ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. นรม. คาดว่าภายในสิ้นปี 2552 จีดีพีของไทยจะอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นรม.
กล่าวในรายการ นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชนถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 47 และแนวโน้มปี 48
ว่า จากปัญหาน้ำมันแพง ภัยแล้ง ดอกเบี้ยขึ้น ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 47 ขยายตัวช้าลงจากเดิม
คือ ขยายตัวร้อยละ 5.1 แต่เมื่อเฉลี่ยทั้งปีของปี 47 จะขยายตัวร้อยละ 6.1 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 6.2
โดยจีดีพีของประเทศรวมแล้วประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2552 จีดีพีจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท
จากเดิมที่ประมาณการไว้ 9,950,000 ล้านบาท สำหรับเศรษฐกิจในปี 48 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5
และในปี 49 มั่นใจว่าจะทำได้ดีกว่าปี 48 เพราะเม็ดเงินต่าง ๆ ลงสู่ประชาชนมากขึ้น นอกจากนี้ จะหาทางว่า
ทำอย่างไรที่จะรักษาหนี้สาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี (ข่าวสด)
2. ธปท. คาดภัยแล้งไม่กระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. เปิดเผยถึงภาวะภัยแล้งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไป ซึ่งแม้ว่าปัญหาภัยแล้งจะทำ
ให้ปริมาณการผลิตพืชผลต่าง ๆ ลดลง แต่ในแง่ของราคาก็เพิ่มสูงขึ้น จึงช่วยชดเชยกับปริมาณผลผลิตที่ลดลงได้ ซึ่ง
ส่วนหนึ่งก็มาจากการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งนี้ จากปัญหาดังกล่าว ธปท. ยังไม่พบความจำเป็นที่จะต้องปรับลด
ประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจลง เนื่องจากได้นำปัญหาภัยแล้งมาคำนวณเผื่อไว้แล้ว โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัว
อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.25 — 6.25 ขณะที่ สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมภาวะภัยแล้งเข้า
ไปแล้วเช่นกัน โดยคาดว่าจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดในขณะ
นี้ คือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกรงว่าอาจกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ และคาดว่าจะส่งผลให้
ดุลการค้าเดือน ก.พ.48 อาจจะขาดดุลเล็กน้อย แต่เชื่อว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่ขาดดุล และมั่นใจว่าภายในปีนี้จะ
สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายได้โดยไม่น่าจะปรับตัวสูงเกินร้อยละ 3 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อดัง
กล่าวได้ประเมินโดยนำการปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลไว้ด้วยแล้ว นอกจากนี้ ยังไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนไหลออก
โดยในหลายเดือนที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินบาท
และค่าเงินในแถบภูมิภาคเดียวกันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดเงินของไทยมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังผลักดันเมกะโปรเจกต์กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
ปลัด ก.คลัง กล่าวว่า นโยบายต่าง ๆ ของ ก.คลังมีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยแผนงานหลักที่ให้
ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ การจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพัฒนารัฐวิสาหกิจ และการลงทุน
โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สนง.
เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. ยังมั่นใจตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 48 จะ
ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะนโยบายการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ที่ใช้วงเงินสูงกว่า 3 แสนล้านบาท จะเป็นตัวผลักดันให้ตัวเลขจีดีพีขยาย
ตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมทั้งส่งผลให้ตัวเลขอัตราการจ้างงานดีขึ้น โดยคาดว่าอัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น
มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 7 แสนคน จากปี 47 อยู่ที่ 34.7 ล้านคน เป็น 35.4 ล้านคนในปี 48 อย่างไรก็ตาม
นโยบายเศรษฐกิจไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า (2548 — 2551) จะต้องดำเนินการให้เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโต
อย่างต่อเนื่อง แต่ฐานะการคลังยั่งยืน งปม.สมดุล หนี้ต่อจีดีพีต่ำกว่าร้อยละ 50 ภาระหนี้ต่อ งปม. ไม่เกินร้อยละ 15
งบลงทุนต่อ งปม. ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ระดมเงินออมให้พอใช้ในการลงทุน ลดปัญหาการขาดดุลบัญชีเดิน
สะพัด และรักษาเสถียรภาพของราคาและค่าเงินให้มั่นคง (ผู้จัดการรายวัน)
4. ธปท. และ ธ.พาณิชย์จะหารือปรับลดค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านตู้เอทีเอ็ม
นายสายัณห์ ปริวัตร ผอ.อาวุโส สายระบบชำระเงิน ธปท. กล่าวว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า ธปท. และ
ธ.พาณิชย์จะมีการประชุมหารือแนวทางการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านตู้เอทีเอ็ม เพื่อส่ง
