อุทัยยืนยันไม่คิดลาออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่ง ส่วนการยื่นคำร้อง ศาลฎีกาเพราะต้องการสร้างบรรทัดฐาน
นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวยืนยันว่า การยื่น
คำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีตนเองใหม่ไม่ใช่เพื่อประวิงเวลาอยู่ในตำแหน่งประธานรัฐสภาต่อไป
เพราะยืนยันว่าม้จะมีคำพิพากษาใหม่ว่ามีความผิดก็จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง
วันที่ 27 กรกฎาคม 2544 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา แถลงข่าวว่า
การยื่นคำร้องเพื่อขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานำคดีของตนขึ้นมาพิจารณาใหม่ เนื่องจาก ประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาได้เปิดช่องไว้ให้จำเลยในคดีต่าง ๆ สามารถยื่นคำร้อง ขอพิจารณาคดีใหม่ได้
หากเห็นว่ามีข้อมูลใหม่ที่จะเกิดประโยชน์กับจำเลย ตนจึงยื่นคำร้อง ดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
นอกจากนี้ยังเห็นว่าเมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วรับคำร้องของตนไปพิจารณาแล้ว เชื่อว่าคำพิพากษาใหม่
จะเป็นประโยชน์กับตน และตนเห็นว่าตนได้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะได้รับตำแหน่งประธาน
สภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา จึงได้นำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง
ทั้งสองยื่นไปพร้อมกับคำร้องต่อศาลฎีกาด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าศาลฎีกาจะพิพากษาอย่างน้อยจะกำหนดโทษ
รอลงอาญา หรืออาจจะไม่กำหนดโทษใด ๆ ก็ได้ จึงยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการประวิงเวลาเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไป
แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นบรรทัดฐานต่อไป
นายอุทัยยังยืนยันต่อไปว่า ตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่งประธานรัฐสภา และประธาน
สภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน แม้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะพิจารณาโทษตามศาลอุทธรณ์ก็ตาม เพราะ
ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยกรณีการรอลงอาญาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่าไม่กระทบต่อตำแหน่งทางการเมือง
ตนจึงไม่อยากทำให้บรรทัดฐานดังกล่าต้องเสียไปหรือทำให้ประชาชนสับสนอีก
-----------------------------------------------
วัชรา ฉิมคล้าย / ผู้สรุป
นุสรา เกตุแก้ว / พิมพ์
นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวยืนยันว่า การยื่น
คำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีตนเองใหม่ไม่ใช่เพื่อประวิงเวลาอยู่ในตำแหน่งประธานรัฐสภาต่อไป
เพราะยืนยันว่าม้จะมีคำพิพากษาใหม่ว่ามีความผิดก็จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง
วันที่ 27 กรกฎาคม 2544 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา แถลงข่าวว่า
การยื่นคำร้องเพื่อขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานำคดีของตนขึ้นมาพิจารณาใหม่ เนื่องจาก ประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาได้เปิดช่องไว้ให้จำเลยในคดีต่าง ๆ สามารถยื่นคำร้อง ขอพิจารณาคดีใหม่ได้
หากเห็นว่ามีข้อมูลใหม่ที่จะเกิดประโยชน์กับจำเลย ตนจึงยื่นคำร้อง ดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
นอกจากนี้ยังเห็นว่าเมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วรับคำร้องของตนไปพิจารณาแล้ว เชื่อว่าคำพิพากษาใหม่
จะเป็นประโยชน์กับตน และตนเห็นว่าตนได้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะได้รับตำแหน่งประธาน
สภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา จึงได้นำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง
ทั้งสองยื่นไปพร้อมกับคำร้องต่อศาลฎีกาด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าศาลฎีกาจะพิพากษาอย่างน้อยจะกำหนดโทษ
รอลงอาญา หรืออาจจะไม่กำหนดโทษใด ๆ ก็ได้ จึงยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการประวิงเวลาเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไป
แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นบรรทัดฐานต่อไป
นายอุทัยยังยืนยันต่อไปว่า ตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่งประธานรัฐสภา และประธาน
สภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน แม้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะพิจารณาโทษตามศาลอุทธรณ์ก็ตาม เพราะ
ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยกรณีการรอลงอาญาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่าไม่กระทบต่อตำแหน่งทางการเมือง
ตนจึงไม่อยากทำให้บรรทัดฐานดังกล่าต้องเสียไปหรือทำให้ประชาชนสับสนอีก
-----------------------------------------------
วัชรา ฉิมคล้าย / ผู้สรุป
นุสรา เกตุแก้ว / พิมพ์