกับ 78.2 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2526 อีกทั้งภาคการผลิตมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เมื่อพิจารณาจากยอดการสั่งซื้อสินค้า (Factory Order) ในเดือนเมษายน ที่ลดลงร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อนหน้า ดังนั้น จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน (FOMC) ครั้งถัดไปในวันที่ 26-27 มิถุนายน 2544
ยุโรป
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรในไตรมาสแรกปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 0.5 (qoq) และร้อยละ 2.5 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 0.6 (qoq) และร้อยละ 2.9 ต่อปีใน ไตรมาส 4 ปี 2543 ทั้งนี้ ภาคส่งออกขยายตัวเพียง ร้อยละ 0.1 (qoq) เทียบกับร้อยละ 3.0 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ส่วนการลงทุนลดลงร้อยละ 0.9 (qoq) เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) เทียบกับร้อยละ 0.2 (qoq) ในไตรมาสที่ 4สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.0-2.5 ต่อปีจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวลงและการลงทุนที่ลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ต่อปีในเดือนพฤษภาคมเทียบกับร้อยละ 2.9 ต่อปีในเดือนเมษายน นับเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกันที่สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 2ของทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก (core CPI) ในเดือนพฤษภาคมสูงขึ้นร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 1.9 ต่อปีในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ตลาดคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมน่าจะอยู่ที่ระดับสูงที่สุดแล้วเนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัว ลดลง
ECB คงอัตราดอกเบี้ยทางการไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะไม่มีการปรับลด
เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของญี่ปุ่นหดตัวกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดย GDP ลดลงร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนภาคเอกชน ที่ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสที่ 4 เนื่องจากการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การบริโภคของภาคเอกชนทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไร ก็ตาม การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการใช้จ่ายตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสริม แต่คาดว่าผลของการ ใช้จ่ายดังกล่าวอาจสิ้นสุดในไตรมาสนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผนวกกับการสะสมสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น ภาวะตลาดแรงงาน ยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนปรับตัวลดลง
ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการ แก้ปัญหาหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงิน นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังมีการคาดการณ์ผลประกอบการที่ลดลงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ธนาคารกลางจีนยอมรับว่าการส่งออกที่ชะลอตัวและค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน แต่นักวิเคราะห์เห็นว่าการลดค่าเงินหยวนคงจะไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่จีนยังมีดุลการชำระเงิน (balance of payments) ที่เข้มแข็งอยู่ นอกจากนี้ นาย Dai Genyou ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนกล่าวว่า จีนจะคงเสถียรภาพค่าเงินหยวนไว้แม้ว่าจะ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 หนังสือพิมพ์ Economic Daily ของทางการจีนรายงานว่า จีนจะปกป้องค่าเงินหยวนและรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินให้มีเสถียรภาพ (basic stability) เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2543-2548เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2544 ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ของสหรัฐฯ ได้ขอให้สภาคองเกรสต่ออายุสถานะความสัมพันธ์ทางการค้าเเบบปกติ (Normal Trade Relations: NTR) ซึ่งเป็นการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่จีนต่ออีก 1 ปีในวันที่ 1 มิถุนายน ศกนี้ โดยให้เหตุผลว่าการเปิดเสรีการค้าจะเป็นเเรงผลักดันให้เกิดเสรีภาพในจีน ความมั่นคงในเอเชีย และความมั่นคงเเก่สหรัฐฯทั้งนี้ สภาคองเกรสได้อนุมัติให้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติเเบบถาวร (Permanent Normal Trade Relations: PNTR) เเก่จีนไปเมื่อปีที่เเล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องพิจารณาอนุมัติเป็นรายปีอย่างที่ผ่านมา แต่สถานะ PNTR ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อจีน ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แล้ว เท่านั้น สหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องพิจารณาต่ออายุสิทธิทางการค้าให้จีนต่อไปอีก 1 ปีก่อน