เสริมให้มีการใช้บริการชำระเงินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยปัจจุบันประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโอน
เงินสูงถึง 35 บาทต่อการเงินโอนไม่เกิน 30,000 บาทต่อรายการ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการหารือร่วมกันมาแล้ว แต่
ต้องให้เวลา ธ.พาณิชย์เพื่อปรับตัว เนื่องจากค่าธรรมเนียมการโอนถือเป็นรายได้สำคัญของ ธ.พาณิชย์ อนึ่ง ก่อน
หน้านี้ ธปท. ระบุว่าปัจจุบันคนไทยยังใช้สื่อประเภทกระดาษ เช่น เงินสด และเช็ค ในการชำระเงินเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมีต้นทุนในการจัดการที่สูงกว่าการชำระด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขัน
ของไทยด้อยกว่าประเทศอื่นที่พัฒนาระบบการชำระเงินด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง ธปท. จะให้ความ
สำคัญกับการพัฒนาระบบการชำระเงินอย่างจริงจังต่อไป (มติชน, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การปฎิรูประบบภาษีธุรกิจของเยอรมนีจะมีผลในปี 50 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 48
นาย Hans Eichel รมว.คลังเยอรมนีกล่าวว่า เยอรมนีกำลังดำเนินการปฎิรูประบบภาษีธุรกิจอย่างรวดเร็ว
เท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามการปฎิรูปดังกล่าวคาดว่าจะ
ยังไม่มีการบังคับใช้ก่อนปี 50 ทั้งนี้ได้มีการเรียกร้องให้มีการปฎิรูประบบภาษีธุรกิจอย่างเร่งด่วนหากรัฐบาลต้องการ
หามาตรการระยะสั้นในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกิจการต้องการให้รัฐจัดเก็บภาษี
ธุรกิจในอัตราที่ต่ำลงซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีที่เก็บจากกำไรของธุรกิจสูงกว่าร้อยละ 38 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในยุโรป
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีธุรกิจในอัตราที่ต่ำลงจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจมีการลงทุนมากขึ้นซึ่งเป็นการ
กระตุ้นให้การจ้างงานขยายตัว และเป็นเป้าหมายทางการเมืองเนื่องจากเยอรมนีต้องการต่อสู้กับปัญหาการว่างงาน
ที่ทำสถิติสูงสุด (รอยเตอร์)
2. เดือน ม.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงร้อยละ 28.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 14 มี.ค.48 ก.คลัง เปิดเผยว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 เกินดุลลดลงร้อยละ 28.2
เทียบต่อปี อยู่ที่ระดับ 774.9 พัน ล.เยน (7.46 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนัก
เศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 17.5 หรือลดลงอยู่ที่ระดับ 890 พัน ล.เยน ในขณะที่เมื่อเทียบต่อ
เดือนดุลบัญชีเดินสะพัดหลังปรับฤดูกาลในเดือน ม.ค.48 เกินดุลลดลงร้อยละ 12.2 สำหรับดุลการค้าเกินดุลลดลง
ร้อยละ 46.3 เป็นจำนวน 357.6 พัน ล.เยน โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เป็นจำนวน 4.2107 ล้านล้าน
เยน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 เป็นจำนวน 3.8530 ล้านล้านเยน (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 รายงานจากโตเกียว เมื่อ 14 มี.ค.48
เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 ดีกว่าที่รัฐบาลและนักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะหดตัว
ร้อยละ 0.1 และ 0.2 ตามลำดับ โดยหากเทียบต่อปีแล้ว เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.5 จากที่รัฐบาลและ
นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะหดตัวร้อยละ 0.5 และ 0.6 ตามลำดับ โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 0.3
สองไตรมาสติดต่อกันตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 47 แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะขยายตัวสูงกว่าที่คาด
ไว้ แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกันเท่าไรนัก เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวใน
ระดับใกล้ร้อยละ 0 ทั้ง 3 ไตรมาส โดยเศรษฐกิจต้องขยายตัวร้อยละ 1.8 ในไตรมาสแรกปีนี้จึงจะทำให้
เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.1 ตามที่รัฐบาลคาดไว้ในปีงบประมาณ 47/48 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.48 นี้
ในขณะที่ยอดเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 46.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน มีจำนวน 357.6 พันล้านเยน โดยยอดส่งออก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 มีจำนวน 4.2107 ล้านล้านเยนและยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 มีจำนวน 3.8530 ล้าน
ล้านเยน แสดงให้เห็นว่าการส่งออกเริ่มชะลอตัวลงจากความต้องการในต่างประเทศที่ชะลอตัวลงโดยเฉพาะใน
สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (รอยเตอร์)
4. ยอดการใช้บัตรเครดิตของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี ขณะที่
เทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 8.2 รายงานจากโซล เมื่อ 13 มี.ค.48 รมว.คลังเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ยอด
การใช้บัตรเครดิตของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 13.5 ล้านล้านวอน (13.5 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี แต่เมื่อเทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 8.2 เนื่องจากเดือน ก.พ.
