เมื่อเดือนตุลาคม 2544 ที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ไว้ในหนังสือ World Economic Outlook 2001 โดยคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะหดตัวลง 0.2% ในปี 2544 เทียบกับอัตราการขยายตัว 1.5% ในปี 2543 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียรวม 8 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไทย ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยคาดว่าในปี 2544 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 7.5% (จากที่ขยายตัว 8.0% ในปี 2543) รองลงมา คือ อินโดนีเซีย 3.0% (4.8%) เกาหลีใต้ 2.5% (8.8%) ฟิลิปปินส์ 2.5% (4.0%) ไทย 2.0% (4.4%) มาเลเซีย 1.0% (8.3%) ฮ่องกง 0.6%(10.5%) และสิงคโปร์ |0.2% (9.9%) ตามลำดับ
ทั้งนี้ IMF รายงานว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียทั้ง 8 ประเทศข้างต้นมีแนวโน้มซบเซาลงด้วย เนื่องจาก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียอย่างใกล้ชิด
ด้านการค้า ประเทศในกลุ่มเอเชียพึ่งพาการส่งออกและนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นค่อนข้างสูง แม้ว่าสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงในปัจจุบัน โดยในปี 2543 ประเทศในกลุ่มเอเชียพึ่งพาการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังญี่ปุ่นราว 12% ของมูลค่าการส่งออกรวม และนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นสูงถึง 20% ของมูลค่าการนำเข้ารวม ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย (22% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอินโดนีเซีย) รองลงมา คือ ไทย (16%) จีน (16%) ฟิลิปปินส์ (14%) มาเลเซีย (13%) เกาหลีใต้ (11%) สิงคโปร์ (7%) และ ฮ่องกง (6%) ตามลำดับ ด้านตลาดหุ้น IMF พบว่าตลาดหุ้นของประเทศในเอเชียที่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากที่สุด คือ ฮ่องกง รองลงมา คือ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไทย ขณะที่ตลาดหุ้นในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นน้อยมาก ส่วนตลาดหุ้นในจีนไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นของญี่ปุ่นเลย นอกจากนี้ การตัดสินใจของนักลงทุนยังส่งผลต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียได้สองทิศทาง กล่าวคือ หากนักลงทุนคาดว่าประเทศอื่นในกลุ่มเอเชียจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลง ก็อาจเทขายหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเอเชียไปพร้อมๆ กัน แต่หากนักลงทุนเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศอื่นในเอเชียมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ก็อาจเทขายหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพื่อมาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นประเทศอื่นในเอเชียแทน
ด้านธนาคาร ญี่ปุ่นจัดเป็นแหล่งเงินกู้ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซบเซาลง ธนาคารหลายแห่งในญี่ปุ่นจึงมีข้อจำกัดด้านเงินทุนในการปล่อยกู้ ในปี 2543 ธนาคารในไทยพึ่งพาเงินกู้จากธนาคารญี่ปุ่นมากที่สุดถึง 37% ของเงินกู้จากต่างประเทศรวมทั้งหมด รองลงมา คือ ฮ่องกง (32%) มาเลเซีย (27%) สิงคโปร์ (27%) อินโดนีเซีย (25%) เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และจีน (18%) ตามลำดับ
ด้านธุรกิจ ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนทางตรงรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อธุรกิจในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการเข้าไปลงทุนทางตรงของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน ในปี 2543 ประเทศในเอเชียที่ได้รับเงินลงทุนทางตรงจากญี่ปุ่นมากที่สุด คือ ไทย (25% ของมูลค่าเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศทั้งหมด) รองลงมา คือ สิงคโปร์ (23%) เกาหลีใต้ (16%) มาเลเซีย (14%) อินโดนีเซีย (13%) ฟิลิปปินส์ (7%) และจีน (7%) ตามลำดับ
จากผลการศึกษาของ IMF พบว่าภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียแตกต่างกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจญี่ปุ่นต่างกัน หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2544 ซบเซาลง 2% จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และไทย ซบเซาลงเฉลี่ย 0.33% ในขณะที่เศรษฐกิจของจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะซบเซาลงเฉลี่ยเพียง 0.2% เท่านั้น
ค่าเงินของประเทศในกลุ่มเอเชียอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศได้ แม้ว่าตั้งแต่เกิดวิกฤตค่าเงินเอเชีย ประเทศในกลุ่มเอเชียลดการก่อหนี้ต่างประเทศและใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเสรีมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากภายนอกประเทศ แต่ค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลงสามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินของบางประเทศในกลุ่มเอเชียได้เช่นกัน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชียที่ส่งออกสินค้าประเภทเดียวกับญี่ปุ่น เนื่องจากประเทศเหล่านี้จะเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับสินค้าจากญี่ปุ่น ทำให้ประเทศในกลุ่มนี้มีรายได้จากการส่งออกลดลงและมียอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น อันจะส่งผลให้ค่าเงินของกลุ่มประเทศดังกล่าวอ่อนตัวลงด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ
IMF คาดว่าภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะซบเซาลงเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาลง คือ การดำเนินนโยบายการคลังเข้มงวด ดังนั้นจึงคาดว่าการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและลงทุนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชีย ประกอบกับเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศจะทำให้การส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัว และส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น การค้าระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศในกลุ่มเอเชียก็จะขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในปี 2545 IMF คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวราว 0.2% ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียส่วนใหญ่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น อาทิ มาเลเซีย (4.8%) เกาหลีใต้ (4.5%) อินโดนีเซีย (4.3%) ไทย (4.0%) ฮ่องกง (4.0%) สิงคโปร์ (4.0%) และฟิลิปปินส์ (3.5%) ยกเว้นเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยเหลือ 7.1% ในปี 2545