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2544 หนังสือพิมพ์ของทางการจีน China Securities รายงานว่าทางการจีนมีแผนการที่จะปล่อยเสรีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินภายใน 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและข้อกำหนดของ WTO ธนาคารกลางจีนจะเปิดเสรีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เงินตราต่างประเทศมากขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยจะให้สมาคมธนาคารในจีน (China Association of Banks) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ ปีที่แล้วเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการอนุญาตให้สหกรณ์สินเชื่อชนบท (Rural Credit Co-operatives) ขยายช่วงความแตกต่าง (band) ของอัตราดอกเบี้ยเงินหยวนจากอัตราที่ทางการกำหนดได้ สำหรับการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยในสถาบันการเงินในเมืองจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2545 โดยธนาคารพาณิชย์จะได้รับอนุญาตให้ขยายช่วงความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งจะปล่อยให้มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในที่สุดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2544 ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ประเภทข้ามคืน (base rate) ลงร้อยละ 0.5 จากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 5.5 (ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับจากต้นปี) ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Fund ของสหรัฐฯ ที่ลดลงร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 4.0 และลดอัตราดอกเบี้ย discount rate ลงร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3.5 ทั้งนี้ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกค่ากับเงินดอลลาร์สรอ. ภายใต้ระบบ currency board หลังจากนั้น สมาคมธนาคาร ฮ่องกง (HKAB) และธนาคารพาณิชย์ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ยืมลงเช่นกันทางการฮ่องกงรายงานว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงในไตรมาสแรกปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) และขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) พร้อมทั้งได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 จากเดิมร้อยละ 6.8 (yoy) เป็นร้อยละ 6.9 (yoy)ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของฮ่องกงชะลอตัวลงมาก ได้แก่ การชะลอลงของการส่งออกสินค้าตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อัตราการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมกันนี้ ทางการฮ่องกงได้ปรับลด คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ จากร้อยละ 4.0 เป็นร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.5 และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ติดลบร้อยละ 1.0
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานตามการปรับอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย discount rate และ accommodation with collateral rate (อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางไต้หวันให้กู้แก่ธนาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยกู้แก่ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริมโดยมีหลักทรัพย์ ค้ำประกัน) ลงอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.75 และ 4.125 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ธนาคารกลางไต้หวันได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 5 ครั้ง รวมเป็นร้อยละ 0.875 ในปีนี้ เศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ของไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.06 (yoy) ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 26 ปีและต่ำกว่าที่ทางการคาดไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 4.02 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและการส่งออกของไต้หวันที่ชะลอตัวลงอย่างมาก ตลาดหลักทรัพย์ที่ตกต่ำลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ในประเทศซบเซาลงเศรษฐกิจเกาหลีใต้ไตรมาสแรก ปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) ปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยหดตัวร้อยละ 0.4 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 และขยายตัวร้อยละ 3.7 (yoy) โดยมีปัจจัยหลักเนื่องจากการส่งออก สินค้าและบริการที่ขยายตัวร้อยละ 8.4 (yoy) โดยเฉพาะ ในสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนโทรคมนาคม อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการ ลงทุนยังคงชะลอตัว ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544ธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับลดอัตราคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้ลงจากร้อยละ 5.3 เป็นร้อยละ 3.8อาเซียน