เป็นเดือนที่มีวันน้อยกว่าเดือน ม.ค. 2-3 วัน ส่วนยอดการใช้บัตรเครดิตสะสมใน 2 เดือนแรกของปี 48 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 11.7 ที่จำนวน 28.2 ล้านล้านวอนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ธุรกิจบัตรเครดิตในเกาหลีใต้
ได้เกิดปัญหาหนี้สูญเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อช่วงปลายปี 45
ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและธุรกิจซบเซา ส่งผลกระทบถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ (อันเป็น
ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในเอเชีย) อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีสัญญาณของการฟื้นตัว
ของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้เห็นว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะ
กระตุ้นในขณะนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในปีนี้จะอยู่ที่ระดับมากกว่าร้อยละ 4.0
ซึ่งผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ในปี 47 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.7 ทั้งนี้เมื่อเดือน ส.ค.และ พ.ย.ที่ผ่านมา ธ.
กลางเกาหลีใต้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เพื่อกระตุ้นความต้องการในประเทศให้เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 มี.ค. 48 11 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.316 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.1157/38.4099 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.98/15.06 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,050/8,150 8,000/8,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.54 44.56 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.09*/15.19** 22.09*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. นรม. คาดว่าภายในสิ้นปี 2552 จีดีพีของไทยจะอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นรม.
กล่าวในรายการ นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชนถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 47 และแนวโน้มปี 48
ว่า จากปัญหาน้ำมันแพง ภัยแล้ง ดอกเบี้ยขึ้น ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 47 ขยายตัวช้าลงจากเดิม
คือ ขยายตัวร้อยละ 5.1 แต่เมื่อเฉลี่ยทั้งปีของปี 47 จะขยายตัวร้อยละ 6.1 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 6.2
โดยจีดีพีของประเทศรวมแล้วประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2552 จีดีพีจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท
จากเดิมที่ประมาณการไว้ 9,950,000 ล้านบาท สำหรับเศรษฐกิจในปี 48 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5
และในปี 49 มั่นใจว่าจะทำได้ดีกว่าปี 48 เพราะเม็ดเงินต่าง ๆ ลงสู่ประชาชนมากขึ้น นอกจากนี้ จะหาทางว่า
ทำอย่างไรที่จะรักษาหนี้สาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี (ข่าวสด)
2. ธปท. คาดภัยแล้งไม่กระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ
ธปท. เปิดเผยถึงภาวะภัยแล้งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไป ซึ่งแม้ว่าปัญหาภัยแล้งจะทำ
ให้ปริมาณการผลิตพืชผลต่าง ๆ ลดลง แต่ในแง่ของราคาก็เพิ่มสูงขึ้น จึงช่วยชดเชยกับปริมาณผลผลิตที่ลดลงได้ ซึ่ง
ส่วนหนึ่งก็มาจากการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งนี้ จากปัญหาดังกล่าว ธปท. ยังไม่พบความจำเป็นที่จะต้องปรับลด
ประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจลง เนื่องจากได้นำปัญหาภัยแล้งมาคำนวณเผื่อไว้แล้ว โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัว
อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.25 — 6.25 ขณะที่ สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมภาวะภัยแล้งเข้า
ไปแล้วเช่นกัน โดยคาดว่าจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดในขณะ
นี้ คือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกรงว่าอาจกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ และคาดว่าจะส่งผลให้
ดุลการค้าเดือน ก.พ.48 อาจจะขาดดุลเล็กน้อย แต่เชื่อว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่ขาดดุล และมั่นใจว่าภายในปีนี้จะ
สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายได้โดยไม่น่าจะปรับตัวสูงเกินร้อยละ 3 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อดัง
กล่าวได้ประเมินโดยนำการปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลไว้ด้วยแล้ว นอกจากนี้ ยังไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนไหลออก
โดยในหลายเดือนที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินบาท
และค่าเงินในแถบภูมิภาคเดียวกันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดเงินของไทยมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังผลักดันเมกะโปรเจกต์กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
ปลัด ก.คลัง กล่าวว่า นโยบายต่าง ๆ ของ ก.คลังมีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยแผนงานหลักที่ให้
ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ การจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพัฒนารัฐวิสาหกิจ และการลงทุน
โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สนง.
เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. ยังมั่นใจตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 48 จะ
ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะนโยบายการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ที่ใช้วงเงินสูงกว่า 3 แสนล้านบาท จะเป็นตัวผลักดันให้ตัวเลขจีดีพีขยาย
ตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมทั้งส่งผลให้ตัวเลขอัตราการจ้างงานดีขึ้น โดยคาดว่าอัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น
มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 7 แสนคน จากปี 47 อยู่ที่ 34.7 ล้านคน เป็น 35.4 ล้านคนในปี 48 อย่างไรก็ตาม
นโยบายเศรษฐกิจไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า (2548 — 2551) จะต้องดำเนินการให้เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโต
อย่างต่อเนื่อง แต่ฐานะการคลังยั่งยืน งปม.สมดุล หนี้ต่อจีดีพีต่ำกว่าร้อยละ 50 ภาระหนี้ต่อ งปม. ไม่เกินร้อยละ 15
งบลงทุนต่อ งปม. ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ระดมเงินออมให้พอใช้ในการลงทุน ลดปัญหาการขาดดุลบัญชีเดิน
สะพัด และรักษาเสถียรภาพของราคาและค่าเงินให้มั่นคง (ผู้จัดการรายวัน)
4. ธปท. และ ธ.พาณิชย์จะหารือปรับลดค่าธรรมเนียมโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านตู้เอทีเอ็ม
นายสายัณห์ ปริวัตร ผอ.อาวุโส สายระบบชำระเงิน ธปท. กล่าวว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า ธปท. และ
ธ.พาณิชย์จะมีการประชุมหารือแนวทางการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านตู้เอทีเอ็ม เพื่อส่ง
เสริมให้มีการใช้บริการชำระเงินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยปัจจุบันประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโอน
เงินสูงถึง 35 บาทต่อการเงินโอนไม่เกิน 30,000 บาทต่อรายการ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการหารือร่วมกันมาแล้ว แต่
ต้องให้เวลา ธ.พาณิชย์เพื่อปรับตัว เนื่องจากค่าธรรมเนียมการโอนถือเป็นรายได้สำคัญของ ธ.พาณิชย์ อนึ่ง ก่อน
หน้านี้ ธปท. ระบุว่าปัจจุบันคนไทยยังใช้สื่อประเภทกระดาษ เช่น เงินสด และเช็ค ในการชำระเงินเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมีต้นทุนในการจัดการที่สูงกว่าการชำระด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขัน
ของไทยด้อยกว่าประเทศอื่นที่พัฒนาระบบการชำระเงินด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง ธปท. จะให้ความ
สำคัญกับการพัฒนาระบบการชำระเงินอย่างจริงจังต่อไป (มติชน, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การปฎิรูประบบภาษีธุรกิจของเยอรมนีจะมีผลในปี 50 รายงานจากเบอร์ลินเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 48
นาย Hans Eichel รมว.คลังเยอรมนีกล่าวว่า เยอรมนีกำลังดำเนินการปฎิรูประบบภาษีธุรกิจอย่างรวดเร็ว
เท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามการปฎิรูปดังกล่าวคาดว่าจะ
ยังไม่มีการบังคับใช้ก่อนปี 50 ทั้งนี้ได้มีการเรียกร้องให้มีการปฎิรูประบบภาษีธุรกิจอย่างเร่งด่วนหากรัฐบาลต้องการ
หามาตรการระยะสั้นในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกิจการต้องการให้รัฐจัดเก็บภาษี
ธุรกิจในอัตราที่ต่ำลงซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีที่เก็บจากกำไรของธุรกิจสูงกว่าร้อยละ 38 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในยุโรป
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการจัดเก็บภาษีธุรกิจในอัตราที่ต่ำลงจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจมีการลงทุนมากขึ้นซึ่งเป็นการ
กระตุ้นให้การจ้างงานขยายตัว และเป็นเป้าหมายทางการเมืองเนื่องจากเยอรมนีต้องการต่อสู้กับปัญหาการว่างงาน
ที่ทำสถิติสูงสุด (รอยเตอร์)
2. เดือน ม.ค.48 ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงร้อยละ 28.2 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียวเมื่อ 14 มี.ค.48 ก.คลัง เปิดเผยว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 เกินดุลลดลงร้อยละ 28.2
เทียบต่อปี อยู่ที่ระดับ 774.9 พัน ล.เยน (7.46 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนัก
เศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 17.5 หรือลดลงอยู่ที่ระดับ 890 พัน ล.เยน ในขณะที่เมื่อเทียบต่อ
เดือนดุลบัญชีเดินสะพัดหลังปรับฤดูกาลในเดือน ม.ค.48 เกินดุลลดลงร้อยละ 12.2 สำหรับดุลการค้าเกินดุลลดลง
