สรุปภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเบื้องต้นเดือนกุมภาพันธ์ เศรษฐกิจโดยรวมแสดงแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่อง ทั้งภาค การผลิตการลงทุนและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ภาคการเงินสภาพคล่องสูงขึ้นจากเดือนก่อนส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นตามเงินฝากธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภาครัฐบาล ยังคงขาดดุลเงินสดต่อเนื่อง สำหรับภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่องมา 2 เดือน ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 22 เดือน อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ รายละเอียด มีดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากระยะ เดียวกันปีก่อน การผลิตส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาตลาด ในประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออกขยายตัวเพียงเล็กน้อย สินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ค่อนข้างดี มีอาทิ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานอัญมณีและเครื่องประดับปี 2001 ที่ยุโรป และหมวดอาหารที่เพิ่มขึ้นตามการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งซึ่งได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โรควัวบ้าในสหภาพยุโรป สินค้า ที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามการส่งออก แผงวงจรไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ สำหรับ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจในรายได้จึงยังไม่เร่งการใช้จ่าย ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ค่อนข้าง ทรงตัว โดยพิจารณาจากการขยายตัวของปริมาณจำหน่าย รถยนต์พาณิชย์ ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุนหดตัวลงเล็กน้อย ส่วนการลงทุนด้านการก่อสร้างยังคงซบเซา แม้ปริมาณ การจำหน่ายปูนซิเมนต์ในประเทศจะขยายตัวเล็กน้อย เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเนื่องจากภัยน้ำท่วมเมื่อปลายปีก่อนซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยระยะสั้น
3. ดุลเงินสดรัฐบาล ขาดดุล 12.6 พันล้านบาทสูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่ขาดดุล 6.2 พันล้านบาทในช่วง เดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง ทำให้เงินคงคลังลดลง 17.3 พันล้านบาท เหลือ 31.4 พันล้านบาท ด้านการจัดเก็บรายได้ภาษีอากรลดลงร้อยละ 13.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ภาษีที่ลดลงมาก คือ ภาษี เงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นผลจากฐานตัวเลขปีก่อนสูงเพราะ มีการเลื่อนนำส่งภาษีกลางปีที่จะต้องนำส่งในเดือนสิงหาคม 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ส่วนภาษีที่มีฐาน การจัดเก็บจากการบริโภคลดลงมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจาก เทศกาลตรุษจีนที่เลื่อนไปเดือนมกราคม และสอดคล้องกับการลดลงของภาษีสรรพสามิตจากการนำเข้า สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีอากรสูงขึ้นมาก เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งได้มีการนำส่งรายได้คงค้างที่จะต้องนำส่งในปีงบประมาณ 2543 มาส่งในปีงบประมาณ 2544 ด้านรายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยรายจ่ายในงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 จากระยะ เดียวกันปีก่อน สำหรับรายจ่ายนอกงบประมาณที่สำคัญ คือ รายจ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 3.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายเพิ่มทุนแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) จำนวน 2 และ 1.5 พันล้านบาท ตามลำดับ
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.1 โดยราคาหมวดไข่และ ผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นมากที่สุด(ร้อยละ 0.9) เนื่องจากเกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงไก่ ประกอบกับสภาพอากาศร้อนทำให้ผลผลิตลดลง รองลงมาได้แก่ หมวดผักและผลไม้ (ร้อยละ 0.3) ตามปริมาณผักบางชนิดที่ลดลง ส่วนราคาหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 โดยราคา หมวดเคหสถานเพิ่มขึ้นมากที่สุด (ร้อยละ 1.5) เนื่องจากค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาเชื้อเพลิง รองลงมาได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร (ร้อยละ 0.7) เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน สำเร็จรูปของสิงคโปร์ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน ดัชนีราคาผู้ผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาทุกหมวด โดยหมวดผลผลิตเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หมวดผลิตภัณฑ์แร่และเชื้อเพลิงร้อยละ 2.4 และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมร้อยละ 0.1
5. ภาคต่างประเทศ มูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 10.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งเป็นการลดลง ครั้งแรกในรอบ 22 เดือนตามการส่งออกที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกยังคงลดลงร้อยละ 3.7 ทำให้ ดุลการค้าเกินดุล 218 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับ ดุลบริการและบริจาคที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดจึงเกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็น 798 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 อยู่ ณ ระดับ 33.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงิน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.55 ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.17 ต่อปี ส่วนอัตรา
ดอกเบี้ยระบบธนาคารส่วนใหญ่ปรับลดลงทั้งอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืม ซึ่งลดลงร้อยละ 0.5 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและอัตรา ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.50 และ 7.375 ต่อปี ตามลำดับ สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยน คงที่) ลดลงร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อบวกกลับหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้แก่ AMCs ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อปี ด้านเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 5.8 ต่อปี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ทำให้ปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ต่อปี
7. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 42.64 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งขึ้นร้อยละ 1.13 จากเดือนก่อน โดย ได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้น และแนวนโยบาย ของรัฐบาลใหม่เริ่มชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาท ได้อ่อนลงในเดือนมีนาคมตามค่าเงินเยนและค่าเงินในภูมิภาค โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคารอ่อนลงไปถึง 44.37 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม แล้วปรับตัวดีขึ้นบ้าง ในช่วงปลายเดือน เนื่องจากสภาพคล่องเงินบาทในตลาด offshore ตึงตัวขึ้นมาก โดยล่าสุด ณ วันที่ 29 มีนาคม อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
--นาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ข้อมูลเบื้องต้นเดือนกุมภาพันธ์ เศรษฐกิจโดยรวมแสดงแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่อง ทั้งภาค การผลิตการลงทุนและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ภาคการเงินสภาพคล่องสูงขึ้นจากเดือนก่อนส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นตามเงินฝากธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ภาครัฐบาล ยังคงขาดดุลเงินสดต่อเนื่อง สำหรับภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่องมา 2 เดือน ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 22 เดือน อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ รายละเอียด มีดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากระยะ เดียวกันปีก่อน การผลิตส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาตลาด ในประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออกขยายตัวเพียงเล็กน้อย สินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ค่อนข้างดี มีอาทิ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานอัญมณีและเครื่องประดับปี 2001 ที่ยุโรป และหมวดอาหารที่เพิ่มขึ้นตามการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งซึ่งได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โรควัวบ้าในสหภาพยุโรป สินค้า ที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามการส่งออก แผงวงจรไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ สำหรับ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจในรายได้จึงยังไม่เร่งการใช้จ่าย ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ค่อนข้าง ทรงตัว โดยพิจารณาจากการขยายตัวของปริมาณจำหน่าย รถยนต์พาณิชย์ ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุนหดตัวลงเล็กน้อย ส่วนการลงทุนด้านการก่อสร้างยังคงซบเซา แม้ปริมาณ การจำหน่ายปูนซิเมนต์ในประเทศจะขยายตัวเล็กน้อย เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเนื่องจากภัยน้ำท่วมเมื่อปลายปีก่อนซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยระยะสั้น
3. ดุลเงินสดรัฐบาล ขาดดุล 12.6 พันล้านบาทสูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่ขาดดุล 6.2 พันล้านบาทในช่วง เดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง ทำให้เงินคงคลังลดลง 17.3 พันล้านบาท เหลือ 31.4 พันล้านบาท ด้านการจัดเก็บรายได้ภาษีอากรลดลงร้อยละ 13.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ภาษีที่ลดลงมาก คือ ภาษี เงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นผลจากฐานตัวเลขปีก่อนสูงเพราะ มีการเลื่อนนำส่งภาษีกลางปีที่จะต้องนำส่งในเดือนสิงหาคม 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ส่วนภาษีที่มีฐาน การจัดเก็บจากการบริโภคลดลงมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจาก เทศกาลตรุษจีนที่เลื่อนไปเดือนมกราคม และสอดคล้องกับการลดลงของภาษีสรรพสามิตจากการนำเข้า สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีอากรสูงขึ้นมาก เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งได้มีการนำส่งรายได้คงค้างที่จะต้องนำส่งในปีงบประมาณ 2543 มาส่งในปีงบประมาณ 2544 ด้านรายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยรายจ่ายในงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 จากระยะ เดียวกันปีก่อน สำหรับรายจ่ายนอกงบประมาณที่สำคัญ คือ รายจ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 3.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายเพิ่มทุนแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) จำนวน 2 และ 1.5 พันล้านบาท ตามลำดับ
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.1 โดยราคาหมวดไข่และ ผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นมากที่สุด(ร้อยละ 0.9) เนื่องจากเกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงไก่ ประกอบกับสภาพอากาศร้อนทำให้ผลผลิตลดลง รองลงมาได้แก่ หมวดผักและผลไม้ (ร้อยละ 0.3) ตามปริมาณผักบางชนิดที่ลดลง ส่วนราคาหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 โดยราคา หมวดเคหสถานเพิ่มขึ้นมากที่สุด (ร้อยละ 1.5) เนื่องจากค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาเชื้อเพลิง รองลงมาได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร (ร้อยละ 0.7) เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน สำเร็จรูปของสิงคโปร์ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน ดัชนีราคาผู้ผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาทุกหมวด โดยหมวดผลผลิตเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หมวดผลิตภัณฑ์แร่และเชื้อเพลิงร้อยละ 2.4 และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมร้อยละ 0.1
5. ภาคต่างประเทศ มูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 10.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งเป็นการลดลง ครั้งแรกในรอบ 22 เดือนตามการส่งออกที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกยังคงลดลงร้อยละ 3.7 ทำให้ ดุลการค้าเกินดุล 218 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับ ดุลบริการและบริจาคที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดจึงเกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็น 798 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงิน เกินดุล 299 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 อยู่ ณ ระดับ 33.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงิน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.55 ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.17 ต่อปี ส่วนอัตรา
ดอกเบี้ยระบบธนาคารส่วนใหญ่ปรับลดลงทั้งอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืม ซึ่งลดลงร้อยละ 0.5 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและอัตรา ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.50 และ 7.375 ต่อปี ตามลำดับ สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยน คงที่) ลดลงร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อบวกกลับหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้แก่ AMCs ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อปี ด้านเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 5.8 ต่อปี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ทำให้ปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ต่อปี
7. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 42.64 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งขึ้นร้อยละ 1.13 จากเดือนก่อน โดย ได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้น และแนวนโยบาย ของรัฐบาลใหม่เริ่มชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาท ได้อ่อนลงในเดือนมีนาคมตามค่าเงินเยนและค่าเงินในภูมิภาค โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคารอ่อนลงไปถึง 44.37 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม แล้วปรับตัวดีขึ้นบ้าง ในช่วงปลายเดือน เนื่องจากสภาพคล่องเงินบาทในตลาด offshore ตึงตัวขึ้นมาก โดยล่าสุด ณ วันที่ 29 มีนาคม อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
--นาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-