สืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลในเรื่องการลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 13 มีนาคม 2544 ที่กำหนดให้ภาคราชการและรัฐวิสาหกิจชะลอการนำเข้าพัสดุที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศและให้ใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศแทน รวมทั้งให้ยกเลิกหรือชะลอการจัดจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศและพยายามเปลี่ยนมาใช้ที่ปรึกษาไทยที่มีความรู้ความสามารถแทน และเพื่อสนองนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล กระทรวงการคลังจึงได้ดำเนินการเรื่อง "การส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย" เนื่องจากเห็นว่า การจะสนับสนุนหรือผลักดันให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้หันมาใช้บริการที่ปรึกษาไทยแทนที่ปรึกษาต่างประเทศนั้น มิใช่เรื่องที่จะกระทำโดยง่าย เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านศักยภาพ ความรู้ ความสามารถของที่ปรึกษาไทยไม่ครอบคลุมงานทุกสาขา อีกทั้งงานที่ปรึกษายังเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนแล้ว ที่ปรึกษาไทยมีข้อจำกัดในพัฒนาบุคลากรหรือชักนำบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญให้เข้ามาประกอบอาชีพที่ปรึกษา รวมถึงความเข้มแข็งขององค์กร ทำให้ไม่สามารถรับงานหรือแข่งขันกับที่ปรึกษาต่างประเทศได้ แม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐให้ที่ปรึกษาไทยเข้าไปรับงานหรือให้บริการแก่หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจแล้วก็ตาม
เพื่อให้การกำหนดมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยเป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด กระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงได้ร่วมมือกับสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (ว.ป.ท.) และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ว.ส.ท.) ดำเนินการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในเรื่องนี้ โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ เพื่อมาระดมความคิดและให้ข้อเสนอแนะในการกำหนดแนวทางและมาตรการในเรื่องการส่งเสริมกิจการ ที่ปรึกษาไทย โดยก่อนหน้าการจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ได้มีการจัดสัมมนาเตรียมการ (Pre-workshop) มาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 3 และ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้นำผลสรุปจากการสัมมนาทั้งสองครั้งมาหาข้อสรุปขั้นสุดท้ายในการสัมมนาวันนี้
ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยในวันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) ได้มาเป็นประธานและกล่าวเปิดการสัมมนาว่า ณ ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ "เศรษฐกิจใหม่" หรือ "New Economy" เป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาความรู้ โดยเศรษฐกิจจะก้าวหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืนได้จะต้องพัฒนาด้านความรู้ความสามารถของคน และให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไปนี้ จึงต้องมุ่งพัฒนาด้านความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพกำลังคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้กำหนดเรื่องดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลักประการหนึ่งในกรอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ อย่างไรก็ดี เมื่อหันมามองประเทศไทยแล้วจะพบว่ายังมีความล้าหลังในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการวิจัยและพัฒนาอยู่มาก ดังนั้นจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่คนไทยจะต้องช่วยกันพัฒนาและปฏิรูปทุกภาคเศรษฐกิจให้ไปสู่ "เศรษฐกิจบนฐานความรู้" หรือ "Knowledge-based Economy" ซึ่งการพัฒนากิจการที่ปรึกษานั้นถือเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจต่างๆ ให้มีความก้าวหน้าทางด้านความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะที่ปรึกษาถือเป็นมันสมองของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในวิชาชีพสามารถให้ข้อ เสนอแนะที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างสมดุล อันจะเป็นฐานในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนและพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถของไทย นอกจากนี้ หากกิจการที่ปรึกษาไทยได้รับการพัฒนาจนสามารถรับงานได้ครอบคลุมทุกสาขาหรือสามารถแข่งขันกับที่ปรึกษาต่างประเทศได้แล้ว ก็จะทำให้ประหยัดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศลดการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศโดยหันมาใช้ที่ปรึกษาไทยทดแทน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของที่ปรึกษาที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้สรุปเป็นใจความที่กระชับว่า "ที่ปรึกษาไทยเป็นฐาน สร้างเศรษฐกิจใหม่ นำพาไทยสู่ความสำเร็จ"
