เศรษฐกิจการเงินภาคเหนือไตรมาสแรกปี 2543 ยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากที่ผลผลิตในภาคการผลิตต่างๆ ขยายตัวได้ดี ในภาคเกษตร ผลผลิตพืชสำคัญที่ออกในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิดจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทำให้รายได้รวมของเกษตรกรลดลง ทางด้านนอกภาคเกษตรผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบทุกสาขาการผลิต เช่น อุตสาหกรรม ผลผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญของภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวสูงมาก และภาคเหมืองแร่ผลผลิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ภาคบริการยังคงขยายตัวแต่ก็ชะลอลงบ้างเล็กน้อย ขณะที่รัฐบาลยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป ส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนในด้านการก่อสร้างก็เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัว จากพื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือจะยังคงลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการโอนสินเชื่อไปบริหารยังส่วนกลาง อย่างไรก็ตามอัตราลดลงของสินเชื่อได้ชะลอลงต่อเนื่อง อีกทั้งในเดือนมีนาคมสินเชื่อเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
ภาคเกษตร ผลผลิตพืชสำคัญที่ออกในช่วงไตรมาสแรกของปีการเพาะปลูก 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 โดยผลผลิตพืชทุกชนิดเพิ่มขึ้นยกเว้นใบยาสูบ จากปริมาณน้ำฝนที่กระจายตัวและน้ำในเขื่อนที่มีปริมาณสูงกว่าทุกปีทำให้ผลผลิตต่อไร่ของพืชทุกชนิดสูงขึ้น และแม้ว่าผลผลิตทางการเกษตรโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าเกษตรลดลงมากกว่า ส่งผลให้รายได้เกษตรกรในพืชสำคัญลดลงร้อยละ 8.3 โดยข้าวนาปรัง พื้นที่เพาะปลูกลดลงเล็กน้อย แต่ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นมากกว่าทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.8 เป็น 1.7 ล้านเมตริกตัน อ้อย มีผลผลิต 12.5 ล้านเมริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.7 แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกจะลดลงแต่ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นทำให้ผลผลิตอ้อยยังคงเพิ่มขึ้น มันสำปะหลัง มีผลผลิต 2.3 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรบางส่วนได้มีการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นด้วย หอมหัวใหญ่ พื้นที่เพาะปลูกลดลงแต่ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 5.7 เป็น 77,769 เมตริกตัน ขณะที่ผลผลิตใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียร์และพันธุ์เบอร์เล่ย์มีผลผลิต 4,206 เมตริกตัน และ 1,995 เมริกตัน ตามลำดับ ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.8 และร้อยละ 15.0 ตามลำดับ เนื่องจากโควต้าการรับซื้อของโรงงานยาสูบลดลง เป็นผลจากการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศมาก อีกทั้งผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรสนิยมไปบริโภคบุหรี่ต่างประเทศมากขึ้น ทำให้โรงงานยาสูบมีสต๊อกสูง
นอกภาคเกษตร ในไตรมาสแรกปี 2543 ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญภาคขยายตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีภาวะเร่งตัวมากโดยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 42.7 เนื่องจากทั้งตลาดเอเชีย ยุโรปและอเมริกามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.2 ชะลอลงจากปีก่อนเนื่องจากในไตรมาสแรกปีนี้โรงงานน้ำตาลเปิดหีบอ้อยล่าช้ากว่าปกติ ทำให้การผลิตไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่ควร ส่วนการผลิตสังกะสีลดลงเพียงร้อยละ 0.9 เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกำลังการผลิต เหมืองแร่ ผลผลิตน้ำมันดิบเท่ากับ 2.1 ล้านบาร์เรล ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.2 จากปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะในปีนี้มีปริมาณน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา ในส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวมีปริมาณ 5,083 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.2 และ LPG มีปริมาณ 25,542 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนกว่าหกเท่าตัวส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิต ส่วนการผลิตยิบซั่มในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มีปริมาณ 214,665 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.4 ขณะที่การผลิตลิกไนต์และหินปูนในเดือนมกราคมมีปริมาณ 1.2 ล้านเมตริกตัน และ 0.4 ล้านเมตริกตัน ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 21.0 และร้อยละ 61.1 ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อบริโภคภายใน เช่น เซรามิกส์ แนวโน้มการผลิตยังไม่ฟื้นตัว
