1.สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
เงาะ : คาดว่าราคาจะตกต่ำ
ปริมาณผลผลิตเงาะในปี 2543 คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 550,000 ตัน โดยมีจันทบุรี เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญที่สุดประมาณร้อยละ 55 ของผลผลิตทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ตราด ระยอง สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช
ปริมาณผลผลิตดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2542 สูงขึ้นร้อยละ 25 แต่ลดลงร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่ผลผลิตมาก โดยผลผลิตของภาคตะวันออกปีนี้ประมาณร้อยละ 90 จะออกสู่ตลาดมากในช่วง 1 มิถุนายน -15 กรกฎาคม สำหรับภาคใต้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งในช่วงดังกล่าว ตรงกับผลผลิตลำไย ทุเรียน และมังคุดออกสู่ตลาดเช่นกัน คาดว่าจะก่อให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตเงาะตกต่ำได้ โดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกมาก
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนเงาะ ซึ่งอาจได้รับความเดือนร้อนจากภาวะราคาตกต่ำ ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาช่วยเหลือด้านราคาและการตลาดสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2543 วันที่ 1 มิถุนายน 2543 จึงมีมติอนุมัติให้มีการแทรกแซงตลาดเงาะปี 2543 ในวงเงิน 250 ล้านบาท ดังนี้
1. ให้กรมการค้าภายใน 200 ล้านบาทนำไปจัดสรรให้โรงงานผลไม้กระป๋องกู้ยืมปลอดดอกเบี้ย หรือให้ องค์การคลังสินค้า ใช้รับจำนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโรงงานผลไม้กระป๋อง เพื่อให้โรงงานรับซื้อเงาะจากสถาบันเกษตรกร/เกษตรกรในราคานำตลาด ภาคตะวันออก 100 ล้านบาท ภาคใต้ 100 ล้านบาท
ระยะเวลารับซื้อและรับจำนำ มิถุนายน-สิงหาคม 2543
ระยะเวลาไถ่ถอน ภายในเมษายน 2544
ระยะเวลาโครงการ มิถุนายน 2543-พฤษภาคม 2544
2. ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ 50 ล้านบาท นำไปให้สหกรณ์สุราษฎร์ธานี จำกัด ยืมเป็นทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รับซื้อเงาะภาคใต้ในราคานำตลาดเพื่อส่งโรงงานและระบายออกนอกแหล่งผลิต
ระยะเวลารับซื้อ มิถุนายน- สิงหาคม 2543
ระยะเวลาโครงการ มิถุนายน-กันยายน 2543
3. กำหนดราคาเป้าหมายนำ กิโลกรัมละ 9.57 บาท
ทั้งนี้ จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินต่อไป 2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ไก่เนื้อ : ราคาไก่เนื้อโน้มสูงขึ้น
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ในเดือนพฤษภาคม 2543 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยราคาในเขตภาคกลางได้เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 21.90 บาทในเดือนเมษายนเป็นกิโลกรัมละ 24.43 บาทในเดือนพฤษภาคม ซึ่งราคาไก่เนื้อเริ่มขยับตัวสูงขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นมา เนื่องจากในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม มีการขาดแคลนน้ำ ราคาอาหารสัตว์แพง ลูกไก่เจริญเติบโตช้า และมีอัตราการตายของไก่เนื้อสูง ทำให้ขณะนี้ปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดลดลง ประมาณร้อยละ 20 กอปรกับการส่งออกเนื้อไก่ขยายตัวจากการที่ค่าเงินบาทของไทยอ่อนตัวด้วย
จากสถิติกรมศุลกากร การส่งออกไก่สดแช่แข็งของไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2543 มีปริมาณ 58,939 ตัน มูลค่า 3,719.53 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณ 50,402 ตัน มูลค่า 3,635.83 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.48 และ 2.25 ตามลำดับ ส่วนเนื้อไก่แปรรูปมีปริมาณ 16,003 ตัน มูลค่า 2,062.94 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณ 6,056 ตัน มูลค่า 773.31 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เนื่องจากมีตลาดรองรับเพิ่มขึ้น นอกจากตลาดหลักที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ได้แก่ เกาหลีใต้ และตะวันออกกลาง