การสัมมนาในวันนี้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่วางไว้ โดยสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ว่า กิจการที่ปรึกษาไทยมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน เพราะมีส่วนในการ สนับสนุนทั้งการพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ พัฒนาศักยภาพกำลังคน ส่งเสริมการส่งออก รวมถึงการเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้ข้อสรุปของแนวทางดำเนินการในการส่งเสริมกิจการ ที่ปรึกษาไทย ดังต่อไปนี้
ข้อสรุปแนวทางและมาตรการในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย
1. การสร้างโอกาสการทำงานในประเทศและต่างประเทศ
1.1 การสร้างโอกาสงานในประเทศ
(1) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจ้างที่ปรึกษาไทยมากขึ้น
(2) งานทางด้านการบริหารจัดการโครงการ (Project Management Consultant : PMC) สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้ที่ปรึกษาไทยเป็นผู้ดำเนินการหลัก (Lead Firm)
(3) ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากที่ปรึกษาต่างประเทศอย่างเป็นระบบ
- ให้กำหนดในสัญญาให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และมีสำนักงานโครงการในประเทศไทย
- กำหนดให้ที่ปรึกษาต่างประเทศศึกษาออกแบบรายละเอียดในประเทศไทย
- กำหนดให้มีการปฏิบัติงานร่วมกันในระหว่างที่ปรึกษาไทยและต่างประเทศให้ชัดเจน
(4) ให้จ้างที่ปรึกษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็น โดยการจัดทำ TOR ให้กำหนดตำแหน่งของที่ปรึกษาไทยและต่างประเทศให้ชัดเจน
1.2 การสร้างโอกาสการทำงานในต่างประเทศ
(1) ปรับอัตราค่าตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อ
- ส่งเสริมให้บุคลากรที่มีคุณภาพหันมาประกอบอาชีพที่ปรึกษา
- ส่งเสริมองค์กรให้มีการจัดทำวิจัยและพัฒนาและสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง
- สร้างศักยภาพในการแข่งขันกับที่ปรึกษาต่างประเทศ
(2) จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการสร้างงานในประเทศเพื่อนบ้าน
- รัฐสนับสนุนเงินจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการสร้างงานในประเทศเพื่อนบ้านโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล โดยรัฐบาลจัดสรรเงินในการจัดตั้งกองทุนประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผน 5 ปี
- เป็นกองทุนในลักษณะกองทุนหมุนเวียน
- การบริหารงานกองทุนจะบริหารในรูปคณะกรรมการ
2. การปรับอัตราค่าตอบแทนให้เหมาะสม
ที่ประชุมเห็นด้วยกับการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยเพิ่มตัวคูณ Basic Salary ที่เดิมใช้ตัวคูณที่ 2.145 เปลี่ยนเป็นใช้ตัวคูณ 2.64 ซึ่งการปรับตัวคูณดังกล่าวจะทำให้ที่ปรึกษาไทยได้รับค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น อันจะทำให้ที่ปรึกษามีรายได้พอเพียงที่จะจัดสรรในเรื่องการพัฒนาองค์กรของที่ปรึกษาให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีในระยะยาวต่อการพัฒนากิจการที่ปรึกษาไทย
3. การปรับปรุงขั้นตอนและกฎระเบียบการจ้างที่ปรึกษา
มีข้อสรุปให้แก้ไขกฎระเบียบในการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เอื้อต่อการพัฒนากิจการที่ปรึกษาไทยมากขึ้น ดังนี้
3.1 แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดให้จ้างที่ปรึกษาไทยให้มากขึ้น ได้แก่
(1) กำหนดสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาไทยเป็นจำนวนคนเดือน (Man-month) เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
(2) นอกจากนี้ให้กำหนดในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้วยว่าจะต้องเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษา ไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดไว้
3.2 ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งแก้ไขกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เพื่อให้เอื้อต่อการจ้างที่ปรึกษาไทยมากที่สุด
4. การพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย
ในเรื่องศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง และมีสำนักบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานดำเนินการนั้น เห็นว่าควรมีการปรับปรุงให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
4.1 ให้ปรับปรุงคุณภาพในการกลั่นกรองตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ที่จะมาจดทะเบียนว่าจะต้องเป็นกิจการของคนไทยเท่านั้น
4.2 จัดกลุ่มอาชีพของที่ปรึกษาไทยและจัดกลุ่มที่ปรึกษาที่แสดงถึงระดับความพร้อมและขีดความสามารถในการทำงาน รวมถึงจัดทำคู่มือขีดความสามารถของที่ปรึกษาไทยในสาขาต่างๆ เผยแพร่ให้หน่วยงานต่างๆ ทราบว่างานใดที่ปรึกษาไทยสามารถทำได้ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการจ้างที่ปรึกษาไทยทดแทนการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศ
4.3 จัดทำคู่มือการจัดจ้างที่ปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงการตรวจรับงาน เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นแนวทางในการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
