วันนี้(4 ธ.ค.48) เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการจัดสัมมนาสาขาพรรคภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวสังเคราะห์การระดมพลังความคิดของสาขาพรรค ว่าเป้าหมายของการจัดประชุมสัมมนาครั้งนี้ เพื่อที่จะใช้สาขาพรรคในภาคใต้ให้ช่วยทำหน้าที่แทนส.ส. เพื่อให้ส.ส.ในภาคใต้ได้มีโอกาสไปทำหน้าที่ระดับประเทศ และไปขยายฐานให้พรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากภาคใต้
“ที่คิดแบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้ส.ส.ภาคใต้ต้องไปทำหน้าที่ในภาคอื่น แต่จะต้องไปเท่าที่จำเป็นเพื่อขยายฐานของพรรค แต่งานหลักในพื้นที่ก็ต้องรับผิดชอบ และไม่ได้หมายความว่าเราประมาทไม่เห็นความสำคัญของภาคใต้ เราให้ความสำคัญเช่นเดียวกับทุกภาค เพราะเชื่อว่าการเดินทางไปสู่ความสำเร็จต้องอาศัยคนทุกภาค การเอาส.ส.ภาคใต้ไปขยายฐานในภาคอื่นเป็นเพียงการปรับยุทธวิธีเพื่อให้เราเดินไปสู่เป้าหมายการกลับมาเป็นรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี” นายจุรินทร์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สาขาพรรคจะต้องปรับบทบาทเพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ส.ทำงานระดับชาติ โดยสาขาพรรคจะต้องช่วยกันทำให้สาขาเข้มแข็ง โดย 1.ต้องเตรียมสาขาให้มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างส.ส.กับประชาชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างสาขาพรรคกับส.ส.ให้ชัดเจน เช่นการจัดการประชุมสัญจรหมุนเวียนกันไปเดือนละครั้ง โดยให้ส.ส.เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังปัญหารวบยอด
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ดังนั้นสาขาพรรคต้องเตรียมทรัพยากรให้พร้อม ซึ่งประกอบด้วย บุคลากร เงิน และเครื่องมือ โดยที่จำเป็นจริงๆ กล่าวคือจะต้องหาคนที่มีความหลากหลายมาทำงานสาขาพรรค ไม่ใช่กระจุกตัวที่คนกลุ่มเดียว เพื่อให้เกิดความยอมรับนับถือด้วยการสะสมความรู้และความเข้าใจในงาน สถานการณ์บ้านเมือง ต้องรู้จริง เพื่อที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ รวมถึงการปรับบุคลิกภาพของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องรวยหรือมีตำแหน่ง แต่จะต้องพูดความจริง มีความรู้ รับปากสิ่งใดก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องบอกความจริงกับประชาชน
รองหัวหน้าพรรค กล่าวอีกว่าประการที่ 2. ต้องมียุทธศาสตร์ และต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหญ่ของพรรค คือ การขายความแตกต่างเพื่อนำประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า และไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยประชานิยม ซึ่งคู่ต่อสู้พยายามโจมตีพรรคว่านโยบายบางส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นประชานิยม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะประชานิยมคือการลดแลกแจกแถมโดยไม่มีทิศทางเป้าหมาย หรือมีเป้าหมายก็เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ของประชาธิปัตยไม่ใช่ พรรคไทยรักไทยบอกว่านโยบายเรียนฟรี รักษาฟรี ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นนโยบายประชานิยม ตนขอชี้แจงว่าไม่ใช่ เพราะนโยบายดังกล่าวคือโครงการย่อยของยุทธศาสตร์ คือการสร้างคน เพราะพรรคให้ความสำคัญกับเรื่องคน เพราะคนจะดีได้ต้องพัฒนาด้วยการศึกษาและสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐต้องลงทุน ในเรื่องนี้ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ฃประการที่ 3. คือหากพรรคจะเป็นรัฐบาล ต้องเป็นรัฐบาลด้วยการชนะการเลือกตั้งด้วยวิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สาขาพรรคจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เพราะแม้ว่าจะไม่รู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งตนคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ เองก็ยังไม่รู้ เพราะเห็นบอกว่าไม่ออก ไม่ยุบสภา แต่หลายรัฐบาลในอดีตก็เคยพูดอย่างนี้ แต่ก็มีอันเป็นไปก่อนเวลาหลายๆรัฐบาล