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของทางการลงอีกร้อยละ 0.5 ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 9.5 และ 11.75 เป็นร้อยละ 9.0 และ 11.25 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป ทั้งนี้ นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้ง รวมร้อยละ 4.5 นับตั้งแต่ต้นปี GDP ไตรมาสเเรกปี 2544 ของมาเลเซียลดลงร้อยละ 3.9 (qoq) แต่ขยายตัวร้อยละ 3.2 (yoy) เป็นผลมาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่อุปสงค์จาก ต่างประเทศค่อนข้างซบเซา โดยการที่มาเลเซียมีฐาน อุตสาหกรรมที่หลากหลายได้ช่วยลดผลกระทบจากภาวะชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการ ส่งออกที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ทางการมาเลเซียยังคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งปีไว้ที่ร้อยละ 5-6 (Reuters poll ล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 คาดไว้ที่ร้อยละ 3.6)อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อในเดือนมีนาคมสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 1 ปีครึ่ง และคาดว่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อของระบบธนาคารตามเกณฑ์ 6 เดือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.1 เทียบกับอัตราร้อยละ 6.3 ณ สิ้นปี 2543 และสูงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2542 ที่ร้อยละ 7.4 (ตามเกณฑ์ 3 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 10.6 เทียบกับร้อยละ 9.6 ณ สิ้นปี 2543) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองหนี้สูญมากขึ้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของมาเลเซีย นาย Daim Zainuddin ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป โดยนายกรัฐมนตรี Mahathir รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ Minister of Special Functions แทนนาย Daim Zainuddin ที่ลาออกไป เศรษฐกิจไตรมาสแรกของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 2.6 (qoq) และร้อยละ 4.01 (yoy) เนื่องจากการขยายตัวในภาคเกษตรกรรมเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคอื่นๆ ชะลอตัวลงอย่างมากทางการอินโดนีเซียคาดการณ์อัตราการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ร้อยละ 3.5 และร้อยละ 4.5 - 5.5 ในปีหน้า ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์ การเมืองของอินโดนีเซียน่าจะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ ดีขึ้นในช่วงปลายปี
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2544 Standard & Poor ’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ long-term foreign currency ของอินโดนีเซียมาอยู่ที่ระดับ CCC+ จากเดิมที่ระดับ B- และได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ long-term local currency มาอยู่ที่ระดับ B- จากเดิมที่ระดับ B ขณะที่ยังคงระดับ short-term sovereign credit และ senior unsecured debt ไว้ที่ระดับ C เช่นเดิม โดย S&P ได้ให้เหตุผลของการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือคือ (1) อินโดนีเซียไม่ได้ดำเนินการ จัดทำงบประมาณอย่างเหมาะสม ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ความอ่อนแอของสถาบัน การเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาความรุนแรงในการแบ่งแยกดินแดน (2) ปัญหาหนี้สาธารณะจำนวนมาก (3) ความไม่แน่นอนในการจัดทำงบประมาณเนื่องจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก และความ ไม่ต่อเนื่องของนโยบายของรัฐบาลทำให้เจ้าหนี้ระงับเงิน ให้กู้แก่อินโดนีเซีย ส่วน outlook ของอินโดนีเซียยังคงเป็น negative เช่นเดิมซึ่งสะท้อนถึงการขาดความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาลซึ่งยังคงมีอยู่จนกว่าจะสามารถแก้ปัญหาการลงมติถอดถอนประธานาธิบดีวาฮิด นอกจากนี้ S&P ยังไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการ แก้ปัญหาด้านการคลังและการจัดการปัญหาหนี้ ต่างประเทศให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
เศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสแรกปีนี้หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 11.3 (qoq) แต่ขยายตัว ร้อยละ 4.5 (yoy) โดยเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุด ในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ นาย Tan Kong Yan หัวหน้า นักเศรษฐศาสตร์ของ Ministry of Trade and Industry ของสิงคโปร์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์ใน ไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะ technical recession ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ได้หดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี ทางการสิงคโปร์ยังคง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของทั้งปี 2544 นี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 - 5.5 ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ยืนยันถึงการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่จะให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อยๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อยตามที่ได้แถลงไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และกล่าวเพิ่มเติมว่า หากกระแสการควบรวมกิจการระหว่างประเทศจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ให้อ่อนลงมาก MAS ก็จะออกมาแทรกแซงค่าเงินในตลาดอีกตามความจำเป็น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ในเดือนพฤษภาคม 2544 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวทั้งในด้านการผลิตและการบริโภค โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวต่อไปในระยะอันใกล้ได้แก่ (1) การปลดพนักงานของบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและการใช้จ่ายของประชาชน (2) ความผันผวนของตลาดหุ้นซึ่งได้รับผลกระทบ ในทางลบจากที่บริษัทต่างๆ ประกาศปรับลดการ คาดการณ์ผลกำไรในไตรมาส 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มโทรคมนาคม และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (3) การชะลอตัวของเศรษฐกิจในทวีปยุโรปและเอเซีย