1. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่อง ธุรกรรมในตลาดซื้อคืนและภาวะอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนมกราคม 2544 ว่าปริมาณธุรกรรมในตลาดซื้อคืนในช่วงเดือนมกราคม 2544 มียอดเฉลี่ยประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน ลดลงจากปริมาณซื้อขายเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2543 ที่มียอดเฉลี่ยประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท โดยธุรกรรมส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในประเภท 1 วัน และ 14 วัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมกราคมสถาบันการเงินเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในระยะที่ยาวขึ้นในประเภท 1 | 3 เดือน ต่างจากช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสถาบันการเงินกู้ยืมและลงทุนในระยะสั้นๆ ในส่วนของการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยระยะ 1 และ 7 วัน เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงร้อยละ 1 | 2.50 และ 1.25 | 2.125 ต่อปี ตามลำดับ โดยอัตราดอกเบี้ยทั้งสองประเภทปรับตัวสูงสุดในช่วงวันที่ 19 | 23 มกราคม เนื่องจากมีความต้องการใช้เงินในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับเป็นช่วงใกล้สิ้นปักษ์ที่สถาบันการเงินต้องดำรงเงินสดสำรองให้ได้ตามเกณฑ์เฉลี่ย อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยประเภท 14 วัน ยังทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี ตามมติคณะกรรมการนโยบาย การเงิน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544 สำหรับอัตรา ดอกเบี้ยประเภท 2 และ 3 เดือน ได้ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 2.375 และ 2.4375 เป็นร้อยละ 2.25 และ 2.375 ต่อปี ตามลำดับ หลังจากที่ทรงตัวในระดับเดิมมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2543 ส่วนประเภท 6 เดือน ยังไม่มีการทำธุรกรรม
2. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานผลการดำเนินงานของกิจการวิเทศธนกิจในปี 2543 ว่า การให้กู้ยืมของ กิจการวิเทศธนกิจยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 กล่าวคือ มียอดคงค้างให้กู้ยืมลดลงจากสิ้นปี 2542 จำนวน 119.7 พันล้านบาท เป็น 431.1 พันล้านบาท (หรือลดลงร้อยละ 21.7) โดยเป็นการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในประเทศ (Out | In) 387 พันล้านบาท (ลดลงร้อยละ 20.6) และเป็นการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในต่างประเทศ (Out | Out) 44.1 พันล้านบาท (ลดลงร้อยละ 30.7) ทั้งนี้ เมื่อ เปรียบเทียบสิ้นปีก่อน กิจการวิเทศธนกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยมียอดคงค้างเงินให้กู้ยืมลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 35.7 (42.9 พันล้านบาท)
สาเหตุหลักของการลดลงเนื่องจากลูกหนี้ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด ประกอบกับสภาพคล่องเงินบาทในประเทศมีสูง และอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ลูกหนี้บางส่วนชำระคืนหนี้และหันไปกู้ยืมเงินบาทแทน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 ภาคธุรกิจที่กู้ยืมเงินผ่านกิจการวิเทศธนกิจมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตโดยมียอดคงค้าง 228.2 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.9 ของเงินให้กู้ยืมกิจการวิเทศธนกิจทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคสาธารณูปโภค และภาคการธนาคารและธุรกิจการเงินมีมูลค่า 65.4 และ 46.3 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.2 และ 10.7 ตามลำดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 มี BIBF เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 40 แห่ง (ลดลงจากปีก่อน 4 แห่ง) ในจำนวนนี้เป็นของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่ง สาขาธนาคาร ต่างประเทศ 18 แห่ง และธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจ BIBF อย่างเดียว 11 แห่ง สำหรับ PIBF นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 8 แห่ง โดยอยู่ในจังหวัดชลบุรี 4 แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 แห่ง
3. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่อง ฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2543 ว่า ปี 2543 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ของไทยทั้งระบบ สามารถดำรงเงินกองทุนได้ทั้งสิ้น รวม 401.5 พันล้านบาท โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของทั้งระบบอยู่ที่ระดับร้อยละ 11.4 เกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น
3.1 ธนาคารพาณิชย์เอกชน 5 แห่งประกอบด้วย ธ. กรุงเทพ ธ. กสิกรไทย ธ. ไทยพาณิชย์ ธ. ทหารไทย และ ธ. กรุงศรีอยุธยา มีเงินกองทุนทั้งสิ้นรวม 294.5 พันล้านบาท และมี BIS Ratio เฉลี่ย เท่ากับร้อยละ 11.82
3.2 ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธ. กรุงไทย ธ. ศรีนคร ธ. นครหลวงไทย และ ธ. ไทยธนาคาร มีเงินกองทุนทั้งสิ้นรวม 74.1 พันล้านบาท และมี BIS Ratio เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 9.45