4.4 พัฒนาให้ศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทยเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านข้อมูลและข่าวสารต่างๆ อาทิ งานที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ การจดทะเบียน การร่วมมือกันระหว่างสมาคมวิชาชีพต่างๆ การกำกับดูแลจรรยาบรรณของที่ปรึกษา การส่งเสริมและยกระดับคุณภาพที่ปรึกษา ตลอดจนปรับวิธีการจดทะเบียนและการติดต่อสื่อสารให้สะดวกโดยใช้ Website เพื่อดำเนินการทั้งในด้านการรับจดทะเบียนและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
4.5 จัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นระยะๆ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น และเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของศูนย์ ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับการปรับวิธีการบริหารศูนย์ข้อมูลให้มีการบริหารงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน และบริหารในรูปคณะกรรมการ
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
นอกเหนือจากแนวทางการดำเนินการข้างต้นแล้ว ประเด็นสำคัญในการสัมมนาครั้งนี้ สรุปว่าแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดจะสำเร็จตามเป้าหมาย และสามารถปฏิบัติต่อไปได้อย่างต่อเนื่องจะต้องมีการจัดตั้ง องค์กรร่วมระหว่างภาครัฐและที่ปรึกษา เพื่อมาดูแลเรื่องการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย เพราะการจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้เกิดผลสำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยองค์กรนี้จะมีบทบาทในการส่งเสริมที่ปรึกษาไทยในการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยด้านในประเทศนั้นจะทำหน้าที่ประสานงานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน มุ่งยกระดับคุณภาพของที่ปรึกษาไทยทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงานและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ รวมถึงทำการเผยแพร่ให้สังคมเห็นความสำคัญของกิจการที่ปรึกษาไทย ในส่วนของการส่งเสริมการทำงานในต่างประเทศนั้น องค์กรนี้จะมี บทบาทในการจัดหางานจากต่างประเทศด้านจัดเตรียมโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ขั้นต้น การศึกษาความเหมาะสม และการออกแบบเบื้องต้น โดยจะเป็นกลไกประสานงานในการขอใช้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐ และจัดหาเงินกู้จากกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสนับสนุนการจัดจ้าง จัดซื้อ สินค้าและบริการจากประเทศไทย รวมถึงการประสานงานกับสถาบันการเงิน และรัฐบาลต่างประเทศในการให้บริการจัดคณะที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานภายใต้โครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน องค์กรนี้ยังจะเข้ามาช่วยในการทำงานของศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาของกระทรวงการคลัง โดยเข้ามาช่วยวางหลักเกณฑ์และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มาจดทะเบียนกับศูนย์ให้เป็นคนไทยเท่านั้น รวมถึงการเข้ามาเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลงานที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จะนำข้อสรุปที่ได้จากการสัมมนาดังกล่าวรายงานต่อกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณานำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดเป็นมาตรการและแนวทางดำเนินการในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยให้เกิดเป็นผลในทางปฏิบัติต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 57/2544 24 สิงหาคม 2544--
-อน-
เพื่อให้การกำหนดมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยเป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด กระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงได้ร่วมมือกับสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (ว.ป.ท.) และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ว.ส.ท.) ดำเนินการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในเรื่องนี้ โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ เพื่อมาระดมความคิดและให้ข้อเสนอแนะในการกำหนดแนวทางและมาตรการในเรื่องการส่งเสริมกิจการ ที่ปรึกษาไทย โดยก่อนหน้าการจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ได้มีการจัดสัมมนาเตรียมการ (Pre-workshop) มาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 3 และ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้นำผลสรุปจากการสัมมนาทั้งสองครั้งมาหาข้อสรุปขั้นสุดท้ายในการสัมมนาวันนี้
ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยในวันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) ได้มาเป็นประธานและกล่าวเปิดการสัมมนาว่า ณ ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ "เศรษฐกิจใหม่" หรือ "New Economy" เป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาความรู้ โดยเศรษฐกิจจะก้าวหน้าและพัฒนาอย่างยั่งยืนได้จะต้องพัฒนาด้านความรู้ความสามารถของคน และให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไปนี้ จึงต้องมุ่งพัฒนาด้านความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพกำลังคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้กำหนดเรื่องดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลักประการหนึ่งในกรอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ อย่างไรก็ดี เมื่อหันมามองประเทศไทยแล้วจะพบว่ายังมีความล้าหลังในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการวิจัยและพัฒนาอยู่มาก ดังนั้นจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่คนไทยจะต้องช่วยกันพัฒนาและปฏิรูปทุกภาคเศรษฐกิจให้ไปสู่ "เศรษฐกิจบนฐานความรู้" หรือ "Knowledge-based Economy" ซึ่งการพัฒนากิจการที่ปรึกษานั้นถือเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจต่างๆ ให้มีความก้าวหน้าทางด้านความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะที่ปรึกษาถือเป็นมันสมองของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในวิชาชีพสามารถให้ข้อ เสนอแนะที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างสมดุล อันจะเป็นฐานในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนและพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถของไทย นอกจากนี้ หากกิจการที่ปรึกษาไทยได้รับการพัฒนาจนสามารถรับงานได้ครอบคลุมทุกสาขาหรือสามารถแข่งขันกับที่ปรึกษาต่างประเทศได้แล้ว ก็จะทำให้ประหยัดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศลดการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศโดยหันมาใช้ที่ปรึกษาไทยทดแทน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของที่ปรึกษาที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้สรุปเป็นใจความที่กระชับว่า "ที่ปรึกษาไทยเป็นฐาน สร้างเศรษฐกิจใหม่ นำพาไทยสู่ความสำเร็จ"
การสัมมนาในวันนี้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่วางไว้ โดยสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ว่า กิจการที่ปรึกษาไทยมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน เพราะมีส่วนในการ สนับสนุนทั้งการพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ พัฒนาศักยภาพกำลังคน ส่งเสริมการส่งออก รวมถึงการเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้ข้อสรุปของแนวทางดำเนินการในการส่งเสริมกิจการ ที่ปรึกษาไทย ดังต่อไปนี้
ข้อสรุปแนวทางและมาตรการในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย
1. การสร้างโอกาสการทำงานในประเทศและต่างประเทศ
1.1 การสร้างโอกาสงานในประเทศ
(1) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจ้างที่ปรึกษาไทยมากขึ้น
(2) งานทางด้านการบริหารจัดการโครงการ (Project Management Consultant : PMC) สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้ที่ปรึกษาไทยเป็นผู้ดำเนินการหลัก (Lead Firm)
(3) ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากที่ปรึกษาต่างประเทศอย่างเป็นระบบ
- ให้กำหนดในสัญญาให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และมีสำนักงานโครงการในประเทศไทย
- กำหนดให้ที่ปรึกษาต่างประเทศศึกษาออกแบบรายละเอียดในประเทศไทย
- กำหนดให้มีการปฏิบัติงานร่วมกันในระหว่างที่ปรึกษาไทยและต่างประเทศให้ชัดเจน
(4) ให้จ้างที่ปรึกษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็น โดยการจัดทำ TOR ให้กำหนดตำแหน่งของที่ปรึกษาไทยและต่างประเทศให้ชัดเจน
1.2 การสร้างโอกาสการทำงานในต่างประเทศ
(1) ปรับอัตราค่าตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อ
- ส่งเสริมให้บุคลากรที่มีคุณภาพหันมาประกอบอาชีพที่ปรึกษา
- ส่งเสริมองค์กรให้มีการจัดทำวิจัยและพัฒนาและสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง
- สร้างศักยภาพในการแข่งขันกับที่ปรึกษาต่างประเทศ
(2) จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการสร้างงานในประเทศเพื่อนบ้าน
- รัฐสนับสนุนเงินจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการสร้างงานในประเทศเพื่อนบ้านโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล โดยรัฐบาลจัดสรรเงินในการจัดตั้งกองทุนประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผน 5 ปี
- เป็นกองทุนในลักษณะกองทุนหมุนเวียน
- การบริหารงานกองทุนจะบริหารในรูปคณะกรรมการ
2. การปรับอัตราค่าตอบแทนให้เหมาะสม
ที่ประชุมเห็นด้วยกับการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยเพิ่มตัวคูณ Basic Salary ที่เดิมใช้ตัวคูณที่ 2.145 เปลี่ยนเป็นใช้ตัวคูณ 2.64 ซึ่งการปรับตัวคูณดังกล่าวจะทำให้ที่ปรึกษาไทยได้รับค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น อันจะทำให้ที่ปรึกษามีรายได้พอเพียงที่จะจัดสรรในเรื่องการพัฒนาองค์กรของที่ปรึกษาให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีในระยะยาวต่อการพัฒนากิจการที่ปรึกษาไทย
3. การปรับปรุงขั้นตอนและกฎระเบียบการจ้างที่ปรึกษา
มีข้อสรุปให้แก้ไขกฎระเบียบในการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เอื้อต่อการพัฒนากิจการที่ปรึกษาไทยมากขึ้น ดังนี้
3.1 แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดให้จ้างที่ปรึกษาไทยให้มากขึ้น ได้แก่
(1) กำหนดสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาไทยเป็นจำนวนคนเดือน (Man-month) เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