และ (4) ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ดัชนีสำคัญส่วนใหญ่ชะลอตัวช้าลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ภาคการผลิตก็ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม Industrial Production ลดลงร้อยละ 0.8 จากเดือนก่อน (ลดลงเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน) เช่นเดียวกับ Capacity Utilization ที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 77.4 เทียบกับ 78.2 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2526 อีกทั้งภาคการผลิตมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เมื่อพิจารณาจากยอดการสั่งซื้อสินค้า (Factory Order) ในเดือนเมษายน ที่ลดลงร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อนหน้า ดังนั้น จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน (FOMC) ครั้งถัดไปในวันที่ 26-27 มิถุนายน 2544
ยุโรป
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรในไตรมาสแรกปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 0.5 (qoq) และร้อยละ 2.5 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 0.6 (qoq) และร้อยละ 2.9 ต่อปีใน ไตรมาส 4 ปี 2543 ทั้งนี้ ภาคส่งออกขยายตัวเพียง ร้อยละ 0.1 (qoq) เทียบกับร้อยละ 3.0 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ส่วนการลงทุนลดลงร้อยละ 0.9 (qoq) เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) เทียบกับร้อยละ 0.2 (qoq) ในไตรมาสที่ 4สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.0-2.5 ต่อปีจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวลงและการลงทุนที่ลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ต่อปีในเดือนพฤษภาคมเทียบกับร้อยละ 2.9 ต่อปีในเดือนเมษายน นับเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกันที่สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 2ของทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก (core CPI) ในเดือนพฤษภาคมสูงขึ้นร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 1.9 ต่อปีในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ตลาดคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมน่าจะอยู่ที่ระดับสูงที่สุดแล้วเนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัว ลดลง
ECB คงอัตราดอกเบี้ยทางการไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะไม่มีการปรับลด
เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของญี่ปุ่นหดตัวกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดย GDP ลดลงร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนภาคเอกชน ที่ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสที่ 4 เนื่องจากการชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การบริโภคของภาคเอกชนทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไร ก็ตาม การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการใช้จ่ายตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสริม แต่คาดว่าผลของการ ใช้จ่ายดังกล่าวอาจสิ้นสุดในไตรมาสนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผนวกกับการสะสมสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น ภาวะตลาดแรงงาน ยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนปรับตัวลดลง
ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการ แก้ปัญหาหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงิน นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังมีการคาดการณ์ผลประกอบการที่ลดลงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ธนาคารกลางจีนยอมรับว่าการส่งออกที่ชะลอตัวและค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน แต่นักวิเคราะห์เห็นว่าการลดค่าเงินหยวนคงจะไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่จีนยังมีดุลการชำระเงิน (balance of payments) ที่เข้มแข็งอยู่ นอกจากนี้ นาย Dai Genyou ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนกล่าวว่า จีนจะคงเสถียรภาพค่าเงินหยวนไว้แม้ว่าจะ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2544 หนังสือพิมพ์ Economic Daily ของทางการจีนรายงานว่า จีนจะปกป้องค่าเงินหยวนและรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินให้มีเสถียรภาพ (basic stability) เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2543-2548เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2544 ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ของสหรัฐฯ ได้ขอให้สภาคองเกรสต่ออายุสถานะความสัมพันธ์ทางการค้าเเบบปกติ (Normal Trade Relations: NTR) ซึ่งเป็นการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่จีนต่ออีก 1 ปีในวันที่ 1 มิถุนายน ศกนี้ โดยให้เหตุผลว่าการเปิดเสรีการค้าจะเป็นเเรงผลักดันให้เกิดเสรีภาพในจีน ความมั่นคงในเอเชีย และความมั่นคงเเก่สหรัฐฯทั้งนี้ สภาคองเกรสได้อนุมัติให้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติเเบบถาวร (Permanent Normal Trade Relations: PNTR) เเก่จีนไปเมื่อปีที่เเล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องพิจารณาอนุมัติเป็นรายปีอย่างที่ผ่านมา แต่สถานะ PNTR ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อจีน ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แล้ว เท่านั้น สหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องพิจารณาต่ออายุสิทธิทางการค้าให้จีนต่อไปอีก 1 ปีก่อน