ภาคบริการ ยังคงแสดงแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยทางด้านการใช้จ่ายของภาคเอกชนและการขยายตัวต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนประมาณร้อยละ 10.3 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ๆ ทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่เพิ่มขึ้น เช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงอายุจากยุโรปเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น และมีระยะเวลาพำนักยาวนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป อีกทั้งมีการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วไปที่นิยมเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามอัตราการเพิ่มของจำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยมีแนวโน้มลดลง ส่วนจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.5 เป็น 924,082 คน
การใช้จ่ายภาคเอกชน เครื่องชี้ภาวะการใช้จ่ายภาคเอกชนหลายประเภทแสดงทิศทางดีขึ้น โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ในภาคเหนือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มีจำนวน 5,318 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 75.3 เพิ่มขึ้นในภาคเหนือตอนบนร้อยละ 87.4 และตอนล่างร้อยละ 56.5 ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ในภาคเหนือมีจำนวน 17,016 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 38.4 เป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของภาคเหนือตอนบนถึงร้อยละ 69.4 เป็นสำคัญ ขณะที่ในส่วนภาคเหนือตอนล่างเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 การขยายตัวของการใช้จ่ายดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องของการขยายตัวของการผลิต ทำให้มีความต้องการซื้อรถใหม่ทั้งเพื่อใช้ในการเดินทางส่วนบุคคล และเพื่อการขนส่งเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเป็นผลจากการส่งเสริมการขายของผู้จำหน่ายด้วย ในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ในช่วงไตรมาสแรก (คิดฐานภาษีเดียวกัน) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.1 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 4.2 ช่วงเดียวกันในปีก่อนแสดงถึงภาวะการใช้จ่ายของประชาชนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อจากครึ่งหลังของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มียอดคงค้าง 39,924 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.3 อย่างไรก็ดีอัตราลดชะลอลงเมื่อเทียบกับที่ลดลงถึงร้อยละ 13.5 ช่วงเดียวกันปีก่อน
การลงทุน/ก่อสร้าง การลงทุนภาคเอกชนในด้านการก่อสร้างเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเท่ากับ 76,196 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 22.2 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 16.1 ช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยและประเภทพาณิชยกรรม เป็นสำคัญ พื้นที่ก่อสร้างรับอนุญาตในเขตภาคเหนือตอนบนขยายตัวร้อยละ 6.3 โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเชียงราย ลำพูนและพะเยา ส่วนภาคเหนือตอนล่างพื้นที่ก่อสร้างรับอนุญาตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43.7 โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุทัยธานี ในส่วนของการลงทุนด้านการผลิต ในไตรมาสแรกปีนี้โรงงานอุตสาหกรรมจดทะเบียนดำเนินกิจการ 145 แห่ง มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 735.1 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 65.2 แต่ในส่วนของภาคเหนือตอนบนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 โดยลงทุนเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดแพร่ ในส่วนภาคเหนือตอนล่างเงินลงทุนลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 88.6 ส่วนเงินลงทุนของกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เท่ากับ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 83.2 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้าและอุตสาหกรรมเจียระไนอัญมณี
การคลัง รายจ่ายรัฐบาลภาคเหนือในไตรมาสแรกปี 2543 (มกราคม-มีนาคม 2543) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เป็น 27,334.2 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 เป็น 17,369.3 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนรายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 3.4 เหลือ 9,964.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากของรายการงบลงทุนปีก่อนๆ ทางด้านรายได้จัดเก็บได้ 2,745.8 ล้านบาทลดลงร้อยละ 15.5 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 9.6 ระยะเดียวกันปีก่อน โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ 1,238.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.5 โดยลดลงมากในภาษีที่จัดเก็บจากรายได้ดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลง และผลจากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงร้อยละ 24.3 จากการปรับลดอัตราจัดเก็บ ทำให้เงินในงบประมาณขาดดุล 24,588.4 ล้านบาท เทียบกับที่ขาดดุล 23,149.7 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อรวมกับเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล ทำให้ฐานะการคลังรัฐบาลที่ภาคเหนือเกินดุลเงินสด 18,422.6 ล้านบาท เทียบกับที่เกินดุล 1,857.9 ล้านบาทระยะเดียวกันปีก่อน ในส่วนของมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(มิยาซาวา) เบิกจ่าย 703.5 ล้านบาท เมื่อรวมเงินส่วนนี้ รายจ่ายของภาครัฐบาลในภาคเหนือมีวงเงิน 28,037.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ระยะเดียวกันปีก่อน
รายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(มิยาซาวา)ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 มีวงเงินอนุมัติทั้งสิ้น 8,413.2 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 7,496.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 89.1 ของวงเงินอนุมัติ โดยกว่าร้อยละ 60 ของการเบิกจ่ายใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน ส่วนวงเงินอนุมัติที่เหลืออยู่ 916.3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
การค้าต่างประเทศ การส่งออกในช่วงไตรมาสแรกปี 2543 มีมูลค่า 303.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 42.2 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 11,161.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 42.1) โดยการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 223.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 46.5 จากภาวะเศรษฐกิจของเอเชียที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาและยุโรปยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น กอปรกับบริษัทต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สามารถส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้มากประเภทขึ้น ในส่วนของสินค้าส่งออกประเภทแปรรูปเกษตรขยายตัว ร้อยละ12.2 ตามภาวะการผลิตในภาคเกษตร ขณะที่การส่งออกผ่านชายแดนมีมูลค่า 1,939.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 43.7 (ในรูปดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 52.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 44.0) โดยเฉพาะการส่งออกไปพม่าเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 44.6 เป็น 1,717.5 ล้านบาท จากการเปิดด่านชายแดนในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่การนำเข้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในรูปดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 262.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.9 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 9,656.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 46.1) ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นตามการผลิตเพื่อส่งออกและการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต ซึ่งมีมูลค่าถึง 248.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นถึง 51.5 ขณะที่การนำเข้าผ่านชายแดนมีมูลค่า 408.4 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.8 เนื่องจากความต้องการนำเข้าโค-กระบือในปีนี้ลดลง ดุลการค้า เกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 เป็น 41.4 ล้านดอลลาร์ สรอ.
ระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคไตรมาสแรก ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.3 จากที่ลดลงในไตรมาสสุดท้ายปีก่อนตามภาวะทางด้านการใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นและผลจากแรงกดดันด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารร้อยละ 8.5 หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคลร้อยละ 2.0 หมวดการบันเทิง การอ่าน และการศึกษาร้อยละ 1.1 หมวดเครื่องนุ่งห่มร้อยละ 0.5 และหมวดเคหสถานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 สำหรับดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มในไตรมาสนี้ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.5 จากภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงมาก โดยเฉพาะราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้งลดลงมาก จึงเป็นแรงฉุดให้อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
การเงิน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยอดคงค้างสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 เท่ากับ 203,524.3 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 เนื่องจากมีการโอนสินเชื่อบางส่วนไปบริหารที่ส่วนกลาง อย่างไรก็ตามแนวโน้มสินเชื่อในเดือนมีนาคมเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 1.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกหลังจากลดลงโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี 2541 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประนอมหนี้ระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกหนี้ที่ประสบผลสำเร็จมากขึ้น ความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนมีมากขึ้นและมีการขยายสินเชื่อสู่ธุรกิจน้ำตาลในเขตภาคเหนือ ทางด้านเงินฝากมียอดคงค้าง 263,572.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีการโอนเงินเพื่อการชำระค่าสินค้าในจังหวัดที่ทำการค้าชายแดน และจากการโอนเงินฝากของส่วนราชการที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อย่างไรก็ตามทางด้านเงินฝากของประชาชนทั่วไปยังคงลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้มีการถอนเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในตราสารหนี้ และซื้อทรัพย์สินราคาแพง เช่น รถยนต์ และที่ดิน สำหรับปริมาณการใช้เช็คของภาคเหนือในไตรมาสแรก มีปริมาณเช็คเรียกเก็บจำนวน 1,091,744 ฉบับ มูลค่า 72,781.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.4 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน พิจิตร เพชรบูรณ์และตาก จากความเชื่อถือในการใช้เช็คเริ่มมีมากขึ้น ส่วนปริมาณเช็คคืนมีจำนวน 19,698 ฉบับ มูลค่า 1,064 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 20.1 และร้อยละ 31.5 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคเหนือ--
