_ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ การแก้ปัหาผู้ชุมนุมเขื่อนราษีไศล_ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงความรับผิดชอบ และการแก้ปัญ หาผู้ชุมนุมเรียกร้องกรณีเขื่อนราษีไศลว่า ตนได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและพบปะกับกลุ่มผู้ประท้วงที่บริเวณเขื่อนปากมูล แล้ว ซึ่งส่วนใหญ ่ผู้ประท้วงนั้นเป็นกลุ่มที่ได้รับเงินค่าชดเชยกันไปเรียบร้อยแล้ว สาเหตุที่ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ยังคงปักหลักประท้วงอยู่นั้นจากการที่ตนได้ไป สอบถามแล้วก็ได้รับคำตอบว่าต้องการให้คืนหน้าดินให้เพื่อทำการเกษตร ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ได้แจ้งไปว่าจะต้องมีการหารือกันอีกหลายหน่วยงาน และ สำหรับผู้ที่รับเงินค่าชดเชยไปแล้วนั้นตนคิดว่าเอาคืนคงเป็นไปได้ยากเพราะ ชาวบ้านคงใช้เงินไปหมดแล้ว แต่เรื่องนี้ก็คงจะต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฏหมายที่จะดำเนินการต่อไป ตนก็คงจะต้องดูแลในส่วนที่กระทรวงวิทย์ฯรับผิดชอบ จากการเดินทางไปตรวจสอบครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่าตนจะพยามนำเอาข้อสรุปไปนำเสนอเป็นแนวความคิดว่าควรจะนำเดินไปอย่างไ ร ซึ่งเดิมนั้นน้ำท่วมพื้นที่ไปทั้งหมดทำให้ไม่ทราบว่าเป็นที่ของใครบ้างเพร าะซ้อนกันอยู่ ก็มีการเสนอว่าให้เปิดน้ำทั้งหมดเพื่อทำการรังวัดใหม่ว่าที่เป็นของใครบ้า ง แต่ตนได้เสนอว่าให้มีการตั้งกรรมการระดับอำเภอ ซึ่งขณะนี้มี 8 กลุ่ม ก็แบ่งเป็น 8 คณะ แต่ละคณะก็เป็นกรรมการว่ากันเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นชุดเดียวแล้วพิจารณาว่าจริงหรือไม่จริง มีกลุ่มไหนบ้างที่ซ้อนกันอยู่ แต่ตนคิดว่าคนที่สามารถบอกได้ดีที่สุดก็คือ อบต. กำนัน ผู้ให่บ้าน แต่ละตำบล เพราะคนเหล่านี้จะอยู่ในพื้นที่และจะเป็นคนชี้ว่าใครถูกใครผิดอย่างไร ซึ่งตนคิดว่าน่าจะชอบธรรมกว่าการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ลงไปพิสูจน์ ซึ่งถ้าตกลงตามนี้ ตนก็เสนอไปว่าทางกระทรวงวิทยาศาสตร์จะมีแผนที่ มีระวาง มีข้อมูลชื่อผู้ร้องเรียนว่าใครซ้อนกันอยู่ตรงไหนบ้าง แล้ว อบต. กำนัน ผู้ให่บ้าน ก็ตัดสินมาว่าใครเป็นใครและใครผิดใครถูก คนผิดก็ตัดออกไป ซึ่งวิธีนี้ชาวบ้านส่วนให่ก็ยอมรับ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าทำสามารถพิสูจน์ได้เร็วรัฐบาลเองมีเจตนาที่จ่ายอยู่แล้วม ีมติครม.อยู่แล้ว ใครเข้าข่ายและสามารเคลียร์ได้ก็ไม่มีปัหา ซึ่งอาจจะไปซ้อนกับกลุ่มที่ได้รับเงินไปแล้ว แต่ตนก็คิดว่ายังมีทางออก ใครที่ยังไม่ได้และควรจะได้รับเงินก็จ่ายไป ผู้ที่จ่ายไปแล้วก็จะต้องพิจารณาว่าจะได้รับความร่วมมือคืนหรือจะดำเนินคด ีต่อไป ดร.อาทิตย์ กล่าวต่อไปว่ายังมีบางกลุ่มสมัชชาคนจนที่รวมกลุ่มอยู่บนหัวฝายที่ต้องการใ ห้เปิดประตูฝายให้น้ำผ่านซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับเงินไปแล้ว ตนคิดว่าทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนที่ได้ป ระโยชน์จากน้ำที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งเรื่องนี้ตนจะสรุปสถานการณ์นี้ทั้งหมดภายใน 2 สัปดาห์ วันที 30 มิ.ย.ตนจะนัดมาพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งพร้อม ๆ กันว่าตนมีแนวคิดที่จะเสนอว่าอย่างไร เพราะว่ามี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบนเขื่อนไม่ต้องการเงินชดเชยแต่ต้องการให้เปิดฝาย ส่วนอีกกลุ่มต้องการเงินชดเชยไม่ต้องการให้เปิดฝาย ซึ่งถ้าเปิดฝายก็ไม่ต้องชดเชยเพราะไม่มีฝายแล้ว แต่ตนคิดว่าควรจะพบกันครึ่งทางคือจะเปิดฝายในฤดูแล้ง และปิดฝายในฤดูฝน ใครได้รับผลกระทบจากการเปิดฝายก็จะมาสรุปกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะทำปีเดียว ไม่ทัน สำหรับเรื่องการออกหมายจับไปว่าผู้ที่รับเงินไปโดยไม่มีสิทธินั้นเรื่องนี ้เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งจะต้องใช้หลักนิติศาสตร์บวกหลักรัฐศาสตร์ถ้าพิสูจ น์ได้ว่าเขารับตามมติครม.แต่ก็ไม่ผิด จะต้องคืนเงินหรือไม่ก็เป็นเรื่องของกฏหมาย ซึ่งทางด้านคุณไพจิตรก็มีภาระกิจตามกลุ่มของเขาตนก็จะพิจารณาตามเหตุผลของ ชาวบ้านก็ต้องดูความเหมาะสมของบ้านเมืองด้วย.--จบ--