2.2 ปุ๋ยเคมี : ราคาปุ๋ยน่าจะโน้มสูงขึ้น
จากช่วงต้นปี 2543 ราคาปุ๋ยเคมีขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ได้แก่ สูตร 16-20-0 16-16-8 , 15-15-15 และ 13-13-21 มีแนวโน้มลดลงจากช่วงต้นปี และในช่วงเดียวกันของปีก่อน กล่าวคือ ในเดือนเมษายนมีราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ประมาณ 5,800.00 , 6,250.00 , 7,450.00 และ 7,450.00 บาทต่อตัน ตามลำดับ แต่ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในปุ๋ยผสมชนิดต่าง ๆ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ เดือนเมษายน 2543 ประมาณ 4,650.03 บาทต่อตัน สูงกว่าปีที่แล้วในเดือนเดียวกันประมาณร้อยละ 13 และสูงกว่าเดือนมกราคมปีเดียวกันประมาณร้อยละ 21 ดังนั้นแม้ราคาปุ๋ยผสมที่สำคัญทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว ในช่วงต้นปี 2543 (มค.-เมย.) จะต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนดังกล่าว เมื่อระดับราคาปุ๋ยยูเรียมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเริ่มฤดูทำนา จึงคาดว่าราคาปุ๋ยผสม โดยเฉพาะปุ๋ยข้าวน่าจะมีราคาโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2543 ราคาปุ๋ยผสมสูตร 16-20-0 , 16-16-8 แปละ 15-15-15 ที่ค้างอยู่ที่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กำหนดราคาปุ๋ยผสมดังกล่าวที่ 5,400 , 6,075 และ 7,250 บาทต่อตัน ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ เดือนเมษายนประมาณร้อยละ 7 , 3 และ 3 ตามลำดับ ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปุ๋ยผสมทั้ง 3 สูตร ยังคงเหลือค้างอยู่ในสถาบันทั้ง 3 ดังกล่าว ประมาณ 60,000 ตัน การใส่ปุ๋ยเคมีราคาที่ถูกกว่าใช้ในการเพาะปลูกน่าจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกร
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 29 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2543--
-อน-
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
เงาะ : คาดว่าราคาจะตกต่ำ
ปริมาณผลผลิตเงาะในปี 2543 คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 550,000 ตัน โดยมีจันทบุรี เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญที่สุดประมาณร้อยละ 55 ของผลผลิตทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ตราด ระยอง สุราษฎร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช
ปริมาณผลผลิตดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2542 สูงขึ้นร้อยละ 25 แต่ลดลงร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่ผลผลิตมาก โดยผลผลิตของภาคตะวันออกปีนี้ประมาณร้อยละ 90 จะออกสู่ตลาดมากในช่วง 1 มิถุนายน -15 กรกฎาคม สำหรับภาคใต้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งในช่วงดังกล่าว ตรงกับผลผลิตลำไย ทุเรียน และมังคุดออกสู่ตลาดเช่นกัน คาดว่าจะก่อให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตเงาะตกต่ำได้ โดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกมาก
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนเงาะ ซึ่งอาจได้รับความเดือนร้อนจากภาวะราคาตกต่ำ ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาช่วยเหลือด้านราคาและการตลาดสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2543 วันที่ 1 มิถุนายน 2543 จึงมีมติอนุมัติให้มีการแทรกแซงตลาดเงาะปี 2543 ในวงเงิน 250 ล้านบาท ดังนี้
1. ให้กรมการค้าภายใน 200 ล้านบาทนำไปจัดสรรให้โรงงานผลไม้กระป๋องกู้ยืมปลอดดอกเบี้ย หรือให้ องค์การคลังสินค้า ใช้รับจำนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโรงงานผลไม้กระป๋อง เพื่อให้โรงงานรับซื้อเงาะจากสถาบันเกษตรกร/เกษตรกรในราคานำตลาด ภาคตะวันออก 100 ล้านบาท ภาคใต้ 100 ล้านบาท
ระยะเวลารับซื้อและรับจำนำ มิถุนายน-สิงหาคม 2543
ระยะเวลาไถ่ถอน ภายในเมษายน 2544
ระยะเวลาโครงการ มิถุนายน 2543-พฤษภาคม 2544
2. ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ 50 ล้านบาท นำไปให้สหกรณ์สุราษฎร์ธานี จำกัด ยืมเป็นทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รับซื้อเงาะภาคใต้ในราคานำตลาดเพื่อส่งโรงงานและระบายออกนอกแหล่งผลิต
ระยะเวลารับซื้อ มิถุนายน- สิงหาคม 2543
ระยะเวลาโครงการ มิถุนายน-กันยายน 2543
3. กำหนดราคาเป้าหมายนำ กิโลกรัมละ 9.57 บาท
ทั้งนี้ จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินต่อไป 2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ไก่เนื้อ : ราคาไก่เนื้อโน้มสูงขึ้น
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ในเดือนพฤษภาคม 2543 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยราคาในเขตภาคกลางได้เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 21.90 บาทในเดือนเมษายนเป็นกิโลกรัมละ 24.43 บาทในเดือนพฤษภาคม ซึ่งราคาไก่เนื้อเริ่มขยับตัวสูงขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นมา เนื่องจากในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม มีการขาดแคลนน้ำ ราคาอาหารสัตว์แพง ลูกไก่เจริญเติบโตช้า และมีอัตราการตายของไก่เนื้อสูง ทำให้ขณะนี้ปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดลดลง ประมาณร้อยละ 20 กอปรกับการส่งออกเนื้อไก่ขยายตัวจากการที่ค่าเงินบาทของไทยอ่อนตัวด้วย
จากสถิติกรมศุลกากร การส่งออกไก่สดแช่แข็งของไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2543 มีปริมาณ 58,939 ตัน มูลค่า 3,719.53 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณ 50,402 ตัน มูลค่า 3,635.83 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.48 และ 2.25 ตามลำดับ ส่วนเนื้อไก่แปรรูปมีปริมาณ 16,003 ตัน มูลค่า 2,062.94 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วปริมาณ 6,056 ตัน มูลค่า 773.31 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เนื่องจากมีตลาดรองรับเพิ่มขึ้น นอกจากตลาดหลักที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ได้แก่ เกาหลีใต้ และตะวันออกกลาง
2.2 ปุ๋ยเคมี : ราคาปุ๋ยน่าจะโน้มสูงขึ้น
จากช่วงต้นปี 2543 ราคาปุ๋ยเคมีขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ได้แก่ สูตร 16-20-0 16-16-8 , 15-15-15 และ 13-13-21 มีแนวโน้มลดลงจากช่วงต้นปี และในช่วงเดียวกันของปีก่อน กล่าวคือ ในเดือนเมษายนมีราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ประมาณ 5,800.00 , 6,250.00 , 7,450.00 และ 7,450.00 บาทต่อตัน ตามลำดับ แต่ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในปุ๋ยผสมชนิดต่าง ๆ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ เดือนเมษายน 2543 ประมาณ 4,650.03 บาทต่อตัน สูงกว่าปีที่แล้วในเดือนเดียวกันประมาณร้อยละ 13 และสูงกว่าเดือนมกราคมปีเดียวกันประมาณร้อยละ 21 ดังนั้นแม้ราคาปุ๋ยผสมที่สำคัญทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว ในช่วงต้นปี 2543 (มค.-เมย.) จะต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนดังกล่าว เมื่อระดับราคาปุ๋ยยูเรียมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเริ่มฤดูทำนา จึงคาดว่าราคาปุ๋ยผสม โดยเฉพาะปุ๋ยข้าวน่าจะมีราคาโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2543 ราคาปุ๋ยผสมสูตร 16-20-0 , 16-16-8 แปละ 15-15-15 ที่ค้างอยู่ที่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กำหนดราคาปุ๋ยผสมดังกล่าวที่ 5,400 , 6,075 และ 7,250 บาทต่อตัน ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ เดือนเมษายนประมาณร้อยละ 7 , 3 และ 3 ตามลำดับ ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปุ๋ยผสมทั้ง 3 สูตร ยังคงเหลือค้างอยู่ในสถาบันทั้ง 3 ดังกล่าว ประมาณ 60,000 ตัน การใส่ปุ๋ยเคมีราคาที่ถูกกว่าใช้ในการเพาะปลูกน่าจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกร
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 29 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2543--
-อน-