(2) นอกจากนี้ให้กำหนดในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้วยว่าจะต้องเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษา ไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดไว้
3.2 ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งแก้ไขกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เพื่อให้เอื้อต่อการจ้างที่ปรึกษาไทยมากที่สุด
4. การพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย
ในเรื่องศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง และมีสำนักบริหารหนี้สาธารณะเป็นหน่วยงานดำเนินการนั้น เห็นว่าควรมีการปรับปรุงให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
4.1 ให้ปรับปรุงคุณภาพในการกลั่นกรองตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ที่จะมาจดทะเบียนว่าจะต้องเป็นกิจการของคนไทยเท่านั้น
4.2 จัดกลุ่มอาชีพของที่ปรึกษาไทยและจัดกลุ่มที่ปรึกษาที่แสดงถึงระดับความพร้อมและขีดความสามารถในการทำงาน รวมถึงจัดทำคู่มือขีดความสามารถของที่ปรึกษาไทยในสาขาต่างๆ เผยแพร่ให้หน่วยงานต่างๆ ทราบว่างานใดที่ปรึกษาไทยสามารถทำได้ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการจ้างที่ปรึกษาไทยทดแทนการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศ
4.3 จัดทำคู่มือการจัดจ้างที่ปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงการตรวจรับงาน เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นแนวทางในการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
4.4 พัฒนาให้ศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทยเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านข้อมูลและข่าวสารต่างๆ อาทิ งานที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ การจดทะเบียน การร่วมมือกันระหว่างสมาคมวิชาชีพต่างๆ การกำกับดูแลจรรยาบรรณของที่ปรึกษา การส่งเสริมและยกระดับคุณภาพที่ปรึกษา ตลอดจนปรับวิธีการจดทะเบียนและการติดต่อสื่อสารให้สะดวกโดยใช้ Website เพื่อดำเนินการทั้งในด้านการรับจดทะเบียนและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
4.5 จัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นระยะๆ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น และเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของศูนย์ ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับการปรับวิธีการบริหารศูนย์ข้อมูลให้มีการบริหารงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน และบริหารในรูปคณะกรรมการ
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
นอกเหนือจากแนวทางการดำเนินการข้างต้นแล้ว ประเด็นสำคัญในการสัมมนาครั้งนี้ สรุปว่าแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดจะสำเร็จตามเป้าหมาย และสามารถปฏิบัติต่อไปได้อย่างต่อเนื่องจะต้องมีการจัดตั้ง องค์กรร่วมระหว่างภาครัฐและที่ปรึกษา เพื่อมาดูแลเรื่องการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย เพราะการจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้เกิดผลสำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยองค์กรนี้จะมีบทบาทในการส่งเสริมที่ปรึกษาไทยในการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยด้านในประเทศนั้นจะทำหน้าที่ประสานงานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน มุ่งยกระดับคุณภาพของที่ปรึกษาไทยทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงานและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ รวมถึงทำการเผยแพร่ให้สังคมเห็นความสำคัญของกิจการที่ปรึกษาไทย ในส่วนของการส่งเสริมการทำงานในต่างประเทศนั้น องค์กรนี้จะมี บทบาทในการจัดหางานจากต่างประเทศด้านจัดเตรียมโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ขั้นต้น การศึกษาความเหมาะสม และการออกแบบเบื้องต้น โดยจะเป็นกลไกประสานงานในการขอใช้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐ และจัดหาเงินกู้จากกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสนับสนุนการจัดจ้าง จัดซื้อ สินค้าและบริการจากประเทศไทย รวมถึงการประสานงานกับสถาบันการเงิน และรัฐบาลต่างประเทศในการให้บริการจัดคณะที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานภายใต้โครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน องค์กรนี้ยังจะเข้ามาช่วยในการทำงานของศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาของกระทรวงการคลัง โดยเข้ามาช่วยวางหลักเกณฑ์และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มาจดทะเบียนกับศูนย์ให้เป็นคนไทยเท่านั้น รวมถึงการเข้ามาเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลงานที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จะนำข้อสรุปที่ได้จากการสัมมนาดังกล่าวรายงานต่อกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณานำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดเป็นมาตรการและแนวทางดำเนินการในการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทยให้เกิดเป็นผลในทางปฏิบัติต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 57/2544 24 สิงหาคม 2544--
-อน-