ร้อยละ 46.3 เป็นจำนวน 357.6 พัน ล.เยน โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เป็นจำนวน 4.2107 ล้านล้าน
เยน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 เป็นจำนวน 3.8530 ล้านล้านเยน (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 รายงานจากโตเกียว เมื่อ 14 มี.ค.48
เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.1 ในไตรมาสสุดท้ายปี 47 ดีกว่าที่รัฐบาลและนักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะหดตัว
ร้อยละ 0.1 และ 0.2 ตามลำดับ โดยหากเทียบต่อปีแล้ว เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.5 จากที่รัฐบาลและ
นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะหดตัวร้อยละ 0.5 และ 0.6 ตามลำดับ โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 0.3
สองไตรมาสติดต่อกันตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 47 แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 47 จะขยายตัวสูงกว่าที่คาด
ไว้ แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกันเท่าไรนัก เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวใน
ระดับใกล้ร้อยละ 0 ทั้ง 3 ไตรมาส โดยเศรษฐกิจต้องขยายตัวร้อยละ 1.8 ในไตรมาสแรกปีนี้จึงจะทำให้
เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.1 ตามที่รัฐบาลคาดไว้ในปีงบประมาณ 47/48 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.48 นี้
ในขณะที่ยอดเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 46.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน มีจำนวน 357.6 พันล้านเยน โดยยอดส่งออก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 มีจำนวน 4.2107 ล้านล้านเยนและยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 มีจำนวน 3.8530 ล้าน
ล้านเยน แสดงให้เห็นว่าการส่งออกเริ่มชะลอตัวลงจากความต้องการในต่างประเทศที่ชะลอตัวลงโดยเฉพาะใน
สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (รอยเตอร์)
4. ยอดการใช้บัตรเครดิตของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี ขณะที่
เทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 8.2 รายงานจากโซล เมื่อ 13 มี.ค.48 รมว.คลังเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ยอด
การใช้บัตรเครดิตของเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 13.5 ล้านล้านวอน (13.5 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบต่อปี แต่เมื่อเทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 8.2 เนื่องจากเดือน ก.พ.
เป็นเดือนที่มีวันน้อยกว่าเดือน ม.ค. 2-3 วัน ส่วนยอดการใช้บัตรเครดิตสะสมใน 2 เดือนแรกของปี 48 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 11.7 ที่จำนวน 28.2 ล้านล้านวอนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ธุรกิจบัตรเครดิตในเกาหลีใต้
ได้เกิดปัญหาหนี้สูญเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อช่วงปลายปี 45
ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและธุรกิจซบเซา ส่งผลกระทบถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ (อันเป็น
ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในเอเชีย) อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีสัญญาณของการฟื้นตัว
ของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลางเกาหลีใต้เห็นว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะ
กระตุ้นในขณะนี้ โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในปีนี้จะอยู่ที่ระดับมากกว่าร้อยละ 4.0
ซึ่งผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ในปี 47 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.7 ทั้งนี้เมื่อเดือน ส.ค.และ พ.ย.ที่ผ่านมา ธ.
กลางเกาหลีใต้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เพื่อกระตุ้นความต้องการในประเทศให้เพิ่มขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 มี.ค. 48 11 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.316 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.1157/38.4099 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.98/15.06 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,050/8,150 8,000/8,100 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 45.54 44.56 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.09*/15.19** 22.09*/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 11 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--