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2541 ถึงไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ของไทยได้เพิ่มทุนไปแล้วทั้งสิ้น 889.3 พันล้านบาท โดยจำนวน 778.5 พันล้านบาท เป็นการเพิ่มเงินกองทุนได้ด้วยตัวเอง ที่เหลือจำนวน 110.8 พันล้านบาท เป็นการเข้าร่วมโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนของทางการ ซึ่งโครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2543 ที่ผ่านมา
4. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่อง ผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินทั้งระบบของประเทศไทย ปี 2543 ที่ผ่านมาว่า มีผลการดำเนินงานที่กระเตื้องขึ้นมาก เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานในปี 2542 โดยในปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน มีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือ 13.8 พันล้านบาท จากปี 2542 ที่ขาดทุน 359.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบ มีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการหักสำรองฯ ) จำนวน 3.5 พันล้านบาท โดยในส่วนนี้ธนาคารพาณิชย์เอกชน 5 แห่ง มีผลกำไรทั้งสิ้น 20.6 พันล้านบาท ภายหลังหักสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งสูงถึง 119.4 พันล้านบาทแล้วทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยขาดทุนสุทธิ 11.5 พันล้านบาท ลดลงมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนในปี 2542 ที่สูงถึง 335 พันล้านบาท
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบ ธพ. ไทยมีผลขาดทุนลดลงมากในปี 2543 เกิดจาก ธพ. รัฐ บางแห่งมีการปรับปรุงรายการค่าเผื่อหนี้สูญที่เกิดจากการโอนหนี้ไปยัง AMC กลับมาเป็นรายได้ ส่งผลให้ ธพ. ไทยมีกำไร (สุทธิ) จากส่วนนี้จำนวน 68.6 พันล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกได้มาก นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป ภาระการกันสำรองของ ธพ. ไทยจะลดลงเป็นลำดับ เพราะ ธพ. ไทยส่วนใหญ่สามารถ กันสำรองได้ครบร้อยละ 100 ตามเกณฑ์ที่ทางการกำหนด ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของ ธพ. ไทยจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ในส่วนของบริษัทเงินทุนจำนวน 21 แห่ง ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมากเช่นกัน โดยมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนสุทธิรวม 2.3 พันล้านบาท ลดลงจากที่เคยขาดทุน 24.4 พันล้านบาทในปี 2542 ทั้งนี้ มี บง. ที่ได้กำไรในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 11 แห่ง จากเดิมที่มี บง. เคยทำกำไร ในปี 2542 เพียง 6 แห่งเท่านั้น โดยปัจจัยหลัก มาจากภาระการกันสำรองลดลงมากเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ โดยมี บง. เพียง 7 แห่งเท่านั้น ที่ยังต้องกันสำรองเพิ่มให้ครบในงวดครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ยอดการกันสำรองในปีนี้ของ บง. ทั้งระบบมีเพียง 6.4 พันล้านบาทเป็นเพียง 1 ใน 4 ของยอดการกันสำรองของปีก่อนเท่านั้น ส่วนปัจจัยรองลงมา คือ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของ บง. ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 1.1 พันล้านบาท จากปี 2542 จำนวน 4.1 พันล้านบาท เป็น 5.2 พันล้านบาทในปี 2543 นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบง. ยังเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น และสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากขึ้นด้วย
5. วันที่ 1 มีนาคม 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทยรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อประเมิน แนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า จากข้อมูลล่าสุดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับใกล้เคียงกับ ที่เคยประมาณไว้ในเดือนมกราคม กล่าวคือ เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ยังไม่สูงนัก เพราะมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และประเทศใน ภูมิภาคซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยจะชะลอตัวลงอีก แต่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2545 จากผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งคณะกรรมการฯ คาดว่าจะทำให้มีการใช้จ่ายเป็นเม็ดเงินใหม่ทยอยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 เป็นต้นไปนั้น นโยบาย ดังกล่าวจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นในขนาดที่ต่างๆ กันไป ขึ้นกับขนาดของเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบในแต่ละปี ขึ้นกับกิจกรรมที่ ใช้จ่ายว่าจะนำไปสู่การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด และขึ้นกับการใช้จ่ายนั้น มีผลทำให้การนำเข้าสินค้าและบริการมากขึ้นเพียงใด อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ยังต่ำกว่าศักยภาพ คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าแรงกระตุ้นจากภาคการคลังจะยังไม่สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อ และแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานสำหรับปี 2544 และ 2545 ยังคงอยู่ในเป้าหมายที่กำหนด การที่คณะกรรมการฯ ได้ส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงิน
ในลักษณะผ่อนคลายมาโดยตลอด เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น ได้มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับลดลงตามมาด้วย โดยเฉพาะสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2544 เป็นต้นมา อัตราดอกเบี้ยสำหรับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 14 ปี ได้ปรับลดลงระดับร้อยละ 6.6 เหลือร้อยละ 5.4 ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 คณะกรรมการนโยบาย การเงิน จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับเดิม คือ อัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
2. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานผลการดำเนินงานของกิจการวิเทศธนกิจในปี 2543 ว่า การให้กู้ยืมของ กิจการวิเทศธนกิจยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 กล่าวคือ มียอดคงค้างให้กู้ยืมลดลงจากสิ้นปี 2542 จำนวน 119.7 พันล้านบาท เป็น 431.1 พันล้านบาท (หรือลดลงร้อยละ 21.7) โดยเป็นการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในประเทศ (Out | In) 387 พันล้านบาท (ลดลงร้อยละ 20.6) และเป็นการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าในต่างประเทศ (Out | Out) 44.1 พันล้านบาท (ลดลงร้อยละ 30.7) ทั้งนี้ เมื่อ เปรียบเทียบสิ้นปีก่อน กิจการวิเทศธนกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยมียอดคงค้างเงินให้กู้ยืมลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 35.7 (42.9 พันล้านบาท)
สาเหตุหลักของการลดลงเนื่องจากลูกหนี้ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด ประกอบกับสภาพคล่องเงินบาทในประเทศมีสูง และอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ลูกหนี้บางส่วนชำระคืนหนี้และหันไปกู้ยืมเงินบาทแทน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 ภาคธุรกิจที่กู้ยืมเงินผ่านกิจการวิเทศธนกิจมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตโดยมียอดคงค้าง 228.2 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.9 ของเงินให้กู้ยืมกิจการวิเทศธนกิจทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคสาธารณูปโภค และภาคการธนาคารและธุรกิจการเงินมีมูลค่า 65.4 และ 46.3 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.2 และ 10.7 ตามลำดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 มี BIBF เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 40 แห่ง (ลดลงจากปีก่อน 4 แห่ง) ในจำนวนนี้เป็นของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่ง สาขาธนาคาร ต่างประเทศ 18 แห่ง และธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจ BIBF อย่างเดียว 11 แห่ง สำหรับ PIBF นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 8 แห่ง โดยอยู่ในจังหวัดชลบุรี 4 แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 แห่ง
3. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่อง ฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2543 ว่า ปี 2543 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ของไทยทั้งระบบ สามารถดำรงเงินกองทุนได้ทั้งสิ้น รวม 401.5 พันล้านบาท โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของทั้งระบบอยู่ที่ระดับร้อยละ 11.4 เกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น
3.1 ธนาคารพาณิชย์เอกชน 5 แห่งประกอบด้วย ธ. กรุงเทพ ธ. กสิกรไทย ธ. ไทยพาณิชย์ ธ. ทหารไทย และ ธ. กรุงศรีอยุธยา มีเงินกองทุนทั้งสิ้นรวม 294.5 พันล้านบาท และมี BIS Ratio เฉลี่ย เท่ากับร้อยละ 11.82
3.2 ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธ. กรุงไทย ธ. ศรีนคร ธ. นครหลวงไทย และ ธ. ไทยธนาคาร มีเงินกองทุนทั้งสิ้นรวม 74.1 พันล้านบาท และมี BIS Ratio เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 9.45
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2541 ถึงไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ของไทยได้เพิ่มทุนไปแล้วทั้งสิ้น 889.3 พันล้านบาท โดยจำนวน 778.5 พันล้านบาท เป็นการเพิ่มเงินกองทุนได้ด้วยตัวเอง ที่เหลือจำนวน 110.8 พันล้านบาท เป็นการเข้าร่วมโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนของทางการ ซึ่งโครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2543 ที่ผ่านมา
4. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่อง ผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินทั้งระบบของประเทศไทย ปี 2543 ที่ผ่านมาว่า มีผลการดำเนินงานที่กระเตื้องขึ้นมาก เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานในปี 2542 โดยในปี 2543 ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน มีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือ 13.8 พันล้านบาท จากปี 2542 ที่ขาดทุน 359.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบ มีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการหักสำรองฯ ) จำนวน 3.5 พันล้านบาท โดยในส่วนนี้ธนาคารพาณิชย์เอกชน 5 แห่ง มีผลกำไรทั้งสิ้น 20.6 พันล้านบาท ภายหลังหักสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งสูงถึง 119.4 พันล้านบาทแล้วทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยขาดทุนสุทธิ 11.5 พันล้านบาท ลดลงมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนในปี 2542 ที่สูงถึง 335 พันล้านบาท
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบ ธพ. ไทยมีผลขาดทุนลดลงมากในปี 2543 เกิดจาก ธพ. รัฐ บางแห่งมีการปรับปรุงรายการค่าเผื่อหนี้สูญที่เกิดจากการโอนหนี้ไปยัง AMC กลับมาเป็นรายได้ ส่งผลให้ ธพ. ไทยมีกำไร (สุทธิ) จากส่วนนี้จำนวน 68.6 พันล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกได้มาก นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป ภาระการกันสำรองของ ธพ. ไทยจะลดลงเป็นลำดับ เพราะ ธพ. ไทยส่วนใหญ่สามารถ กันสำรองได้ครบร้อยละ 100 ตามเกณฑ์ที่ทางการกำหนด ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของ ธพ. ไทยจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ในส่วนของบริษัทเงินทุนจำนวน 21 แห่ง ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมากเช่นกัน โดยมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนสุทธิรวม 2.3 พันล้านบาท ลดลงจากที่เคยขาดทุน 24.4 พันล้านบาทในปี 2542 ทั้งนี้ มี บง. ที่ได้กำไรในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 11 แห่ง จากเดิมที่มี บง. เคยทำกำไร ในปี 2542 เพียง 6 แห่งเท่านั้น โดยปัจจัยหลัก มาจากภาระการกันสำรองลดลงมากเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ โดยมี บง. เพียง 7 แห่งเท่านั้น ที่ยังต้องกันสำรองเพิ่มให้ครบในงวดครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ยอดการกันสำรองในปีนี้ของ บง. ทั้งระบบมีเพียง 6.4 พันล้านบาทเป็นเพียง 1 ใน 4 ของยอดการกันสำรองของปีก่อนเท่านั้น ส่วนปัจจัยรองลงมา คือ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของ บง. ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 1.1 พันล้านบาท จากปี 2542 จำนวน 4.1 พันล้านบาท เป็น 5.2 พันล้านบาทในปี 2543 นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบง. ยังเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น และสามารถทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากขึ้นด้วย
5. วันที่ 1 มีนาคม 2544 ธนาคาร แห่งประเทศไทยรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพื่อประเมิน แนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า จากข้อมูลล่าสุดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับใกล้เคียงกับ ที่เคยประมาณไว้ในเดือนมกราคม กล่าวคือ เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ยังไม่สูงนัก เพราะมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และประเทศใน ภูมิภาคซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยจะชะลอตัวลงอีก แต่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2545 จากผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งคณะกรรมการฯ คาดว่าจะทำให้มีการใช้จ่ายเป็นเม็ดเงินใหม่ทยอยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 เป็นต้นไปนั้น นโยบาย ดังกล่าวจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นในขนาดที่ต่างๆ กันไป ขึ้นกับขนาดของเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบในแต่ละปี ขึ้นกับกิจกรรมที่ ใช้จ่ายว่าจะนำไปสู่การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด และขึ้นกับการใช้จ่ายนั้น มีผลทำให้การนำเข้าสินค้าและบริการมากขึ้นเพียงใด อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ยังต่ำกว่าศักยภาพ คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าแรงกระตุ้นจากภาคการคลังจะยังไม่สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อ และแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานสำหรับปี 2544 และ 2545 ยังคงอยู่ในเป้าหมายที่กำหนด การที่คณะกรรมการฯ ได้ส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงิน
ในลักษณะผ่อนคลายมาโดยตลอด เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น ได้มีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับลดลงตามมาด้วย โดยเฉพาะสำหรับช่วงเวลาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2544 เป็นต้นมา อัตราดอกเบี้ยสำหรับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 14 ปี ได้ปรับลดลงระดับร้อยละ 6.6 เหลือร้อยละ 5.4 ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 คณะกรรมการนโยบาย การเงิน จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับเดิม คือ อัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-