วันนี้ (30พ.ย.48) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวในรายการผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชนว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนมีโอกาสได้ให้สัมภาษณ์ และพบปะประชาชน และปราศรัยหลายครั้ง หลายเวที ซึ่งตนได้ย้ำ ถึงเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย เรื่องของการเคารพกฏกติกาต่าง ๆ เรื่องการสนับสนุนและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้มาช่วยกัน เพื่อที่จะให้บ้านเมืองของเราไม่มีความขัดแย้ง และลดความรุนแรงและไม่ให้ลุกลามบานปลายออกไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนได้ย้ำเป็นพิเศษ คือว่ารัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการที่จะช่วยลดเงื่อนไขของความขัดแย้งต่าง ๆ เพราะฉะนั้นในส่วนของรัฐบาล เรื่องใดก็ตามที่จะมีการนำมาสู่ความขัดแย้ง เช่น การไปแจ้งความดำเนินคดี หรือว่าการขู่กันเรื่องการฟ้องร้องต่าง ๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รัฐบาลได้ทบทวนท่าทีของทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะว่าหลายครั้งหลายกรณีที่เกิดขึ้นนั้นก็มาจากการส่งสัญญาณของทางรัฐบาลหรือคนที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลบ้านเมือง เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ และ ตนได้เป็นผู้ที่เตือนรัฐบาลมาโดยตลอดว่าปัญหาความอึดอัดหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หลายครั้งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะว่ามันมีการปิดกั้นในเรื่องของสื่อสารมวลชน มีความพยายามมากเกินไปจากฝ่ายบ้านเมืองที่จะเข้าไปยึดพื้นที่ของสื่ออาจจะเป็นด้วยความกังวลหรือด้วยความไม่พึงพอใจเวลาที่มีประชาชน หรือเวลาที่มีฝ่ายต่าง ๆ ที่แสดงความคิดเห็นแล้วไม่ตรงกับรัฐบาล ตรงนี้ตนได้เตือนเสมอ เพราะสังคมประชาธิปไตยรัฐบาลต้องยอมรับการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตรงนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
“รัฐบาลหรือผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับใครก็ตาม แต่ว่าตราบใดที่คนเหล่านั้นเขาใช้สิทธิเสรีภาพของเขาตามรัฐธรรมนูญ ได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการพูดการแสดงออกอยู่ในกรอบของกฎหมาย ต้องช่วยกันคุ้มครอง จริง ๆ ต้องช่วยกันส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของเขาด้วยซ้ำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความหลากหลายสังคมจะได้ไม่มีความอึดอัด เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมเองก็พยายามเรียกร้องอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายรัฐธรรมนูญ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองซึ่งหลายคนมองว่าได้มาสู่จุดที่เป็นทางตัน หรือรู้สึกว่าเป็นปัญหาในเชิงระบบ จึงมีความคิดขึ้นมาว่าทางออกทางหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร และได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด ตนกับทางพรรคฝ่ายค้านได้พูดคุยปรึกษาหารือ จึงมีความเห็นว่าในขณะนี้เมื่อมีเสียงเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องของการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เราก็ได้มาดูและก็พบว่ามาตรา 313 ของรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพียงพอในการที่จะมาแก้ไขเพิ่มเติมหรือนำข้อเสนอต่าง ๆ ที่อาจส่งผลมาสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงของกฎหมาย เมื่อทุกฝ่ายเรียกร้องว่าให้ทุกคนเข้ามาในระบบ ตนคิดว่าวันนี้เป็นโอกาสดี ทั้งรัฐบาลวุฒิสภา ควรมาช่วยกันคิดว่าจะให้ประชาชนมามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
ซึ่งคณะกรรมการประสานงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้านขณะนี้ก็ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้ว แล้วก็ได้เตรียมที่จะยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 313 โดยมีหลักการสำคัญ ๆ ก็คือว่า
