กรุงเทพ--17 ม.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
การเดินทางไปร่วมประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
1. ด้วยในระหว่างวันที่ 22 - 23 มกราคม 2543 ฯพณฯ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดจะเดินทางไปร่วมประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Extraordinary Meeting of the Council of Ministers of the Indian Ocean Rim Association for Regional Co-operation) ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน ตามคำเชิญของนาย Yusuf bin Alawi bin Abdullah รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน
2. นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เนื่องจากไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association for Regional Co-operation : IOR - ARC) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ และมีการลงนามในเอกสารการรับสมาชิกใหม่โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาการสมัครเป็นสมาชิกของฝรั่งเศสและปากีสถาน รวมทั้งการขอเป็นประเทศคู่เจรจาของอังกฤษและจีน ตลอดจนจะมี การหารือเรื่องการค้าและการลงทุนด้วย
นอกจากจะเข้าร่วมการประชุมนี้แล้ว ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้มีโอกาสพบปะและหารือข้อราชการกับบุคคลสำคัญของโอมาน อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่ปรึกษาของสุลต่าน และนักธุรกิจที่สำคัญของโอมานที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทย
3. สมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association for Regional Cooperation : IOR - ARC) เป็นแนวคิดเพื่อการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิก ทั้งสิ้น 19 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย แอฟริกาใต้ เคนยา สิงคโปร์ โอมาน มอริเชียส อินโดนีเซีย มาดากัสการ์ มาเลเซีย โมซัมบิก ศรีลังกา เยเมน แทนซาเนีย ไทย บังกลาเทศ อิหร่าน เซเชลส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยไทย บังกลาเทศ อิหร่าน เซเชลส์ และสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ได้รับฉันทามติให้เข้าเป็นสมาชิกใหม่เมื่อเดือนมีนาคม 2542
4. การที่ประเทศไทยสนใจสมัครเป็นสมาชิกสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (IOR - ARC) เนื่องจากเล็งเห็นว่า ภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง กล่าวคือมีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ภูมิภาคแอฟริกาใต้และแอฟริกาตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งรวมถึงประชากรประมาณ 1,600 ล้านคน มีมูลค่าการค้ารวมร้อยละ 10 ของการค้าโลกและเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจดังกล่าว ภูมิภาคนี้จะเป็นตลาดการค้าและแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของไทยแห่งใหม่ รวมทั้งในระยะยาวประเทศไทยอาจจะเชื่อม IOR - ARC เข้ากับโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ของไทย ซึ่งจะส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การเงินและการคมนาคมระหว่างประเทศในอนาคตได้
5. ในปัจจุบันสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียมีสำนักเลขาธิการประจำอยู่ที่มอริเชียส ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีการลงนามความตกลงการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียระหว่างสมาคมฯ กับรัฐบาลมอริเชียส
การเดินทางเยือนโมร็อกโกอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2543
6. ในระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2543 ภายหลังจากการเสร็จสิ้นการประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียแล้ว ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะทางการและผู้แทนภาคเอกชนจะเดินทางไปเยือน ราชอาณาจักรโมร็อกโกอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับ โมร็อกโกในทุกด้าน รวมทั้งด้านการค้า
7. ในโอกาสการเยือนครั้งนี้ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้พบกับนาย Abderrahmane Youssoufi นายกรัฐมนตรีโมร็อกโก นาย Mohamed Benaissa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือ และนาย Alami Tazi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อุตสาหกรรม และการหัตถกรรม นอกจากนี้ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้ลงนามในความตกลงการค้าระหว่างรัฐบาลไทยกับโมร็อกโก ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองฝ่ายให้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันไทยกับโมร็อกโกมีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณปีละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแม้ว่าจะยังเป็นปริมาณที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยไทยส่งออกส่วนประกอบเครื่องยนต์ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนไทยนำเข้าปุ๋ย และผลิตภัณฑ์จากฟอสเฟต แผงวงจรไฟฟ้า รวมทั้งอาหารทะเลสดแช่แข็งจากโมร็อกโก
8. ในการเดินทางเยือนครั้งนี้จะมีผู้แทนภาคเอกชนอย่างน้อย 2 สาขาร่วมเดินทางด้วย ได้แก่ บริษัท Intercontinental Tuk Tuk ส่งออกรถสามล้อเครื่อง (ตุ๊กตุ๊ก) ร่วมเดินทางไปด้วย โดยผู้นำเข้าโมร็อกโกสนใจสั่งรถสามล้อเครื่องจากประเทศไทย และมีโอกาสที่จะส่งรถตุ๊กตุ๊ก ต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย และบริษัท Siam Chemicals ซึ่งมีโครงการที่จะทำธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกับโมร็อกโก เนื่องจากโมร็อกโกเป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตฟอสเฟตรายสำคัญ และมีทรัพยากรทางทะเลจำนวนมาก
9. การเดินทางเยือนโมร็อกโกในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับโมร็อกโกแล้ว ยังจะเป็นการขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีด้วย ไทยในฐานะที่เป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาครั้งที่ 10 (UNCTAD X) ได้ประสานกับสหประชาชาติในการเชิญโมร็อกโกเข้าร่วมประชุมในฐานะที่เป็นประธานกลุ่ม G 77 ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา การเยือนโมร็อกโกครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการโน้มน้าวให้โมร็อกโกส่งผู้แทนระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้ให้เข้าร่วมประชุม UNCTAD X เพื่อวางแผนการพัฒนาและการค้าในอนาคตสำหรับประชาคมโลก--จบ--