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2544 หนังสือพิมพ์ของทางการจีน China Securities รายงานว่าทางการจีนมีแผนการที่จะปล่อยเสรีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินภายใน 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและข้อกำหนดของ WTO ธนาคารกลางจีนจะเปิดเสรีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เงินตราต่างประเทศมากขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยจะให้สมาคมธนาคารในจีน (China Association of Banks) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ ปีที่แล้วเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการอนุญาตให้สหกรณ์สินเชื่อชนบท (Rural Credit Co-operatives) ขยายช่วงความแตกต่าง (band) ของอัตราดอกเบี้ยเงินหยวนจากอัตราที่ทางการกำหนดได้ สำหรับการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยในสถาบันการเงินในเมืองจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2545 โดยธนาคารพาณิชย์จะได้รับอนุญาตให้ขยายช่วงความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งจะปล่อยให้มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในที่สุดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2544 ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ประเภทข้ามคืน (base rate) ลงร้อยละ 0.5 จากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 5.5 (ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับจากต้นปี) ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Fund ของสหรัฐฯ ที่ลดลงร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 4.0 และลดอัตราดอกเบี้ย discount rate ลงร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3.5 ทั้งนี้ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกค่ากับเงินดอลลาร์สรอ. ภายใต้ระบบ currency board หลังจากนั้น สมาคมธนาคาร ฮ่องกง (HKAB) และธนาคารพาณิชย์ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ยืมลงเช่นกันทางการฮ่องกงรายงานว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงในไตรมาสแรกปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 2.5 (yoy) และขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) พร้อมทั้งได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 จากเดิมร้อยละ 6.8 (yoy) เป็นร้อยละ 6.9 (yoy)ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของฮ่องกงชะลอตัวลงมาก ได้แก่ การชะลอลงของการส่งออกสินค้าตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อัตราการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมกันนี้ ทางการฮ่องกงได้ปรับลด คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ จากร้อยละ 4.0 เป็นร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.5 และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ติดลบร้อยละ 1.0
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานตามการปรับอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย discount rate และ accommodation with collateral rate (อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางไต้หวันให้กู้แก่ธนาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยกู้แก่ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริมโดยมีหลักทรัพย์ ค้ำประกัน) ลงอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.75 และ 4.125 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ธนาคารกลางไต้หวันได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 5 ครั้ง รวมเป็นร้อยละ 0.875 ในปีนี้ เศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ของไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.06 (yoy) ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 26 ปีและต่ำกว่าที่ทางการคาดไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 4.02 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและการส่งออกของไต้หวันที่ชะลอตัวลงอย่างมาก ตลาดหลักทรัพย์ที่ตกต่ำลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ในประเทศซบเซาลงเศรษฐกิจเกาหลีใต้ไตรมาสแรก ปี 2544 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (qoq) ปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยหดตัวร้อยละ 0.4 (qoq) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 และขยายตัวร้อยละ 3.7 (yoy) โดยมีปัจจัยหลักเนื่องจากการส่งออก สินค้าและบริการที่ขยายตัวร้อยละ 8.4 (yoy) โดยเฉพาะ ในสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนโทรคมนาคม อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการ ลงทุนยังคงชะลอตัว ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2544ธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับลดอัตราคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้ลงจากร้อยละ 5.3 เป็นร้อยละ 3.8อาเซียน
