บทสรุปสำหรับนักลงทุน
ยางแผ่นรมควันนับเป็นการแปรรูปยางขั้นพื้นฐานจากน้ำยางดิบ เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมขั้นต่อไป เช่น ยางรถยนต์ ที่มีการใช้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ยางรัดของยางลบ ท่อยาง และยางพื้นรองเท้า เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก โดยร้อยละ 95 ของผลผลิตจะถูกส่งออก ที่เหลืออีกร้อยละ 5 ใช้ในประเทศ ผลิตภัณฑ์ส่งออกส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นรมควันถึงร้อยละ 52 ของปริมาณการส่งออกยางทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 มีสัดส่วนส่งออกมากที่สุด
ปริมาณการใช้ยางในประเทศในแต่ละปีอยู่ในระดับประมาณ 4-5 หมื่นตัน ในขณะที่มีการส่งออกถึงกว่าล้านตันต่อปี แต่จากภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก คือ ญี่ปุ่นชะลอลง กอปรกับราคายางตลาดโลกตกต่ำต่อเนื่อง จึงทำให้การส่งออกในช่วง 4-5 ปี (2538-2541) ที่ผ่านมาลดลงเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปีเนื่องจากต้องพึ่งตลาดส่งออกเป็นหลัก ดังนั้น มูลค่าการค้ายางพารารวมในช่วงปี 2538-2541 จึงลดลงเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี โดยมีปริมาณความต้องการรวมลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี
ปริมาณและมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 ลดลงจากช่วง เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13 และ 37 อยู่ที่ 0.46 ล้านตัน และ 10,695 ล้านบาท ตามลำดับ มีราคาเฉลี่ยส่งออกอยู่ที่ 23,219 บาท/ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 28 ตลาดส่งออกหลักของยางแผ่นรมควัน
คือ ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 42 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ จีน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ตามลำดับ คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกตลอดปี 2542 จะลดลงจากปีก่อนร้อยละ 8 และ 28 ตามลำดับ ทำให้ความต้องการรวมลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7 อยู่ที่ 1.01 ล้านตัน อันเป็นผลจากการส่งออกและความต้องการใช้ในประเทศที่ชะลอลงกอปรกับราคาที่ตกต่ำถึงกว่าร้อยละ 22 อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มในปี 2543 จะดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลักจะทำให้การส่งออกยางแผ่นรมควันของไทยสดใสขึ้น คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 1.0 และ 5.4 ตามลำดับ ขณะเดียวกันการใช้ในประเทศก็ขยายตัวเช่นกัน ตามภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังนั้น คาดว่าความต้องการรวมในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และมูลค่าราวร้อยละ 1 และ 6 ตามลำดับ อยู่ที่ 1.03 ล้านตัน และ 24,486 ล้านบาท ตามลำดับ
การลงทุนตั้งโรงงานยางแผ่นรมควันขนาดกลาง-ย่อม (กำลังการผลิต 40,000 ตัน/ปี) ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 85 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 45 ล้านบาท และ เงินทุนหมุนเวียน 40 ล้านบาทต่อปี โครงสร้างต้นทุนการผลิตเป็นค่าวัตถุดิบถึงร้อยละ 95 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
การตลาด
ความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่อันดับ 1 ของโลก แต่มีการใช้ในประเทศเพียงร้อยละ 10 ของผลผลิตทั้งหมด นอกนั้นเป็นการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกในรูปของยางแผ่นรมควันมีสัดส่วนสูงสุดถึงร้อยละ 56 ของมูลค่าการส่งออกยางพาราทั้งหมด
การคัดชั้นยางแผ่นรมควันใช้สายตาพิจารณาตามหลักเกณฑ์ คือ 1) การขึ้นรา 2) คุณสมบัติของการมีตำหนิ ทั้งนี้สามารถจำแนกยางแผ่นรมควันได้เป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1/
1.! ยางแผ่นรมควันชั้น 1 พิเศษ (RSS 1X) ต้องตรวจกรรมวิธีการผลิตภายในโรงงานผลิตยางแผ่นดิบและโรงรม ส่วนยางแผ่นรมควันชั้นอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องตรวจขั้นตอนการผลิต ปลอดราทุกชนิด และไม่มีตำหนิที่แผ่นยาง
2.! ยางแผ่นรมควันชั้น 1 (RSS 1) มีราแห้งบนห่อ/ผิวก้อนได้เล็กน้อย แต่ต้องไม่มีตำหนิที่แผ่นยาง
3.! ยางแผ่นรมควันชั้น 2 (RSS 2) มีราแห้ง ราสนิมบนห่อ/ผิวก้อน และในก้อนได้เล็กน้อย แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศและสิ่งสกปรกเล็ก ๆ
