1. สถานการณ์สินค้า
1. สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ราคาส่งออกสินค้าเกษตรไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง ทำให้ราคาสินค้าในประเทศไม่สูงตามค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ติดตามราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญในตลาดโลกตั้งแต่ปี 2540 ที่ค่าเงินบาทลอยตัวจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่า ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาล กาแฟ และเนื้อไก่แช่แข็งและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในอัตราร้อยละ 6.3 เป็นที่คาดหวังว่า ภาคเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของประชากรของประเทศ จะฟื้นตัวมีรายได้เพิ่มจากราคาที่สูงขึ้นจากคาเงินที่อ่อนตัวลงนั้น แต่ปรากฏว่าราคาส่งออกในรูปเงินบาทยังมีแนวโน้มลดลง ส่งผลกระทบต่อราคาเกษตรกรขายได้ลดลงไปด้วย ราคาส่งออกสินค้าเกษตรในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ถึงแม้จะสอดคล้องกับแนวโน้มราคาในตลาดโลก แต่ปรากฏว่ามีราคาลดลงมากกว่าค่าเงินที่อ่อนตัวลง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะผู้ส่งออกแข่งขันกันเอง ภาวะราคาส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบันสรุปได้ดังนี้
ข้าว ผลผลิตโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 2 แม้ว่าการค้าของโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ภาวะการแข่งขันในตลาดโลกโดยเฉพาะข้าวคุณภาพต่ำยังรุนแรง ทำให้ราคาในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี.ข้าวไทยลดลงในรูปเงินดอลลาร์ลดลงจากตันละ 337 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 14.5 ราคาส่งออกข้าวไทยในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 10,499 บาท เป็น 8,493 บาท และจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ส่งผลให้ราคาลดลงร้อยละ 8.8 ลดลงต่ำกว่าราคาในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 6 ตามอัตราค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในระยะเดียวกัน
ยางพารา ราคาส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงจากตันละ 988.12 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2540 เป็น 687.38 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 11.5 ส่วนในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 30,780 บาท เป็น 26,650 บาท หรือลดลงร้อยละ 6.3 ราคาส่งออกลดลงเนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
น้ำตาล กาแฟ ผลผลิตของโลกเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำตาลมีมากกว่าความต้องการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ขณะที่สต็อกมีจำนวนมาก ผู้ผลิตรายใหญ่ ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล มีการขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำ ราคาส่งออกน้ำตาลไทยรูปเงินดอลลาร์ลดลงจากตันละ 251.49 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 152.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 18.3 ในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 7,834 บาท เป็น 6,036 บาท หรือลดลงร้อยละ 12.9 สำหรับกาแฟ ราคาส่งออก ลดลงตันละ 1,030.51 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2540 เป็น 754.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 9.5 และลดลงในรูปเงินบาทจากตันละ 32,090 บาท เป็น 29,930 บาท หรือลดลงร้อยละ 3.51
ผลไม้ ได้แก่ สับปะรด ลำไย และทุเรียน โดยผลผลิตสับปะรดของโลกเพิ่มขึ้น ส่วนลำไยผลผลิตประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าสำคัญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2543 ประกอบกับผลผลิตลำไยในประเทศได้ผลผลิตจำนวนมาก ทำให้ราคาส่งออกตกต่ำราคาส่งออกของสับปะรดลดลงจาก 707.77 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2540 เป็น 438.91 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 14.35 และลดลงในรูปของเงินบาทจากตันละ 22,040 บาท เป็น 17,460 บาท หรือลดลงร้อยละ 8.61 ลำไยลดลงจากตันละ 833.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 530.17 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 18.71 และลดลงในรูปของเงินบาทจากตันละ 25,970 บาท เป็น 21,090 บาท หรือร้อยละ 13.26 สำหรับทุเรียน เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตสำคัญและไม่มีคู่แข่ง แนวโน้มราคาส่งออกเพิ่มขึ้นจากตันละ 494.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 516.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.63 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทจากตันละ 15,930 บาท เป็น 20,550 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.27
เนื้อไก่ แนวโน้มราคาส่งออกลดลงโดยเฉพาะในปี 2542 ตลาดส่งออกมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะบราซิลซึ่งเป็นคู่แข่งประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง ทำให้ราคาในตลาดโลกตกต่ำมาก ทำให้ราคาในตลาดโลกตกต่ำมาก ราคาส่งออกเนื้อไก่ลดลงจากตันละ 2,353 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 10.45 และลดลงในรูปของเงินบาท จากตันละ 71,959 บาท เป็น 63,937 บาท หรือลดลงร้อยละ 4.50
กุ้งกุลาดำ ถึงแม้ราคาส่งออกในรูปเงินดอลล่าร์ในปี 2543 จะมีราคาสูงขึ้นจากปี 2542 ซึ่งเป็นปีที่ราคาในตลาดโลกตกต่ำมากโดยมีสาเหตุจากผลผลิตของโลก โดยเฉพาะอินเดีย และอินโดนีเซียมีจำนวนมาก แต่แนวโน้มในภาพรวมตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาราคาก็ลดลงจากตันละ 10,924 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 10,408 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 3.53 แต่ในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้นจากตันละ 339,910 บาท เป็น 409,470 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.25 จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรที่มูลค่าส่งออกมากอีกชนิดหนึ่ง คือ กล้วยไม้ ที่ส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลหวายคู่แข่งมีน้อย มีแนวโน้มราคาส่งออกทั้งในรูปเงินดอลลาร์ และเงินบาทสูงขึ้นทั้งที่ตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ สหภาพยุโรปได้ลดลง แต่ก็สามารถขยายตลาดส่งออกไปตลาดใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่มากกว่าส่วนที่ลดลง กล่าวคือ ราคาส่งออกรูปเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,734 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 2,541 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.91 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทจากตันละ 71,125 บาท เป็น 100,849 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.91
ถั่วเหลือง : การตกลงซื้อขายถั่วเหลืองระหว่างสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าวกับสหกรณ์การเกษตรผู้ปลูกถั่วเหลือง
สืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่น มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์และแจ้งให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองรับทราบมาตราการที่กำหนดให้ผู้นำเข้าถั่วเหลืองรับซื้อถั่วเหลืองจากเกษตรกรในราคาขั้นต่ำที่กำหนด และประสานงานกับผู้นำเข้าให้ออกไปรับซื้อ ณ แหล่งผลิตของสมาชิกโดยตรงนั้น สำนักงาน-เศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการได้จัดประชุมเจรจาหารือข้อตกลงในการรับซื้อระหว่างกลุ่มผู้นำเข้าซึ่งได้แก่ สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองไปแล้ว 3 ครั้ง สรุปได้ว่า กลุ่มผู้นำเข้ายินดีให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรติดต่อซื้อขายกับกลุ่มผู้นำเข้าได้โดยตรง
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าวซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ได้จัดประชุมกับสหกรณ์ผู้ปลูกถั่วเหลืองเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการ และหลักเกณฑ์การรับซื้อให้สหกรณ์ทราบ ปรากฎว่ามีสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมประชุม 11 สหกรณ์ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นหน่วยงานประสานงาน มีสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมได้แก่ สหกรณ์หนองไผ่ สหกรณ์สันป่าตอง สหกรณ์เวียงสา สหกรณ์ลานสัก สหกรณ์ทับเสลา สหกรณ์เมืองเลย สหกรณ์นาด้วง สหกรณ์วังสะพุง สหกรณ์ร้องกวาง สหกรณ์เมืองพิชัย และสหกรณ์อำเภอลานกระบือ ผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการดำเนินการ
- เพื่อสนองนโยบายของทางราชการ ที่จะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองสามารถขายเมล็ดถั่วเหลืองได้ในราคาเป้าหมายขั้นต่ำ
- เพื่อให้สมาชิกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง รับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกรได้โดยตรงและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
2. มาตรฐานคุณภาพเมล็ดถั่วเหลืองที่สมาคมรับซื้อในราคาเป้าหมายขั้นต่ำกิโลกรัมละ 11.00 บาท ณ หน้าโรงงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ความชื้นไม่กิน 13.0% สิ่งเจือปนไม่เกิน 3.0% เมล็ดเสียไม่เกิน 5.0%
3. สหกรณ์ที่เข้าร่วมประชุมบางสหกรณ์ที่ยังไม่เคยติดต่อซื้อขายกับสมาคม สหกรณ์รับจะกลับไปหารือในการประชุมคณะกรรมการสหกรณ์ และจะแจ้งกลับมาให้ทราบประมาณปลายเดือนธันวาคม สำหรับสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจกับสมาคมอยู่แล้ว เช่น สหกรณ์ลานสัก สหกรณ์ร้องกวาง ขอให้สมาคมแจ้งราคาให้สหกรณ์ทราบล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้ากว้านซื้อก่อนและขอให้สมาคมปรับค่าขนส่งให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งสมาคมยินดีรับไปพิจารณา
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 47 ประจำวันที่ 4-10 ธ.ค. 2543--
-สส-
1. สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ราคาส่งออกสินค้าเกษตรไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง ทำให้ราคาสินค้าในประเทศไม่สูงตามค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ติดตามราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญในตลาดโลกตั้งแต่ปี 2540 ที่ค่าเงินบาทลอยตัวจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่า ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาล กาแฟ และเนื้อไก่แช่แข็งและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในอัตราร้อยละ 6.3 เป็นที่คาดหวังว่า ภาคเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของประชากรของประเทศ จะฟื้นตัวมีรายได้เพิ่มจากราคาที่สูงขึ้นจากคาเงินที่อ่อนตัวลงนั้น แต่ปรากฏว่าราคาส่งออกในรูปเงินบาทยังมีแนวโน้มลดลง ส่งผลกระทบต่อราคาเกษตรกรขายได้ลดลงไปด้วย ราคาส่งออกสินค้าเกษตรในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ถึงแม้จะสอดคล้องกับแนวโน้มราคาในตลาดโลก แต่ปรากฏว่ามีราคาลดลงมากกว่าค่าเงินที่อ่อนตัวลง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะผู้ส่งออกแข่งขันกันเอง ภาวะราคาส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบันสรุปได้ดังนี้
ข้าว ผลผลิตโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 2 แม้ว่าการค้าของโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ภาวะการแข่งขันในตลาดโลกโดยเฉพาะข้าวคุณภาพต่ำยังรุนแรง ทำให้ราคาในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี.ข้าวไทยลดลงในรูปเงินดอลลาร์ลดลงจากตันละ 337 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 14.5 ราคาส่งออกข้าวไทยในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 10,499 บาท เป็น 8,493 บาท และจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ส่งผลให้ราคาลดลงร้อยละ 8.8 ลดลงต่ำกว่าราคาในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 6 ตามอัตราค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในระยะเดียวกัน
ยางพารา ราคาส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงจากตันละ 988.12 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2540 เป็น 687.38 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 11.5 ส่วนในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 30,780 บาท เป็น 26,650 บาท หรือลดลงร้อยละ 6.3 ราคาส่งออกลดลงเนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
น้ำตาล กาแฟ ผลผลิตของโลกเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำตาลมีมากกว่าความต้องการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ขณะที่สต็อกมีจำนวนมาก ผู้ผลิตรายใหญ่ ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล มีการขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำ ราคาส่งออกน้ำตาลไทยรูปเงินดอลลาร์ลดลงจากตันละ 251.49 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 152.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 18.3 ในรูปเงินบาทลดลงจากตันละ 7,834 บาท เป็น 6,036 บาท หรือลดลงร้อยละ 12.9 สำหรับกาแฟ ราคาส่งออก ลดลงตันละ 1,030.51 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2540 เป็น 754.18 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 9.5 และลดลงในรูปเงินบาทจากตันละ 32,090 บาท เป็น 29,930 บาท หรือลดลงร้อยละ 3.51
ผลไม้ ได้แก่ สับปะรด ลำไย และทุเรียน โดยผลผลิตสับปะรดของโลกเพิ่มขึ้น ส่วนลำไยผลผลิตประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าสำคัญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2543 ประกอบกับผลผลิตลำไยในประเทศได้ผลผลิตจำนวนมาก ทำให้ราคาส่งออกตกต่ำราคาส่งออกของสับปะรดลดลงจาก 707.77 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2540 เป็น 438.91 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 14.35 และลดลงในรูปของเงินบาทจากตันละ 22,040 บาท เป็น 17,460 บาท หรือลดลงร้อยละ 8.61 ลำไยลดลงจากตันละ 833.98 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 530.17 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 18.71 และลดลงในรูปของเงินบาทจากตันละ 25,970 บาท เป็น 21,090 บาท หรือร้อยละ 13.26 สำหรับทุเรียน เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตสำคัญและไม่มีคู่แข่ง แนวโน้มราคาส่งออกเพิ่มขึ้นจากตันละ 494.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 516.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.63 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทจากตันละ 15,930 บาท เป็น 20,550 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.27
เนื้อไก่ แนวโน้มราคาส่งออกลดลงโดยเฉพาะในปี 2542 ตลาดส่งออกมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะบราซิลซึ่งเป็นคู่แข่งประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง ทำให้ราคาในตลาดโลกตกต่ำมาก ทำให้ราคาในตลาดโลกตกต่ำมาก ราคาส่งออกเนื้อไก่ลดลงจากตันละ 2,353 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 10.45 และลดลงในรูปของเงินบาท จากตันละ 71,959 บาท เป็น 63,937 บาท หรือลดลงร้อยละ 4.50
กุ้งกุลาดำ ถึงแม้ราคาส่งออกในรูปเงินดอลล่าร์ในปี 2543 จะมีราคาสูงขึ้นจากปี 2542 ซึ่งเป็นปีที่ราคาในตลาดโลกตกต่ำมากโดยมีสาเหตุจากผลผลิตของโลก โดยเฉพาะอินเดีย และอินโดนีเซียมีจำนวนมาก แต่แนวโน้มในภาพรวมตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาราคาก็ลดลงจากตันละ 10,924 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 10,408 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือลดลงร้อยละ 3.53 แต่ในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้นจากตันละ 339,910 บาท เป็น 409,470 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.25 จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรที่มูลค่าส่งออกมากอีกชนิดหนึ่ง คือ กล้วยไม้ ที่ส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลหวายคู่แข่งมีน้อย มีแนวโน้มราคาส่งออกทั้งในรูปเงินดอลลาร์ และเงินบาทสูงขึ้นทั้งที่ตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ สหภาพยุโรปได้ลดลง แต่ก็สามารถขยายตลาดส่งออกไปตลาดใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้นในปริมาณที่มากกว่าส่วนที่ลดลง กล่าวคือ ราคาส่งออกรูปเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากตันละ 1,734 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2540 เป็น 2,541 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.91 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทจากตันละ 71,125 บาท เป็น 100,849 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.91
ถั่วเหลือง : การตกลงซื้อขายถั่วเหลืองระหว่างสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าวกับสหกรณ์การเกษตรผู้ปลูกถั่วเหลือง
สืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่น มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์และแจ้งให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองรับทราบมาตราการที่กำหนดให้ผู้นำเข้าถั่วเหลืองรับซื้อถั่วเหลืองจากเกษตรกรในราคาขั้นต่ำที่กำหนด และประสานงานกับผู้นำเข้าให้ออกไปรับซื้อ ณ แหล่งผลิตของสมาชิกโดยตรงนั้น สำนักงาน-เศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการได้จัดประชุมเจรจาหารือข้อตกลงในการรับซื้อระหว่างกลุ่มผู้นำเข้าซึ่งได้แก่ สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองไปแล้ว 3 ครั้ง สรุปได้ว่า กลุ่มผู้นำเข้ายินดีให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรติดต่อซื้อขายกับกลุ่มผู้นำเข้าได้โดยตรง
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าวซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ได้จัดประชุมกับสหกรณ์ผู้ปลูกถั่วเหลืองเพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการ และหลักเกณฑ์การรับซื้อให้สหกรณ์ทราบ ปรากฎว่ามีสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมประชุม 11 สหกรณ์ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นหน่วยงานประสานงาน มีสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมได้แก่ สหกรณ์หนองไผ่ สหกรณ์สันป่าตอง สหกรณ์เวียงสา สหกรณ์ลานสัก สหกรณ์ทับเสลา สหกรณ์เมืองเลย สหกรณ์นาด้วง สหกรณ์วังสะพุง สหกรณ์ร้องกวาง สหกรณ์เมืองพิชัย และสหกรณ์อำเภอลานกระบือ ผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการดำเนินการ
- เพื่อสนองนโยบายของทางราชการ ที่จะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองสามารถขายเมล็ดถั่วเหลืองได้ในราคาเป้าหมายขั้นต่ำ
- เพื่อให้สมาชิกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง รับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกรได้โดยตรงและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
2. มาตรฐานคุณภาพเมล็ดถั่วเหลืองที่สมาคมรับซื้อในราคาเป้าหมายขั้นต่ำกิโลกรัมละ 11.00 บาท ณ หน้าโรงงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ความชื้นไม่กิน 13.0% สิ่งเจือปนไม่เกิน 3.0% เมล็ดเสียไม่เกิน 5.0%
3. สหกรณ์ที่เข้าร่วมประชุมบางสหกรณ์ที่ยังไม่เคยติดต่อซื้อขายกับสมาคม สหกรณ์รับจะกลับไปหารือในการประชุมคณะกรรมการสหกรณ์ และจะแจ้งกลับมาให้ทราบประมาณปลายเดือนธันวาคม สำหรับสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจกับสมาคมอยู่แล้ว เช่น สหกรณ์ลานสัก สหกรณ์ร้องกวาง ขอให้สมาคมแจ้งราคาให้สหกรณ์ทราบล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้ากว้านซื้อก่อนและขอให้สมาคมปรับค่าขนส่งให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งสมาคมยินดีรับไปพิจารณา
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 47 ประจำวันที่ 4-10 ธ.ค. 2543--
-สส-