ประการแรกจะต้องมีการเปิดช่องทางใหม่ของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จากที่ปัจจุบันอนุญาตให้เฉพาะคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนกับสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น เต้องเสนอว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสามารถเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันรัฐธรรมนูญก็ให้อำนาจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งห้าหมื่นคนในการร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายในบางเรื่องได้ ก็น่าจะขยายตรงนี้ให้มาครอบคลุมถึงเรื่องของการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย
“ส่วนจำนวนของประชาชนที่จะเข้าชื่อก็มองว่าคงจะต้องหาความพอดีก็คือว่าคงจะไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นคน และก็เมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศหรือรัฐธรรมนูญต้องมีความรอบคอบและส่งผลอย่างกว้างขวางก็อาจจะต้องมีจำนวนมากกว่าห้าหมื่นแต่ขณะเดียวกันไม่ควรมากจนเกินไปจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมที่จะทำให้ประชาชนถูกปิดกั้นเกินไปจากกระบวนการนี้ เพราะฉะนั้นประเด็นแรกในขณะนี้ก็มีการพูดคุยกันถึงตัวเลขก็มีการเสนอกันมาตั้งแต่ หนึ่งแสน สองแสนห้า ห้าแสน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังจะให้มีการสรุปโดยเร็วที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ประเด็นที่สอง คือว่าประสบการอณ์ของการที่เราเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายได้เราพบความจริงว่า ในที่สุดแล้วสภาบางครั้งไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณา ถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วยก็อาจมีการเลื่อนวาระหรือไม่ และในกรณีที่ประชาชนได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้ามานั้น รัฐสภาคงจะต้องมีกรอบเวลาการพิจารณาการขอแก้ไขเพิ่มเติมที่ชัดเจน
ประเด็นที่สาม คือ ความห่วงใยของผู้ที่มีการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการเมืองรอบ 2 คือ ถ้ามีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมอะไรแล้ว มากระทบกับคนซึ่งมีอำนาจอยู่ ก็จะมีความกังวลสมาชิกรัฐบสภาที่เป็นผู้ลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมองเหมือนว่าจะไปแก้ไขให้ลดทอนอำนาจของตนเองได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้ ตนได้มอบให้คณะกรรมการประสานงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน สร้างกลไกของรัฐขึ้นมา เช่น กรณีที่มีประชาชนเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแต่รัฐสภาไม่เห็นชอบ ตรงนี้ก็น่าจะมีการพิจารณาให้สามารถนำไปสู่กระบวนการนำไปสู่กระบวนการประชามติได้ เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ก็เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านเพื่อจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับบ้านเมือง การแก้ไขเป็นการเปิดช่องทางอีกช่องทางหนึ่งเพื่อให้คนที่มีความคิดเห็นในเรื่องรัฐธรรนูญและเชิงระบบจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในระบบได้ ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำใ ห้ความอึดอัด ความตึงเครียดในสังคมคลี่คลายลง ซึ่งคาดว่าจะสามารถยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งต่อไปก็จะเป็นกระบวนการพิจารณาต่อไป ซึ่งฝ่ายค้านก็จะเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
ส่วนเรื่องปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสรรหากกต. ซึ่งตนแสดงจุดยืนชัดเจนว่ากรณีการสรรหากกต.นั้น ขณะนี้คณะกรรมการสรรหาไม่ครบองค์ประกอบ ซึ่งหากไปดูกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 138 บัญญัติไว้ว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสามารถเสนอแทนคณะกรรมการสรรหาได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพราะมีแนวทางที่สามารถทำได้แล้ว และที่สำคัญรัฐบาลไม่ควรกีดกันบทบาทของศาลฎีกา และฝ่ายค้านได้เรียกร้องมาเสมอว่าส่วนพรรคการเมืองไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสรรหาบุคคลที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ
การถ่ายโอนสถานศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวการถ่ายโอนสถานศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะมีการนำเข้าสู่ประเด็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในบ่ายวันนี้ ซึ่งมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ที่ออกตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 284 โดยจะขอให้เรื่องการถ่ายโอนสถานศึกษาจากเดิม ซึ่งมีเงื่อนเวลา 10 ปี ให้เป็นไปตามกระบวนการความสมัครใจ และความพร้อม เรื่องนี้ตนมีวามเห็นว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากการบริหารงานล้มเหลวของรัฐบาลในเชิงบริหารจัดการของรัฐบาล ในนโยบายการกระจายอำนาจ และนโบบายการปฏิรูปการศึกษา
รัฐบาลไม่มีความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องการกระจายอำนาจ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลยังไม่เคยเชิญให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคการกถ่ายโอนสถานศึกษาเป็นอย่างไร และแทนที่รัฐบาลจะทำความเข้าใจ หรือสร้างความมั่นใจในปัญหา แต่รัฐบาลเองกลับละเลยตรงนี้ แต่กลับนำมาเป็นเรื่องการเมือง กล่าวคือเมื่อราชการมีความไม่สบายใจที่จะถ่ายโอน รัฐบาลก็ออกมาบอกว่าไม่ถ่ายโอนแน่นอน แต่วันที่นายกฯพบกับตัวแทนท้องถิ่นก็บอกกับตัวแทนท้องถิ่นว่าจะไม่มีการเสนอแก้ไขกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ซึ่งเรื่องยืดเยื้อมาจนถึงสถานการณ์ของการเผชิญหน้า ที่สำคัญรัฐบาลก็ยังไม่มีท่าที่ชัดเจนแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่ายังเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะการตัดโอกาส หรือเร่งรัดการถ่ายโอนตนมองว่ายังเป็นแนวทางที่ไม่เหมาะสม แต่ว่าอย่างไรก็ตามตนคิดเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันระดมความคิดเห็นและความร่วมมือเพื่อประโยชน์เรื่องการศึกษา และด้านคุณภาพสำหรับเด็ก และเยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้ได้
กรณีที่รัฐบาลมีมติในการกู้เงินระยะสั้น ประมาณ 8 หมื่นล้าน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมติในการกู้เงินระยะสั้น ประมาณ 8 หมื่นล้าน เพื่อช่วยการบริหารเงินของรัฐบาลว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยเตือนรัฐบาลแล้วในครั้งอภิปรายงบประมาณ เพราะรัฐบาลในอดีตจะมีการเก็บเงินคงคลังไว้ในการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงจำนวนเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำและต้องคำนึงด้วยว่าวันทำการเป็นจำนวนกี่วันที่ต้องเก็บค่าเงินสดไว้ ซึ่งตามปกติต้องเก็บเงินสดไว้ 1-2 เ ดือน แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีการปรับแนวปฏิบัติโดยตั้งระยะเวลาเก็บเงินสดไว้เพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งตนเคยเตือรัฐบาลว่าให้มีความระมัดระวังเพราะว่าเศรษฐกิจในปลายปี 2548 จนถึงต้นปี 2549 มีปัจจัยเสี่ยง และมีความผันผวน ซึ่งรัฐบาลควรมีความระมัดระวังในการบริหารเงินสด ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราเตือนรัฐบาลในวันนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องหาเงินสดเพิ่มขึ้น จึงมีการกู้เงินระยะสั้นจำนวน 8 หมื่นล้าน
ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะชี้แจงว่าไม่กระทบต่อเสถียรภาพการเงินการคลัง แต่ตรงนี้ถือว่าเป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องนำไปทบทวน ในเรื่องประสิทธิภาพ และแนวทางการบริหารจัดการเรื่องการเงินการคลัง เพราะเหตุผลที่รัฐบาลอ้างว่าสาเหตุที่เงินสดขาดมือเพราะเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และขณะเดียวกันก็คาดการว่าจะมีรายได้เข้ามา แต่ยังเข้ามาไม่ทัน ตรงนี้ตนขอตั้งความห่วงใยว่าเมื่อมองไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่ารัฐบาลมีขีดความสามารถที่จะใช้จ่ายเพิ่มเติมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง และขระเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงในแง่ของรายได้ที่ตั้งเป้าไว้จะเข้ามาตามเป้าหรือไม่ ตนว่าโอกาสนี้รัฐบาลต้องไปทบทวนว่าทำไมสถานการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้