ภาคเกษตร ผลผลิตพืชสำคัญที่ออกในช่วงไตรมาสแรกของปีการเพาะปลูก 2542/43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 โดยผลผลิตพืชทุกชนิดเพิ่มขึ้นยกเว้นใบยาสูบ จากปริมาณน้ำฝนที่กระจายตัวและน้ำในเขื่อนที่มีปริมาณสูงกว่าทุกปีทำให้ผลผลิตต่อไร่ของพืชทุกชนิดสูงขึ้น และแม้ว่าผลผลิตทางการเกษตรโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าเกษตรลดลงมากกว่า ส่งผลให้รายได้เกษตรกรในพืชสำคัญลดลงร้อยละ 8.3 โดยข้าวนาปรัง พื้นที่เพาะปลูกลดลงเล็กน้อย แต่ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นมากกว่าทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.8 เป็น 1.7 ล้านเมตริกตัน อ้อย มีผลผลิต 12.5 ล้านเมริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.7 แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกจะลดลงแต่ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นทำให้ผลผลิตอ้อยยังคงเพิ่มขึ้น มันสำปะหลัง มีผลผลิต 2.3 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรบางส่วนได้มีการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นด้วย หอมหัวใหญ่ พื้นที่เพาะปลูกลดลงแต่ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 5.7 เป็น 77,769 เมตริกตัน ขณะที่ผลผลิตใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียร์และพันธุ์เบอร์เล่ย์มีผลผลิต 4,206 เมตริกตัน และ 1,995 เมริกตัน ตามลำดับ ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.8 และร้อยละ 15.0 ตามลำดับ เนื่องจากโควต้าการรับซื้อของโรงงานยาสูบลดลง เป็นผลจากการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศมาก อีกทั้งผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรสนิยมไปบริโภคบุหรี่ต่างประเทศมากขึ้น ทำให้โรงงานยาสูบมีสต๊อกสูง
นอกภาคเกษตร ในไตรมาสแรกปี 2543 ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญภาคขยายตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีภาวะเร่งตัวมากโดยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 42.7 เนื่องจากทั้งตลาดเอเชีย ยุโรปและอเมริกามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.2 ชะลอลงจากปีก่อนเนื่องจากในไตรมาสแรกปีนี้โรงงานน้ำตาลเปิดหีบอ้อยล่าช้ากว่าปกติ ทำให้การผลิตไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่ควร ส่วนการผลิตสังกะสีลดลงเพียงร้อยละ 0.9 เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกำลังการผลิต เหมืองแร่ ผลผลิตน้ำมันดิบเท่ากับ 2.1 ล้านบาร์เรล ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.2 จากปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะในปีนี้มีปริมาณน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา ในส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวมีปริมาณ 5,083 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.2 และ LPG มีปริมาณ 25,542 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนกว่าหกเท่าตัวส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิต ส่วนการผลิตยิบซั่มในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มีปริมาณ 214,665 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.4 ขณะที่การผลิตลิกไนต์และหินปูนในเดือนมกราคมมีปริมาณ 1.2 ล้านเมตริกตัน และ 0.4 ล้านเมตริกตัน ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 21.0 และร้อยละ 61.1 ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อบริโภคภายใน เช่น เซรามิกส์ แนวโน้มการผลิตยังไม่ฟื้นตัว
ภาคบริการ ยังคงแสดงแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยทางด้านการใช้จ่ายของภาคเอกชนและการขยายตัวต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนประมาณร้อยละ 10.3 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ๆ ทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่เพิ่มขึ้น เช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงอายุจากยุโรปเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น และมีระยะเวลาพำนักยาวนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป อีกทั้งมีการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วไปที่นิยมเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามอัตราการเพิ่มของจำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยมีแนวโน้มลดลง ส่วนจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานในภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.5 เป็น 924,082 คน