4.! ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เป็นเกรดที่ไทยผลิตได้มากที่สุดกว่าร้อยละ 80 ของผลผลิตยางแผ่นรมควันทั้งหมด (RSS 3) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศสิ่งสกปรก และสีด่างดำเล็กน้อย
5.! ยางแผ่นรมควันชั้น 4 (RSS 4) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 และ 3 แต่ไม่เกินร้อยละ 20 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศ สิ่งสกปรก และสีด่างดำปานกลาง เหนียวและแก่รมได้เล็กน้อย
6.! ยางแผ่นรมควันชั้น 5 (RSS 5) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 3 และ 4 แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศและสิ่งสกปรกใหญ่ขึ้น สีคล้ำมากขึ้น แก่รม และยางเหนียวปานกลาง ยางพอง และอ่อนรมได้เล็กน้อย
การใช้ยางในประเทศมีเพียง 4-5 หมื่นตันต่อปี จัดว่ามีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกในแต่ละปี สาเหตุสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการใช้ยางธรรมชาติของไทยไม่ขยายตัวเท่าที่ควรเนื่องจากยางธรรมชาติส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ ซึ่งมีการผลิตในประเทศค่อน
ข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์ของไทยขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ และขาดเทคโนโลยีการผลิตตามหลักวิชาการ
1/ ที่มา: สถาบันวิจัยยาง
ปริมาณความต้องการใช้ยางแผ่นรมควันในประเทศเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงตามภาวะการผลิตยางรถยนต์เป็นสำคัญ ล่าสุดอยู่ที่ 42,932 ตัน มูลค่า 1,161 ล้านบาท ในปี 2541 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 13 และลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี ในช่วงปี 2538-2541 ตามการชะลอตัวทางภาวะเศรษฐกิจใน
ประเทศ ส่วนการส่งออกก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดช่วงปี 2538-2541 เฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี เป็น 1.05 ล้านตันในปี 2541 มูลค่า 31,008 ล้านบาท เนื่องจากราคายางแผ่นตลาดโลกตกต่ำ โดยราคายางแผ่นรมควัน ณ ตลาดสิงคโปร์ ช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี อยู่ที่ 28,812 บาท/ตัน ในปี 2541 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าที่ชะลอลง โดยเฉพาะประเทศนำเข้าหลัก เช่น ญี่ปุ่นที่อุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัวลงโดยรวมแล้วปริมาณมูลค่าความต้องการยางแผ่นรมควันในปี 2541 อยู่ที่ 1.09 ล้านตัน มูลค่า 32,169 ล้านบาท
การส่งออกยางแผ่นรมควันในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 ยังคงลดลง โดยปริมาณและมูลค่าการส่งออก ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.6 และ 36.8 อยู่ที่ 0.46 ล้านตัน และ 10,694.9 ล้านบาท ตามลำดับ มีราคาเฉลี่ยส่งออกอยู่ที่ 23,219 บาท/ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 27.7 ตลาดส่งออกหลักยางแผ่นรมควัน คือ ญี่ปุ่นที่ไทยมีอัตราการพึ่งพิงถึงร้อยละ 41.8 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ (12.2%) จีน (9.2%) สิงคโปร์ (6.0%) และเกาหลีใต้ (4.2%) ซึ่งไทยมีอัตราการพึ่งพิงตลาดส่งออกหลักทั้ง 5 ประเทศถึงร้อยละ 73 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด คาดว่าตลอดปี 2542 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันจะอยู่ที่ประมาณ 0.97 ล้านตัน และ 22,310 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.6 และ 28.1 ตามลำดับ ขณะที่การใช้ในประเทศมีเพียง 44,000 ตัน เท่านั้น ทำให้ความต้องการใช้ทั้งหมดลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.2 อยู่ที่ 1.01 ล้านตัน อันเป็นผลจากความต้องการใช้ที่ชะลอลง กอปรกับราคาที่ตกต่ำถึงกว่าร้อยละ 22
แนวโน้มการส่งออกยางแผ่นรมควันของไทยในปี 2543 จะสดใสขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลัก จึงคาดว่าปริมาณการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 1 และราคาส่งออกที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องจะกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เป็น 24,000 บาท/ตัน ทำให้มูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันขยายตัวร้อยละ 5.4 เป็น 23,520 ล้านบาท โดยที่การใช้ในประเทศขยายตัวเช่นกันทั้งด้านปริมาณและมูลค่าร้อยละ 4.5 และ 9.8 อยู่ที่ 46,000 ตัน และ 966 ล้านบาท ตามลำดับ ดังนั้น ความต้องการรวมในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และมูลค่าร้อยละ 1.2 และ 5.6 ตามลำดับ อยู่ที่ 1.03 ล้านตัน และ 24,486 ล้านบาท ตามลำดับ