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของทางการลงอีกร้อยละ 0.5 ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 9.5 และ 11.75 เป็นร้อยละ 9.0 และ 11.25 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป ทั้งนี้ นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้ง รวมร้อยละ 4.5 นับตั้งแต่ต้นปี GDP ไตรมาสเเรกปี 2544 ของมาเลเซียลดลงร้อยละ 3.9 (qoq) แต่ขยายตัวร้อยละ 3.2 (yoy) เป็นผลมาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่อุปสงค์จาก ต่างประเทศค่อนข้างซบเซา โดยการที่มาเลเซียมีฐาน อุตสาหกรรมที่หลากหลายได้ช่วยลดผลกระทบจากภาวะชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการ ส่งออกที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ทางการมาเลเซียยังคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งปีไว้ที่ร้อยละ 5-6 (Reuters poll ล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 คาดไว้ที่ร้อยละ 3.6)อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อในเดือนมีนาคมสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 1 ปีครึ่ง และคาดว่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อของระบบธนาคารตามเกณฑ์ 6 เดือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.1 เทียบกับอัตราร้อยละ 6.3 ณ สิ้นปี 2543 และสูงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2542 ที่ร้อยละ 7.4 (ตามเกณฑ์ 3 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 10.6 เทียบกับร้อยละ 9.6 ณ สิ้นปี 2543) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองหนี้สูญมากขึ้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของมาเลเซีย นาย Daim Zainuddin ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป โดยนายกรัฐมนตรี Mahathir รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ Minister of Special Functions แทนนาย Daim Zainuddin ที่ลาออกไป เศรษฐกิจไตรมาสแรกของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 2.6 (qoq) และร้อยละ 4.01 (yoy) เนื่องจากการขยายตัวในภาคเกษตรกรรมเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคอื่นๆ ชะลอตัวลงอย่างมากทางการอินโดนีเซียคาดการณ์อัตราการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ร้อยละ 3.5 และร้อยละ 4.5 - 5.5 ในปีหน้า ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์ การเมืองของอินโดนีเซียน่าจะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ ดีขึ้นในช่วงปลายปี
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2544 Standard & Poor ’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ long-term foreign currency ของอินโดนีเซียมาอยู่ที่ระดับ CCC+ จากเดิมที่ระดับ B- และได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ long-term local currency มาอยู่ที่ระดับ B- จากเดิมที่ระดับ B ขณะที่ยังคงระดับ short-term sovereign credit และ senior unsecured debt ไว้ที่ระดับ C เช่นเดิม โดย S&P ได้ให้เหตุผลของการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือคือ (1) อินโดนีเซียไม่ได้ดำเนินการ จัดทำงบประมาณอย่างเหมาะสม ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ความอ่อนแอของสถาบัน การเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาความรุนแรงในการแบ่งแยกดินแดน (2) ปัญหาหนี้สาธารณะจำนวนมาก (3) ความไม่แน่นอนในการจัดทำงบประมาณเนื่องจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก และความ ไม่ต่อเนื่องของนโยบายของรัฐบาลทำให้เจ้าหนี้ระงับเงิน ให้กู้แก่อินโดนีเซีย ส่วน outlook ของอินโดนีเซียยังคงเป็น negative เช่นเดิมซึ่งสะท้อนถึงการขาดความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาลซึ่งยังคงมีอยู่จนกว่าจะสามารถแก้ปัญหาการลงมติถอดถอนประธานาธิบดีวาฮิด นอกจากนี้ S&P ยังไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการ แก้ปัญหาด้านการคลังและการจัดการปัญหาหนี้ ต่างประเทศให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
เศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสแรกปีนี้หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 11.3 (qoq) แต่ขยายตัว ร้อยละ 4.5 (yoy) โดยเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุด ในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ นาย Tan Kong Yan หัวหน้า นักเศรษฐศาสตร์ของ Ministry of Trade and Industry ของสิงคโปร์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์ใน ไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะ technical recession ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ได้หดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี ทางการสิงคโปร์ยังคง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของทั้งปี 2544 นี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 - 5.5 ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ยืนยันถึงการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่จะให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อยๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อยตามที่ได้แถลงไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และกล่าวเพิ่มเติมว่า หากกระแสการควบรวมกิจการระหว่างประเทศจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ให้อ่อนลงมาก MAS ก็จะออกมาแทรกแซงค่าเงินในตลาดอีกตามความจำเป็น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-