“เราจึงประมาทไม่ได้ ต้องคิดตลอดเวลาว่าจะเพิ่มคะแนนเขต คะแนนบัญชีรายชื่ออย่างไร ทั้งนี้ต้องคิดว่าจะรณรงค์ไม่ให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และป้องกันการโกงการเลือกตั้งได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับการคุมคะแนนคนมากกว่าคุมคะแนนพรรค “ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์นั้นในยุคของการผูกขาดสื่อ พรรคจะไปหวังใช้สื่อของัฐที่ถูกผูกขาดยาก ดังนั้นจะต้องประชาสัมพันธ์ด้วยการขายตรง ต้องทำสื่อของพรรคเอง ทำเอกสารชี้แจงต่อประชาชน ใช้วีซีดี และสื่อใหม่ๆ ใช้วิทยุชุมชนเป็นกลไกของการประชาสัมพันธ์ หาข้อมูลให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น และสื่อสารให้ประชาชนรับทราบอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำข้อมูล ส่วนยุทธศาสตร์เรื่องการให้ความช่วยเหลือประชาชนนั้น หากสาขาพรรคทำได้ ก็ให้ทำไปเลย แต่ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้แจ้งให้ส.ส.ทราบ แต่จะต้องทำงานไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
“มีคำถามว่าไทยรักไทยจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ ผมไม่รู้ และคนที่มีอำนาจเองก็ไม่รู้ แต่รัฐบาลเองก็อยากอยู่ครบ 4 ปี แต่คำถามต่อมาคืออยู่ได้หรือไม่ นี่คือคำถามที่ท้าทายที่ต้องติดตาม มีคนบอกว่าบ้านเมืองขณะนี้เป็นช่วงขาลงของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลบอกว่าขาลงชั่วคราว ซึ่งสิ่งที่เขาเชื่อเช่นนั้น เพราะนโยบายประชานิยม เชื่อว่าลดแลกแจกแถมยังมีมนต์ขลัง แต่เราคิดว่าจะลงจริงหรือไม่ต้องติดตามต่อไป แต่ที่แน่นอนคือ สถานการณ์บ้านเมืองเดินมาถึงจุดที่เรียกว่าน้ำลดตอผุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่มีผลประโยชน์แอบแฝง ความเลวร้ายสถานการณ์หลายอย่างนำมาถึงจุดนี้ ผสมกับเหตุการณ์ขาลงเพราะการใช้อำนาจเผด็จการ ไม่เป็นธรรม ปกปิดความจริง ขี้ฉ้อ ขี้โม้ ขี้โมโห”นายจุรินทร์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ธ.ค. 2548--จบ--
“ที่คิดแบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้ส.ส.ภาคใต้ต้องไปทำหน้าที่ในภาคอื่น แต่จะต้องไปเท่าที่จำเป็นเพื่อขยายฐานของพรรค แต่งานหลักในพื้นที่ก็ต้องรับผิดชอบ และไม่ได้หมายความว่าเราประมาทไม่เห็นความสำคัญของภาคใต้ เราให้ความสำคัญเช่นเดียวกับทุกภาค เพราะเชื่อว่าการเดินทางไปสู่ความสำเร็จต้องอาศัยคนทุกภาค การเอาส.ส.ภาคใต้ไปขยายฐานในภาคอื่นเป็นเพียงการปรับยุทธวิธีเพื่อให้เราเดินไปสู่เป้าหมายการกลับมาเป็นรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี” นายจุรินทร์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สาขาพรรคจะต้องปรับบทบาทเพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ส.ทำงานระดับชาติ โดยสาขาพรรคจะต้องช่วยกันทำให้สาขาเข้มแข็ง โดย 1.ต้องเตรียมสาขาให้มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างส.ส.กับประชาชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างสาขาพรรคกับส.ส.ให้ชัดเจน เช่นการจัดการประชุมสัญจรหมุนเวียนกันไปเดือนละครั้ง โดยให้ส.ส.เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังปัญหารวบยอด
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ดังนั้นสาขาพรรคต้องเตรียมทรัพยากรให้พร้อม ซึ่งประกอบด้วย บุคลากร เงิน และเครื่องมือ โดยที่จำเป็นจริงๆ กล่าวคือจะต้องหาคนที่มีความหลากหลายมาทำงานสาขาพรรค ไม่ใช่กระจุกตัวที่คนกลุ่มเดียว เพื่อให้เกิดความยอมรับนับถือด้วยการสะสมความรู้และความเข้าใจในงาน สถานการณ์บ้านเมือง ต้องรู้จริง เพื่อที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ รวมถึงการปรับบุคลิกภาพของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องรวยหรือมีตำแหน่ง แต่จะต้องพูดความจริง มีความรู้ รับปากสิ่งใดก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องบอกความจริงกับประชาชน