การใช้จ่ายภาคเอกชน เครื่องชี้ภาวะการใช้จ่ายภาคเอกชนหลายประเภทแสดงทิศทางดีขึ้น โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ในภาคเหนือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มีจำนวน 5,318 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 75.3 เพิ่มขึ้นในภาคเหนือตอนบนร้อยละ 87.4 และตอนล่างร้อยละ 56.5 ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ในภาคเหนือมีจำนวน 17,016 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 38.4 เป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของภาคเหนือตอนบนถึงร้อยละ 69.4 เป็นสำคัญ ขณะที่ในส่วนภาคเหนือตอนล่างเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 การขยายตัวของการใช้จ่ายดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องของการขยายตัวของการผลิต ทำให้มีความต้องการซื้อรถใหม่ทั้งเพื่อใช้ในการเดินทางส่วนบุคคล และเพื่อการขนส่งเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเป็นผลจากการส่งเสริมการขายของผู้จำหน่ายด้วย ในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ในช่วงไตรมาสแรก (คิดฐานภาษีเดียวกัน) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.1 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 4.2 ช่วงเดียวกันในปีก่อนแสดงถึงภาวะการใช้จ่ายของประชาชนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อจากครึ่งหลังของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มียอดคงค้าง 39,924 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.3 อย่างไรก็ดีอัตราลดชะลอลงเมื่อเทียบกับที่ลดลงถึงร้อยละ 13.5 ช่วงเดียวกันปีก่อน
การลงทุน/ก่อสร้าง การลงทุนภาคเอกชนในด้านการก่อสร้างเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเท่ากับ 76,196 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 22.2 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 16.1 ช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยและประเภทพาณิชยกรรม เป็นสำคัญ พื้นที่ก่อสร้างรับอนุญาตในเขตภาคเหนือตอนบนขยายตัวร้อยละ 6.3 โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเชียงราย ลำพูนและพะเยา ส่วนภาคเหนือตอนล่างพื้นที่ก่อสร้างรับอนุญาตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43.7 โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุทัยธานี ในส่วนของการลงทุนด้านการผลิต ในไตรมาสแรกปีนี้โรงงานอุตสาหกรรมจดทะเบียนดำเนินกิจการ 145 แห่ง มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 735.1 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 65.2 แต่ในส่วนของภาคเหนือตอนบนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 โดยลงทุนเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดแพร่ ในส่วนภาคเหนือตอนล่างเงินลงทุนลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 88.6 ส่วนเงินลงทุนของกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์เท่ากับ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 83.2 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้าและอุตสาหกรรมเจียระไนอัญมณี
การคลัง รายจ่ายรัฐบาลภาคเหนือในไตรมาสแรกปี 2543 (มกราคม-มีนาคม 2543) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เป็น 27,334.2 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ระยะเดียวกันปีก่อน ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 เป็น 17,369.3 ล้านบาท เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 ระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนรายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 3.4 เหลือ 9,964.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากของรายการงบลงทุนปีก่อนๆ ทางด้านรายได้จัดเก็บได้ 2,745.8 ล้านบาทลดลงร้อยละ 15.5 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 9.6 ระยะเดียวกันปีก่อน โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ 1,238.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.5 โดยลดลงมากในภาษีที่จัดเก็บจากรายได้ดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลง และผลจากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงร้อยละ 24.3 จากการปรับลดอัตราจัดเก็บ ทำให้เงินในงบประมาณขาดดุล 24,588.4 ล้านบาท เทียบกับที่ขาดดุล 23,149.7 ล้านบาท ระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อรวมกับเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล ทำให้ฐานะการคลังรัฐบาลที่ภาคเหนือเกินดุลเงินสด 18,422.6 ล้านบาท เทียบกับที่เกินดุล 1,857.9 ล้านบาทระยะเดียวกันปีก่อน ในส่วนของมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(มิยาซาวา) เบิกจ่าย 703.5 ล้านบาท เมื่อรวมเงินส่วนนี้ รายจ่ายของภาครัฐบาลในภาคเหนือมีวงเงิน 28,037.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ระยะเดียวกันปีก่อน
รายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(มิยาซาวา)ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 มีวงเงินอนุมัติทั้งสิ้น 8,413.2 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 7,496.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 89.1 ของวงเงินอนุมัติ โดยกว่าร้อยละ 60 ของการเบิกจ่ายใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน ส่วนวงเงินอนุมัติที่เหลืออยู่ 916.3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