ส่วนหนึ่งซึ่งมีการพูดกันมากคือการใช้งบประมาณในช่วงที่ผ่านมามีความผิดปกติไปจากระเบียบแบบแผนที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาวินัยการเงิน โดยรัฐบาลชุดนี้ใช้วิธีการจัดงบกลางไว้สูง ซึ่งงบกลางเป็นงบที่มีรายละเอียดใดๆ สุดท้ายเงินจำนวนดังกล่าวก็เป็นเงินที่ครม.และนายกฯอนุมัติใช้จ่าย ซึ่งหลายครั้งเป็นการใช้จ่ายตอบสนองแรงงกดดันทางการเมือง ซึ่งการใช้จ่ายเหล่านี้ถือเป็นการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดความรอบคอบ ขาดความเป็นระบบ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่รัฐบาลต้องทบทวนอย่างรอบคอบ และเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 พ.ย.2548--จบ--
“รัฐบาลหรือผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับใครก็ตาม แต่ว่าตราบใดที่คนเหล่านั้นเขาใช้สิทธิเสรีภาพของเขาตามรัฐธรรมนูญ ได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการพูดการแสดงออกอยู่ในกรอบของกฎหมาย ต้องช่วยกันคุ้มครอง จริง ๆ ต้องช่วยกันส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของเขาด้วยซ้ำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความหลากหลายสังคมจะได้ไม่มีความอึดอัด เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมเองก็พยายามเรียกร้องอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายรัฐธรรมนูญ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองซึ่งหลายคนมองว่าได้มาสู่จุดที่เป็นทางตัน หรือรู้สึกว่าเป็นปัญหาในเชิงระบบ จึงมีความคิดขึ้นมาว่าทางออกทางหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร และได้ติดตามเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด ตนกับทางพรรคฝ่ายค้านได้พูดคุยปรึกษาหารือ จึงมีความเห็นว่าในขณะนี้เมื่อมีเสียงเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องของการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เราก็ได้มาดูและก็พบว่ามาตรา 313 ของรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพียงพอในการที่จะมาแก้ไขเพิ่มเติมหรือนำข้อเสนอต่าง ๆ ที่อาจส่งผลมาสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงของกฎหมาย เมื่อทุกฝ่ายเรียกร้องว่าให้ทุกคนเข้ามาในระบบ ตนคิดว่าวันนี้เป็นโอกาสดี ทั้งรัฐบาลวุฒิสภา ควรมาช่วยกันคิดว่าจะให้ประชาชนมามีส่วนร่วมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
ซึ่งคณะกรรมการประสานงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้านขณะนี้ก็ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้ว แล้วก็ได้เตรียมที่จะยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 313 โดยมีหลักการสำคัญ ๆ ก็คือว่า
ประการแรกจะต้องมีการเปิดช่องทางใหม่ของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จากที่ปัจจุบันอนุญาตให้เฉพาะคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนกับสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น เต้องเสนอว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสามารถเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันรัฐธรรมนูญก็ให้อำนาจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งห้าหมื่นคนในการร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายในบางเรื่องได้ ก็น่าจะขยายตรงนี้ให้มาครอบคลุมถึงเรื่องของการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย
“ส่วนจำนวนของประชาชนที่จะเข้าชื่อก็มองว่าคงจะต้องหาความพอดีก็คือว่าคงจะไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นคน และก็เมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศหรือรัฐธรรมนูญต้องมีความรอบคอบและส่งผลอย่างกว้างขวางก็อาจจะต้องมีจำนวนมากกว่าห้าหมื่นแต่ขณะเดียวกันไม่ควรมากจนเกินไปจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมที่จะทำให้ประชาชนถูกปิดกั้นเกินไปจากกระบวนการนี้ เพราะฉะนั้นประเด็นแรกในขณะนี้ก็มีการพูดคุยกันถึงตัวเลขก็มีการเสนอกันมาตั้งแต่ หนึ่งแสน สองแสนห้า ห้าแสน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังจะให้มีการสรุปโดยเร็วที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ประเด็นที่สอง คือว่าประสบการอณ์ของการที่เราเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายได้เราพบความจริงว่า ในที่สุดแล้วสภาบางครั้งไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณา ถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วยก็อาจมีการเลื่อนวาระหรือไม่ และในกรณีที่ประชาชนได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้ามานั้น รัฐสภาคงจะต้องมีกรอบเวลาการพิจารณาการขอแก้ไขเพิ่มเติมที่ชัดเจน
ประเด็นที่สาม คือ ความห่วงใยของผู้ที่มีการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการเมืองรอบ 2 คือ ถ้ามีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมอะไรแล้ว มากระทบกับคนซึ่งมีอำนาจอยู่ ก็จะมีความกังวลสมาชิกรัฐบสภาที่เป็นผู้ลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมองเหมือนว่าจะไปแก้ไขให้ลดทอนอำนาจของตนเองได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้ ตนได้มอบให้คณะกรรมการประสานงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน สร้างกลไกของรัฐขึ้นมา เช่น กรณีที่มีประชาชนเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแต่รัฐสภาไม่เห็นชอบ ตรงนี้ก็น่าจะมีการพิจารณาให้สามารถนำไปสู่กระบวนการนำไปสู่กระบวนการประชามติได้ เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ก็เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านเพื่อจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับบ้านเมือง การแก้ไขเป็นการเปิดช่องทางอีกช่องทางหนึ่งเพื่อให้คนที่มีความคิดเห็นในเรื่องรัฐธรรนูญและเชิงระบบจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในระบบได้ ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำใ ห้ความอึดอัด ความตึงเครียดในสังคมคลี่คลายลง ซึ่งคาดว่าจะสามารถยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งต่อไปก็จะเป็นกระบวนการพิจารณาต่อไป ซึ่งฝ่ายค้านก็จะเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
ส่วนเรื่องปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสรรหากกต. ซึ่งตนแสดงจุดยืนชัดเจนว่ากรณีการสรรหากกต.นั้น ขณะนี้คณะกรรมการสรรหาไม่ครบองค์ประกอบ ซึ่งหากไปดูกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 138 บัญญัติไว้ว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสามารถเสนอแทนคณะกรรมการสรรหาได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพราะมีแนวทางที่สามารถทำได้แล้ว และที่สำคัญรัฐบาลไม่ควรกีดกันบทบาทของศาลฎีกา และฝ่ายค้านได้เรียกร้องมาเสมอว่าส่วนพรรคการเมืองไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสรรหาบุคคลที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ
การถ่ายโอนสถานศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวการถ่ายโอนสถานศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะมีการนำเข้าสู่ประเด็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในบ่ายวันนี้ ซึ่งมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ที่ออกตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 284 โดยจะขอให้เรื่องการถ่ายโอนสถานศึกษาจากเดิม ซึ่งมีเงื่อนเวลา 10 ปี ให้เป็นไปตามกระบวนการความสมัครใจ และความพร้อม เรื่องนี้ตนมีวามเห็นว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากการบริหารงานล้มเหลวของรัฐบาลในเชิงบริหารจัดการของรัฐบาล ในนโยบายการกระจายอำนาจ และนโบบายการปฏิรูปการศึกษา