รองหัวหน้าพรรค กล่าวอีกว่าประการที่ 2. ต้องมียุทธศาสตร์ และต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหญ่ของพรรค คือ การขายความแตกต่างเพื่อนำประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า และไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยประชานิยม ซึ่งคู่ต่อสู้พยายามโจมตีพรรคว่านโยบายบางส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นประชานิยม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะประชานิยมคือการลดแลกแจกแถมโดยไม่มีทิศทางเป้าหมาย หรือมีเป้าหมายก็เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ของประชาธิปัตยไม่ใช่ พรรคไทยรักไทยบอกว่านโยบายเรียนฟรี รักษาฟรี ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นนโยบายประชานิยม ตนขอชี้แจงว่าไม่ใช่ เพราะนโยบายดังกล่าวคือโครงการย่อยของยุทธศาสตร์ คือการสร้างคน เพราะพรรคให้ความสำคัญกับเรื่องคน เพราะคนจะดีได้ต้องพัฒนาด้วยการศึกษาและสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐต้องลงทุน ในเรื่องนี้ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ฃประการที่ 3. คือหากพรรคจะเป็นรัฐบาล ต้องเป็นรัฐบาลด้วยการชนะการเลือกตั้งด้วยวิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สาขาพรรคจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เพราะแม้ว่าจะไม่รู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งตนคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ เองก็ยังไม่รู้ เพราะเห็นบอกว่าไม่ออก ไม่ยุบสภา แต่หลายรัฐบาลในอดีตก็เคยพูดอย่างนี้ แต่ก็มีอันเป็นไปก่อนเวลาหลายๆรัฐบาล
“เราจึงประมาทไม่ได้ ต้องคิดตลอดเวลาว่าจะเพิ่มคะแนนเขต คะแนนบัญชีรายชื่ออย่างไร ทั้งนี้ต้องคิดว่าจะรณรงค์ไม่ให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และป้องกันการโกงการเลือกตั้งได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับการคุมคะแนนคนมากกว่าคุมคะแนนพรรค “ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์นั้นในยุคของการผูกขาดสื่อ พรรคจะไปหวังใช้สื่อของัฐที่ถูกผูกขาดยาก ดังนั้นจะต้องประชาสัมพันธ์ด้วยการขายตรง ต้องทำสื่อของพรรคเอง ทำเอกสารชี้แจงต่อประชาชน ใช้วีซีดี และสื่อใหม่ๆ ใช้วิทยุชุมชนเป็นกลไกของการประชาสัมพันธ์ หาข้อมูลให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น และสื่อสารให้ประชาชนรับทราบอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำข้อมูล ส่วนยุทธศาสตร์เรื่องการให้ความช่วยเหลือประชาชนนั้น หากสาขาพรรคทำได้ ก็ให้ทำไปเลย แต่ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้แจ้งให้ส.ส.ทราบ แต่จะต้องทำงานไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
“มีคำถามว่าไทยรักไทยจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ ผมไม่รู้ และคนที่มีอำนาจเองก็ไม่รู้ แต่รัฐบาลเองก็อยากอยู่ครบ 4 ปี แต่คำถามต่อมาคืออยู่ได้หรือไม่ นี่คือคำถามที่ท้าทายที่ต้องติดตาม มีคนบอกว่าบ้านเมืองขณะนี้เป็นช่วงขาลงของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลบอกว่าขาลงชั่วคราว ซึ่งสิ่งที่เขาเชื่อเช่นนั้น เพราะนโยบายประชานิยม เชื่อว่าลดแลกแจกแถมยังมีมนต์ขลัง แต่เราคิดว่าจะลงจริงหรือไม่ต้องติดตามต่อไป แต่ที่แน่นอนคือ สถานการณ์บ้านเมืองเดินมาถึงจุดที่เรียกว่าน้ำลดตอผุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่มีผลประโยชน์แอบแฝง ความเลวร้ายสถานการณ์หลายอย่างนำมาถึงจุดนี้ ผสมกับเหตุการณ์ขาลงเพราะการใช้อำนาจเผด็จการ ไม่เป็นธรรม ปกปิดความจริง ขี้ฉ้อ ขี้โม้ ขี้โมโห”นายจุรินทร์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ธ.ค. 2548--จบ--