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย--
-อน-
ทั้งนี้ IMF รายงานว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียทั้ง 8 ประเทศข้างต้นมีแนวโน้มซบเซาลงด้วย เนื่องจาก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียอย่างใกล้ชิด
ด้านการค้า ประเทศในกลุ่มเอเชียพึ่งพาการส่งออกและนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นค่อนข้างสูง แม้ว่าสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงในปัจจุบัน โดยในปี 2543 ประเทศในกลุ่มเอเชียพึ่งพาการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังญี่ปุ่นราว 12% ของมูลค่าการส่งออกรวม และนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นสูงถึง 20% ของมูลค่าการนำเข้ารวม ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย (22% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอินโดนีเซีย) รองลงมา คือ ไทย (16%) จีน (16%) ฟิลิปปินส์ (14%) มาเลเซีย (13%) เกาหลีใต้ (11%) สิงคโปร์ (7%) และ ฮ่องกง (6%) ตามลำดับ ด้านตลาดหุ้น IMF พบว่าตลาดหุ้นของประเทศในเอเชียที่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากที่สุด คือ ฮ่องกง รองลงมา คือ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไทย ขณะที่ตลาดหุ้นในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นน้อยมาก ส่วนตลาดหุ้นในจีนไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นของญี่ปุ่นเลย นอกจากนี้ การตัดสินใจของนักลงทุนยังส่งผลต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียได้สองทิศทาง กล่าวคือ หากนักลงทุนคาดว่าประเทศอื่นในกลุ่มเอเชียจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลง ก็อาจเทขายหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเอเชียไปพร้อมๆ กัน แต่หากนักลงทุนเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศอื่นในเอเชียมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ก็อาจเทขายหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพื่อมาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นประเทศอื่นในเอเชียแทน
ด้านธนาคาร ญี่ปุ่นจัดเป็นแหล่งเงินกู้ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซบเซาลง ธนาคารหลายแห่งในญี่ปุ่นจึงมีข้อจำกัดด้านเงินทุนในการปล่อยกู้ ในปี 2543 ธนาคารในไทยพึ่งพาเงินกู้จากธนาคารญี่ปุ่นมากที่สุดถึง 37% ของเงินกู้จากต่างประเทศรวมทั้งหมด รองลงมา คือ ฮ่องกง (32%) มาเลเซีย (27%) สิงคโปร์ (27%) อินโดนีเซีย (25%) เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และจีน (18%) ตามลำดับ
ด้านธุรกิจ ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนทางตรงรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อธุรกิจในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาลง ย่อมส่งผลกระทบต่อการเข้าไปลงทุนทางตรงของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน ในปี 2543 ประเทศในเอเชียที่ได้รับเงินลงทุนทางตรงจากญี่ปุ่นมากที่สุด คือ ไทย (25% ของมูลค่าเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศทั้งหมด) รองลงมา คือ สิงคโปร์ (23%) เกาหลีใต้ (16%) มาเลเซีย (14%) อินโดนีเซีย (13%) ฟิลิปปินส์ (7%) และจีน (7%) ตามลำดับ
จากผลการศึกษาของ IMF พบว่าภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียแตกต่างกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจญี่ปุ่นต่างกัน หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2544 ซบเซาลง 2% จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และไทย ซบเซาลงเฉลี่ย 0.33% ในขณะที่เศรษฐกิจของจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะซบเซาลงเฉลี่ยเพียง 0.2% เท่านั้น
ค่าเงินของประเทศในกลุ่มเอเชียอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศได้ แม้ว่าตั้งแต่เกิดวิกฤตค่าเงินเอเชีย ประเทศในกลุ่มเอเชียลดการก่อหนี้ต่างประเทศและใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเสรีมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากภายนอกประเทศ แต่ค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลงสามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินของบางประเทศในกลุ่มเอเชียได้เช่นกัน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชียที่ส่งออกสินค้าประเภทเดียวกับญี่ปุ่น เนื่องจากประเทศเหล่านี้จะเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับสินค้าจากญี่ปุ่น ทำให้ประเทศในกลุ่มนี้มีรายได้จากการส่งออกลดลงและมียอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น อันจะส่งผลให้ค่าเงินของกลุ่มประเทศดังกล่าวอ่อนตัวลงด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ
IMF คาดว่าภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะซบเซาลงเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาลง คือ การดำเนินนโยบายการคลังเข้มงวด ดังนั้นจึงคาดว่าการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและลงทุนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชีย ประกอบกับเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศจะทำให้การส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัว และส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น การค้าระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศในกลุ่มเอเชียก็จะขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในปี 2545 IMF คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวราว 0.2% ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียส่วนใหญ่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น อาทิ มาเลเซีย (4.8%) เกาหลีใต้ (4.5%) อินโดนีเซีย (4.3%) ไทย (4.0%) ฮ่องกง (4.0%) สิงคโปร์ (4.0%) และฟิลิปปินส์ (3.5%) ยกเว้นเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยเหลือ 7.1% ในปี 2545
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย--
-อน-