รัฐบาลไม่มีความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องการกระจายอำนาจ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลยังไม่เคยเชิญให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคการกถ่ายโอนสถานศึกษาเป็นอย่างไร และแทนที่รัฐบาลจะทำความเข้าใจ หรือสร้างความมั่นใจในปัญหา แต่รัฐบาลเองกลับละเลยตรงนี้ แต่กลับนำมาเป็นเรื่องการเมือง กล่าวคือเมื่อราชการมีความไม่สบายใจที่จะถ่ายโอน รัฐบาลก็ออกมาบอกว่าไม่ถ่ายโอนแน่นอน แต่วันที่นายกฯพบกับตัวแทนท้องถิ่นก็บอกกับตัวแทนท้องถิ่นว่าจะไม่มีการเสนอแก้ไขกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ซึ่งเรื่องยืดเยื้อมาจนถึงสถานการณ์ของการเผชิญหน้า ที่สำคัญรัฐบาลก็ยังไม่มีท่าที่ชัดเจนแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่ายังเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะการตัดโอกาส หรือเร่งรัดการถ่ายโอนตนมองว่ายังเป็นแนวทางที่ไม่เหมาะสม แต่ว่าอย่างไรก็ตามตนคิดเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันระดมความคิดเห็นและความร่วมมือเพื่อประโยชน์เรื่องการศึกษา และด้านคุณภาพสำหรับเด็ก และเยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้ได้
กรณีที่รัฐบาลมีมติในการกู้เงินระยะสั้น ประมาณ 8 หมื่นล้าน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมติในการกู้เงินระยะสั้น ประมาณ 8 หมื่นล้าน เพื่อช่วยการบริหารเงินของรัฐบาลว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยเตือนรัฐบาลแล้วในครั้งอภิปรายงบประมาณ เพราะรัฐบาลในอดีตจะมีการเก็บเงินคงคลังไว้ในการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงจำนวนเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำและต้องคำนึงด้วยว่าวันทำการเป็นจำนวนกี่วันที่ต้องเก็บค่าเงินสดไว้ ซึ่งตามปกติต้องเก็บเงินสดไว้ 1-2 เ ดือน แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีการปรับแนวปฏิบัติโดยตั้งระยะเวลาเก็บเงินสดไว้เพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งตนเคยเตือรัฐบาลว่าให้มีความระมัดระวังเพราะว่าเศรษฐกิจในปลายปี 2548 จนถึงต้นปี 2549 มีปัจจัยเสี่ยง และมีความผันผวน ซึ่งรัฐบาลควรมีความระมัดระวังในการบริหารเงินสด ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราเตือนรัฐบาลในวันนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องหาเงินสดเพิ่มขึ้น จึงมีการกู้เงินระยะสั้นจำนวน 8 หมื่นล้าน
ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะชี้แจงว่าไม่กระทบต่อเสถียรภาพการเงินการคลัง แต่ตรงนี้ถือว่าเป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องนำไปทบทวน ในเรื่องประสิทธิภาพ และแนวทางการบริหารจัดการเรื่องการเงินการคลัง เพราะเหตุผลที่รัฐบาลอ้างว่าสาเหตุที่เงินสดขาดมือเพราะเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และขณะเดียวกันก็คาดการว่าจะมีรายได้เข้ามา แต่ยังเข้ามาไม่ทัน ตรงนี้ตนขอตั้งความห่วงใยว่าเมื่อมองไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่ารัฐบาลมีขีดความสามารถที่จะใช้จ่ายเพิ่มเติมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง และขระเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงในแง่ของรายได้ที่ตั้งเป้าไว้จะเข้ามาตามเป้าหรือไม่ ตนว่าโอกาสนี้รัฐบาลต้องไปทบทวนว่าทำไมสถานการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้
ส่วนหนึ่งซึ่งมีการพูดกันมากคือการใช้งบประมาณในช่วงที่ผ่านมามีความผิดปกติไปจากระเบียบแบบแผนที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาวินัยการเงิน โดยรัฐบาลชุดนี้ใช้วิธีการจัดงบกลางไว้สูง ซึ่งงบกลางเป็นงบที่มีรายละเอียดใดๆ สุดท้ายเงินจำนวนดังกล่าวก็เป็นเงินที่ครม.และนายกฯอนุมัติใช้จ่าย ซึ่งหลายครั้งเป็นการใช้จ่ายตอบสนองแรงงกดดันทางการเมือง ซึ่งการใช้จ่ายเหล่านี้ถือเป็นการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดความรอบคอบ ขาดความเป็นระบบ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่รัฐบาลต้องทบทวนอย่างรอบคอบ และเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 พ.ย.2548--จบ--