การเดินทางไปร่วมประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
1. ด้วยในระหว่างวันที่ 22 - 23 มกราคม 2543 ฯพณฯ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดจะเดินทางไปร่วมประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Extraordinary Meeting of the Council of Ministers of the Indian Ocean Rim Association for Regional Co-operation) ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน ตามคำเชิญของนาย Yusuf bin Alawi bin Abdullah รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน
2. นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เนื่องจากไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association for Regional Co-operation : IOR - ARC) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2542 ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ และมีการลงนามในเอกสารการรับสมาชิกใหม่โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาการสมัครเป็นสมาชิกของฝรั่งเศสและปากีสถาน รวมทั้งการขอเป็นประเทศคู่เจรจาของอังกฤษและจีน ตลอดจนจะมี การหารือเรื่องการค้าและการลงทุนด้วย
นอกจากจะเข้าร่วมการประชุมนี้แล้ว ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้มีโอกาสพบปะและหารือข้อราชการกับบุคคลสำคัญของโอมาน อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่ปรึกษาของสุลต่าน และนักธุรกิจที่สำคัญของโอมานที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทย
3. สมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association for Regional Cooperation : IOR - ARC) เป็นแนวคิดเพื่อการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิก ทั้งสิ้น 19 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย แอฟริกาใต้ เคนยา สิงคโปร์ โอมาน มอริเชียส อินโดนีเซีย มาดากัสการ์ มาเลเซีย โมซัมบิก ศรีลังกา เยเมน แทนซาเนีย ไทย บังกลาเทศ อิหร่าน เซเชลส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยไทย บังกลาเทศ อิหร่าน เซเชลส์ และสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ได้รับฉันทามติให้เข้าเป็นสมาชิกใหม่เมื่อเดือนมีนาคม 2542
4. การที่ประเทศไทยสนใจสมัครเป็นสมาชิกสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (IOR - ARC) เนื่องจากเล็งเห็นว่า ภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง กล่าวคือมีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ภูมิภาคแอฟริกาใต้และแอฟริกาตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งรวมถึงประชากรประมาณ 1,600 ล้านคน มีมูลค่าการค้ารวมร้อยละ 10 ของการค้าโลกและเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจดังกล่าว ภูมิภาคนี้จะเป็นตลาดการค้าและแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของไทยแห่งใหม่ รวมทั้งในระยะยาวประเทศไทยอาจจะเชื่อม IOR - ARC เข้ากับโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ของไทย ซึ่งจะส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การเงินและการคมนาคมระหว่างประเทศในอนาคตได้
5. ในปัจจุบันสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียมีสำนักเลขาธิการประจำอยู่ที่มอริเชียส ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีการลงนามความตกลงการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียระหว่างสมาคมฯ กับรัฐบาลมอริเชียส
การเดินทางเยือนโมร็อกโกอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2543
6. ในระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2543 ภายหลังจากการเสร็จสิ้นการประชุมสมัยวิสามัญสภาคณะรัฐมนตรีของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียแล้ว ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะทางการและผู้แทนภาคเอกชนจะเดินทางไปเยือน ราชอาณาจักรโมร็อกโกอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับ โมร็อกโกในทุกด้าน รวมทั้งด้านการค้า
7. ในโอกาสการเยือนครั้งนี้ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้พบกับนาย Abderrahmane Youssoufi นายกรัฐมนตรีโมร็อกโก นาย Mohamed Benaissa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือ และนาย Alami Tazi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อุตสาหกรรม และการหัตถกรรม นอกจากนี้ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้ลงนามในความตกลงการค้าระหว่างรัฐบาลไทยกับโมร็อกโก ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองฝ่ายให้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันไทยกับโมร็อกโกมีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณปีละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแม้ว่าจะยังเป็นปริมาณที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยไทยส่งออกส่วนประกอบเครื่องยนต์ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนไทยนำเข้าปุ๋ย และผลิตภัณฑ์จากฟอสเฟต แผงวงจรไฟฟ้า รวมทั้งอาหารทะเลสดแช่แข็งจากโมร็อกโก
8. ในการเดินทางเยือนครั้งนี้จะมีผู้แทนภาคเอกชนอย่างน้อย 2 สาขาร่วมเดินทางด้วย ได้แก่ บริษัท Intercontinental Tuk Tuk ส่งออกรถสามล้อเครื่อง (ตุ๊กตุ๊ก) ร่วมเดินทางไปด้วย โดยผู้นำเข้าโมร็อกโกสนใจสั่งรถสามล้อเครื่องจากประเทศไทย และมีโอกาสที่จะส่งรถตุ๊กตุ๊ก ต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย และบริษัท Siam Chemicals ซึ่งมีโครงการที่จะทำธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกับโมร็อกโก เนื่องจากโมร็อกโกเป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตฟอสเฟตรายสำคัญ และมีทรัพยากรทางทะเลจำนวนมาก
9. การเดินทางเยือนโมร็อกโกในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับโมร็อกโกแล้ว ยังจะเป็นการขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีด้วย ไทยในฐานะที่เป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาครั้งที่ 10 (UNCTAD X) ได้ประสานกับสหประชาชาติในการเชิญโมร็อกโกเข้าร่วมประชุมในฐานะที่เป็นประธานกลุ่ม G 77 ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา การเยือนโมร็อกโกครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการโน้มน้าวให้โมร็อกโกส่งผู้แทนระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้ให้เข้าร่วมประชุม UNCTAD X เพื่อวางแผนการพัฒนาและการค้าในอนาคตสำหรับประชาคมโลก--จบ--