การค้าต่างประเทศ การส่งออกในช่วงไตรมาสแรกปี 2543 มีมูลค่า 303.3 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 42.2 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 11,161.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 42.1) โดยการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีมูลค่า 223.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 46.5 จากภาวะเศรษฐกิจของเอเชียที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาและยุโรปยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น กอปรกับบริษัทต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สามารถส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้มากประเภทขึ้น ในส่วนของสินค้าส่งออกประเภทแปรรูปเกษตรขยายตัว ร้อยละ12.2 ตามภาวะการผลิตในภาคเกษตร ขณะที่การส่งออกผ่านชายแดนมีมูลค่า 1,939.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 43.7 (ในรูปดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 52.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 44.0) โดยเฉพาะการส่งออกไปพม่าเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 44.6 เป็น 1,717.5 ล้านบาท จากการเปิดด่านชายแดนในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่การนำเข้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในรูปดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 262.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.9 (ในรูปเงินบาทมีมูลค่า 9,656.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 46.1) ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นตามการผลิตเพื่อส่งออกและการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต ซึ่งมีมูลค่าถึง 248.9 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นถึง 51.5 ขณะที่การนำเข้าผ่านชายแดนมีมูลค่า 408.4 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.8 เนื่องจากความต้องการนำเข้าโค-กระบือในปีนี้ลดลง ดุลการค้า เกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 เป็น 41.4 ล้านดอลลาร์ สรอ.
ระดับราคา ดัชนีราคาผู้บริโภคไตรมาสแรก ปี 2543 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.3 จากที่ลดลงในไตรมาสสุดท้ายปีก่อนตามภาวะทางด้านการใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นและผลจากแรงกดดันด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสารร้อยละ 8.5 หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคลร้อยละ 2.0 หมวดการบันเทิง การอ่าน และการศึกษาร้อยละ 1.1 หมวดเครื่องนุ่งห่มร้อยละ 0.5 และหมวดเคหสถานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 สำหรับดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มในไตรมาสนี้ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.5 จากภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงมาก โดยเฉพาะราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้งลดลงมาก จึงเป็นแรงฉุดให้อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
การเงิน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยอดคงค้างสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในภาคเหนือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 เท่ากับ 203,524.3 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.7 เนื่องจากมีการโอนสินเชื่อบางส่วนไปบริหารที่ส่วนกลาง อย่างไรก็ตามแนวโน้มสินเชื่อในเดือนมีนาคมเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 1.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกหลังจากลดลงโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี 2541 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประนอมหนี้ระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกหนี้ที่ประสบผลสำเร็จมากขึ้น ความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนมีมากขึ้นและมีการขยายสินเชื่อสู่ธุรกิจน้ำตาลในเขตภาคเหนือ ทางด้านเงินฝากมียอดคงค้าง 263,572.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีการโอนเงินเพื่อการชำระค่าสินค้าในจังหวัดที่ทำการค้าชายแดน และจากการโอนเงินฝากของส่วนราชการที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อย่างไรก็ตามทางด้านเงินฝากของประชาชนทั่วไปยังคงลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้มีการถอนเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในตราสารหนี้ และซื้อทรัพย์สินราคาแพง เช่น รถยนต์ และที่ดิน สำหรับปริมาณการใช้เช็คของภาคเหนือในไตรมาสแรก มีปริมาณเช็คเรียกเก็บจำนวน 1,091,744 ฉบับ มูลค่า 72,781.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.4 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ โดยเพิ่มขึ้นมากในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน พิจิตร เพชรบูรณ์และตาก จากความเชื่อถือในการใช้เช็คเริ่มมีมากขึ้น ส่วนปริมาณเช็คคืนมีจำนวน 19,698 ฉบับ มูลค่า 1,064 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 20.1 และร้อยละ 31.5 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคเหนือ--