สรุปข่าวในประเทศ
1. ธปท.ประเมินประโยชน์ของดอกเบี้ยต่ำ นายปกรณ์มาลากุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังการผลิตยังมีเหลือมาก และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์เช่นปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยต่ำน่าจะเป็นประโยชน์กว่าอัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเหตุผลดังนี้ (1) ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยกระตุ้นให้การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวมากขึ้น (2) ช่วยลดภาระดอกเบี้ยของภาคธุรกิจได้มาก (3) จูงใจให้ลูกหนี้ชำระคืนหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ทำให้งบการเงินของผู้กู้และสถาบันการเงินในประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากนโยบายการเงินจะมี time lag ระยะหนึ่งกว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยเฉพาะในภาวะที่สถาบันการเงินเพิ่งฟื้นจากวิกฤตที่หนักหน่วง และถ้าจะให้นโยบายการเงินได้ผลเต็มที่ ต้องแก้ปัญหาตัวกลางทางการเงินหรือสถาบันการเงินต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติโดยเร็ว (วัฏจักร 16)
2. ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ธปท.เปิดเผยว่า ธปท.ได้ออกมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากสถาบันการเงินในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากเดิมอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.44 และกำหนดให้ใช้เงินช่วยเหลือตามโครงการภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นอกจากนี้ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในภาคใต้เมื่อเดือน พ.ย.43 โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อขายแทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีเอ็มแอลอาร์ของ ธพ.ที่ขายตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นลบด้วยร้อยละ 2.75 และกรณีของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ ธพ.ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ตามประกาศของ ธพ. 4 แห่งคือ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ โดยเฉลี่ยลบด้วยร้อยละ 2.75 และ ธปท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินที่รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินในอัตราร้อยละ 1 สำหรับจำนวนเงินที่รับซื้อ (กรุงเทพธุรกิจ 16)
3. ธปท.แสดงความเห็นเกี่ยวกับแผนแม่บทสถาบันการเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า กรณีที่ประธานสมาคมธนาคารไทยเสนอให้มีการกำหนดแผนแม่บทที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างของสถาบันการเงิน โดยกำหนดจำนวนสถาบันการเงินว่าควรมีมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ธปท.เห็นด้วยและกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทย และไม่สามารถยกเลิกสิ่งที่มีอยู่เดิมได้ นอกจากนี้ ต้องการให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาบทบาทของสถาบันการเงินในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง หากให้สถาบันการเงินมีภาระดังกล่าวอีก จะยิ่งทำให้ความมั่นคงลดลง และเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ทางการควรให้องค์กรอื่นเข้ามามีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจแทน เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือตั้งเป็นองค์กรใหม่ขึ้นมารับผิดชอบ หรืออาจจัดเป็นโครงการพิเศษช่วยเหลือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วปฏิบัติผ่านสถาบันการเงิน โดยให้รัฐบาลค้ำประกัน (ไทยโพสต์ 16)
ข่าวต่างประเทศ
1. การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย. 43 รายงานจากโตเกียวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 44 ก.คลัง ญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เดือน พ.ย. 43 ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน อยู่ที่มูลค่า 972.2 พัน ล. เยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 จากมูลค่า 769.3 พัน ล. เยน ในเดือน พ.ย. 42 หลังจากที่เกินดุลมูลค่า 769.1 พัน ล. เยน ในเดือน ต.ค. 43 เนื่องจากได้รับแรงเกื้อหนุนจากการลงทุนต่างประเทศที่กลับเพิ่มขึ้น แต่การเกินดุลการค้าลดลง เนื่องจากการส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของ สรอ. และเอเชียที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. 43 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าอยู่ที่มูลค่า 772.5 พัน ล. เยน ลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับเดือน พ.ย. 42 ที่มีมูลค่า 803.8 พัน ล. เยน ซึ่งเป็นผลจากอัตราการเติบโตของการนำเข้าที่สูงกว่าการส่งออก โดยยอดการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 ขณะที่ การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 จากระยะเดียวกันของปี 42 (รอยเตอร์ 15)
2. ดัชนี PMI ของ สรอ. ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 44.3 ในเดือน ธ.ค.43 รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 15 ม.ค.44 National Association of Purchasing Management (NAPM) รายงานว่า ได้ปรับเพิ่มดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) ในเดือน ธ.ค.43 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.3 จากตัวเลขเดิม 43.7 ทั้งนี้ ดัชนี PMI ใช้เป็นเครื่องวัดภาวะอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ. และการปรับตัวเลขดัชนีฯ ดังกล่าวเป็นการปรับตามการปรับปัจจัยฤดูกาลประจำปีซึ่งกำหนดโดย ก.พาณิชย์ สรอ. อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีฯ ในเดือน ธ.ค.43 จะถูกปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเดือน พ.ย.43 มาก โดยดัชนีฯ ในเดือน พ.ย.43 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 47.9 จากเดิมอยู่ที่ระดับ 47.7 นอกจากนั้น ในเดือน ธ.ค.43 ยังนับว่า ดัชนีฯ อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งดัชนีฯ ที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ชี้ว่า อุตสาหกรรมการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว แต่ดัชนีฯ ในเดือน ธ.ค. ยังคงอยู่เหนือระดับ 42 ซึ่งหากดัชนีฯ ลดลงอยู่ที่ระดับนี้ จะหมายถึงอุตสาหกรรมการผลิตอยู่ในภาวะถดถอย (รอยเตอร์ 15)
3. ยอดขายปลีกของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในเดือน พ.ย. 43 ตามราคาที่แท้จริงเมื่อเทียบต่อปี รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ตเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 44 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า เดือน พ.ย. 43 ยอดขายปลีกของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ตามราคาที่แท้จริงเมื่อมีการปรับตัวเลขเงินเฟ้อแล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ตามราคาที่เป็นตัวเงินเมื่อเทียบต่อปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาตร์จากรอยเตอร์ได้คาดไว้ว่า ยอดขายปลีกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.1 ตามราคาที่แท้จริงและร้อยละ 0.2 ตามราคาที่เป็นตัวเงิน ขณะเดียวกัน ในเดือน พ.ย. 43 ยอดขายปลีก ที่ปรับฤดูกาล เมื่อเทียบต่อเดือน ลดลงร้อยละ 1.3 ตามราคาที่แท้จริง และลดลงร้อยละ 1.0 ตามราคาที่เป็นตัวเงิน สำหรับการบริโภคส่วนบุคคลในปี 43 ขยายตัวร้อยละ 1.9 ชะลอตัวลงจากที่เติบโตร้อยละ 2.6 ในปี 42 เนื่องจากราคาปิโตรเลียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การบริโภคฯจะเติบโตเพิ่มขึ้นที่ประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 44 เนื่องจากได้รับการกระตุ้นจากภาษีและการว่างงานที่ลดลง (รอยเตอร์ 15)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์ สรอ.ระหว่างธนาคาร ณ สิ้นวันทำการ 15ม.ค.44 43.502 (43.503)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ที่ ธพ.ซื้อขายกับลูกค้า(ตั๋วเงิน) ณ สิ้นวันทำการ 15 ม.ค. 44
ซื้อ 43.3157 (43.3270) ขาย 43.6187 (43.6256)
ทองคำแท่ง(บาทละ) ซื้อ 5,400 (5,400) ขาย 5,500 (5,500)
น้ำมันดิบ(ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล) โอมาน 22.36 (22.82)
น้ำมันเบนซินพิเศษ(เพอร์ฟอร์มาโกลด์) 15.89 (15.89) ดีเซลหมุนเร็ว 13.64 (13.64)
หมายเหตุ ตัวเลขในวงเล็บเป็นตัวเลขของวันก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.ประเมินประโยชน์ของดอกเบี้ยต่ำ นายปกรณ์มาลากุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังการผลิตยังมีเหลือมาก และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์เช่นปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยต่ำน่าจะเป็นประโยชน์กว่าอัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเหตุผลดังนี้ (1) ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยกระตุ้นให้การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวมากขึ้น (2) ช่วยลดภาระดอกเบี้ยของภาคธุรกิจได้มาก (3) จูงใจให้ลูกหนี้ชำระคืนหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ทำให้งบการเงินของผู้กู้และสถาบันการเงินในประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากนโยบายการเงินจะมี time lag ระยะหนึ่งกว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยเฉพาะในภาวะที่สถาบันการเงินเพิ่งฟื้นจากวิกฤตที่หนักหน่วง และถ้าจะให้นโยบายการเงินได้ผลเต็มที่ ต้องแก้ปัญหาตัวกลางทางการเงินหรือสถาบันการเงินต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติโดยเร็ว (วัฏจักร 16)
2. ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ธปท.เปิดเผยว่า ธปท.ได้ออกมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากสถาบันการเงินในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากเดิมอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.44 และกำหนดให้ใช้เงินช่วยเหลือตามโครงการภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นอกจากนี้ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในภาคใต้เมื่อเดือน พ.ย.43 โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อขายแทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีเอ็มแอลอาร์ของ ธพ.ที่ขายตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นลบด้วยร้อยละ 2.75 และกรณีของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ ธพ.ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ตามประกาศของ ธพ. 4 แห่งคือ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ โดยเฉลี่ยลบด้วยร้อยละ 2.75 และ ธปท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินที่รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินในอัตราร้อยละ 1 สำหรับจำนวนเงินที่รับซื้อ (กรุงเทพธุรกิจ 16)
3. ธปท.แสดงความเห็นเกี่ยวกับแผนแม่บทสถาบันการเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า กรณีที่ประธานสมาคมธนาคารไทยเสนอให้มีการกำหนดแผนแม่บทที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างของสถาบันการเงิน โดยกำหนดจำนวนสถาบันการเงินว่าควรมีมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ธปท.เห็นด้วยและกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทย และไม่สามารถยกเลิกสิ่งที่มีอยู่เดิมได้ นอกจากนี้ ต้องการให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาบทบาทของสถาบันการเงินในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง หากให้สถาบันการเงินมีภาระดังกล่าวอีก จะยิ่งทำให้ความมั่นคงลดลง และเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ทางการควรให้องค์กรอื่นเข้ามามีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจแทน เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือตั้งเป็นองค์กรใหม่ขึ้นมารับผิดชอบ หรืออาจจัดเป็นโครงการพิเศษช่วยเหลือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วปฏิบัติผ่านสถาบันการเงิน โดยให้รัฐบาลค้ำประกัน (ไทยโพสต์ 16)
ข่าวต่างประเทศ
1. การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย. 43 รายงานจากโตเกียวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 44 ก.คลัง ญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เดือน พ.ย. 43 ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน อยู่ที่มูลค่า 972.2 พัน ล. เยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 จากมูลค่า 769.3 พัน ล. เยน ในเดือน พ.ย. 42 หลังจากที่เกินดุลมูลค่า 769.1 พัน ล. เยน ในเดือน ต.ค. 43 เนื่องจากได้รับแรงเกื้อหนุนจากการลงทุนต่างประเทศที่กลับเพิ่มขึ้น แต่การเกินดุลการค้าลดลง เนื่องจากการส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของ สรอ. และเอเชียที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. 43 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าอยู่ที่มูลค่า 772.5 พัน ล. เยน ลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับเดือน พ.ย. 42 ที่มีมูลค่า 803.8 พัน ล. เยน ซึ่งเป็นผลจากอัตราการเติบโตของการนำเข้าที่สูงกว่าการส่งออก โดยยอดการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 ขณะที่ การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 จากระยะเดียวกันของปี 42 (รอยเตอร์ 15)
2. ดัชนี PMI ของ สรอ. ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 44.3 ในเดือน ธ.ค.43 รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 15 ม.ค.44 National Association of Purchasing Management (NAPM) รายงานว่า ได้ปรับเพิ่มดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) ในเดือน ธ.ค.43 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.3 จากตัวเลขเดิม 43.7 ทั้งนี้ ดัชนี PMI ใช้เป็นเครื่องวัดภาวะอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ. และการปรับตัวเลขดัชนีฯ ดังกล่าวเป็นการปรับตามการปรับปัจจัยฤดูกาลประจำปีซึ่งกำหนดโดย ก.พาณิชย์ สรอ. อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีฯ ในเดือน ธ.ค.43 จะถูกปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเดือน พ.ย.43 มาก โดยดัชนีฯ ในเดือน พ.ย.43 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 47.9 จากเดิมอยู่ที่ระดับ 47.7 นอกจากนั้น ในเดือน ธ.ค.43 ยังนับว่า ดัชนีฯ อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งดัชนีฯ ที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ชี้ว่า อุตสาหกรรมการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว แต่ดัชนีฯ ในเดือน ธ.ค. ยังคงอยู่เหนือระดับ 42 ซึ่งหากดัชนีฯ ลดลงอยู่ที่ระดับนี้ จะหมายถึงอุตสาหกรรมการผลิตอยู่ในภาวะถดถอย (รอยเตอร์ 15)
3. ยอดขายปลีกของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในเดือน พ.ย. 43 ตามราคาที่แท้จริงเมื่อเทียบต่อปี รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ตเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 44 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า เดือน พ.ย. 43 ยอดขายปลีกของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ตามราคาที่แท้จริงเมื่อมีการปรับตัวเลขเงินเฟ้อแล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ตามราคาที่เป็นตัวเงินเมื่อเทียบต่อปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาตร์จากรอยเตอร์ได้คาดไว้ว่า ยอดขายปลีกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.1 ตามราคาที่แท้จริงและร้อยละ 0.2 ตามราคาที่เป็นตัวเงิน ขณะเดียวกัน ในเดือน พ.ย. 43 ยอดขายปลีก ที่ปรับฤดูกาล เมื่อเทียบต่อเดือน ลดลงร้อยละ 1.3 ตามราคาที่แท้จริง และลดลงร้อยละ 1.0 ตามราคาที่เป็นตัวเงิน สำหรับการบริโภคส่วนบุคคลในปี 43 ขยายตัวร้อยละ 1.9 ชะลอตัวลงจากที่เติบโตร้อยละ 2.6 ในปี 42 เนื่องจากราคาปิโตรเลียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การบริโภคฯจะเติบโตเพิ่มขึ้นที่ประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 44 เนื่องจากได้รับการกระตุ้นจากภาษีและการว่างงานที่ลดลง (รอยเตอร์ 15)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์ สรอ.ระหว่างธนาคาร ณ สิ้นวันทำการ 15ม.ค.44 43.502 (43.503)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ที่ ธพ.ซื้อขายกับลูกค้า(ตั๋วเงิน) ณ สิ้นวันทำการ 15 ม.ค. 44
ซื้อ 43.3157 (43.3270) ขาย 43.6187 (43.6256)
ทองคำแท่ง(บาทละ) ซื้อ 5,400 (5,400) ขาย 5,500 (5,500)
น้ำมันดิบ(ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล) โอมาน 22.36 (22.82)
น้ำมันเบนซินพิเศษ(เพอร์ฟอร์มาโกลด์) 15.89 (15.89) ดีเซลหมุนเร็ว 13.64 (13.64)
หมายเหตุ ตัวเลขในวงเล็บเป็นตัวเลขของวันก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-