ผู้ผลิตในปัจจุบัน (คู่แข่ง)
คู่แข่งขันในตลาดโลกที่สำคัญ คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ของโลกรองจากไทย สำหรับจำนวนโรงงานยางแผ่นรมควันของไทยในปัจจุบันมีจำนวน 180 โรง ตั้งอยู่ในภาคใต้มากที่สุด รองลงมา คือ ภาคตะวันออก
รายชื่อผู้ประกอบการสำคัญ
ขนาดใหญ่ เงินลงทุน (บาท)
บริษัท ยูโรสยามรับเบอร์ จำกัด 770,000,000
บริษัท ยูโร-ไทยสรรพ จำกัด 625,000,000
บริษัท ยางไทยปักษ์ใต้ จำกัด (จ.ปัตตานี) 231,000,000
บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด 227,200,000
ขนาดกลางและย่อม
บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด (จ.สงขลา) 184,890,000
บริษัท ทรัพย์มีลาเท็กซ์ จำกัด 177,000,000
บริษัท ศรีตรัง แอโกร อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จ.ตรัง 123,200,000
บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด (จ.ยะลา) 123,000,000
บริษัท ยูนิคแมครับเบอร์ จำกัด 122,100,000
ที่มา: กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
ช่องทางการจำหน่าย
ราวร้อยละ 96 ของผลผลิตยางแผ่นรมควันจะส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทศ ขณะที่การใช้ยางในประเทศยังมีสัดส่วนที่น้อยมากเพียงร้อยละ 4 เนื่องจากยางธรรมชาติส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ โดยมีผู้ใช้หลัก ได้แก่ ผู้ผลิตยางรถยนต์ต่างๆ เช่น ยางสยาม สยามมิชลิน กู๊ด
เยียร์ (ประเทศไทย) และ ไทยบริดจสโตน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอุตสาหกรรม โดยการส่งออกยางแผ่นรมควันนั้นผู้ผลิต ในประเทศไทยจะติดต่อกับคู่ค้าในต่างประเทศโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์สำคัญของโลก ได้แก่ บริดจสโตน (Bridgestone) กู๊ดเยียร์ (Goodyear) มิชลิน (Michelin) เป็นต้น
การผลิต
วัตถุดิบที่ใช้และแหล่งวัตถุดิบ
ยางแผ่นรมควันทำจากยางแผ่นดิบ (unsmoked sheet) ซึ่งได้มาจากน้ำยางสดของต้นยางพารา ดังนั้น วัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมยางแผ่นรมควันจึงมาจากในประเทศทั้งหมด โดยแหล่งปลูกยางพาราส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ถึงร้อยละ 86 รองลงมา คือภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 12 และ 2 ตามลำดับ สำหรับแหล่งรับซื้อยางแผ่นดิบมีทั้งจากตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ จ.สงขลา และซื้อจากบริษัทเอกชนในหลายจังหวัด เช่น หจก.อนันต์การยางหจก. ธนาการยาง และ หจก.พร้อมสิน เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิต
ประเภท สัดส่วน (%)
1. วัตถุดิบ 95
- วัตถุดิบในประเทศ 100
2. ค่าแรงงาน 2
3. ค่าเสื่อมราคา และอื่น ๆ เช่น ค่าพลังงาน 3
รวม 100
ที่มา: สอบถามผู้ประกอบการ
กรรมวิธีการผลิต
1.! นำยางแผ่นดิบทำความสะอาดด้วยการล้างผ่านเครื่องล้างยาง
2.! ตากแผ่นยางบนโครงตากยาง แล้วนำเข้าห้องรมควัน ประมาณ 4-6 วัน
3.! เมื่อสุกแล้วนำออกมาคัดเกรดยาง
4.! แยกหีบห่อแต่ละเกรดเป็นยางแผ่นรมควันชั้น 1 2 3 4 และ 5
5.! นำมาทาแป้ง
6.! ทำมาร์คกิ้ง
เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต
เนื่องจากกระบวนการผลิตยางแผ่นรมควันไม่ซับซ้อนนัก จึงใช้เครื่องจักรที่ประกอบในประเทศได้ ได้แก่ เครื่องล้างยาง เพื่อล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวยางออก เครื่องอัดไฮโดรลิค ใช้อัดก้อนยาง เครื่องป่นแป้ง ใช้พ่นแป้งที่ยางเพื่อไม่ให้ติดกัน และสายพานลำเลียงสำหรับลำเลียงยางใน
โรงงาน
การลงทุนและการเงิน
ในการลงทุนอุตสาหกรรมยางแผ่นรมควัน ควรตั้งอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังต้องการขนาดพื้นที่โรงงานค่อนข้างใหญ่ กรณีการลงทุนขนาดกำลังการผลิต 40,000 ตันต่อปี โดยใช้ชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ประกอบด้วยเงินลงทุนและอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้
เงินลงทุน
1.!เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนเริ่มต้น 85 ล้านบาท
- ค่าที่ดินและค่าสิ่งปลูกสร้าง 22 ล้านบาท
- ค่าเครื่องจักร 21 ล้านบาท
- ค่ายานพาหนะและอื่นๆ 2 ล้านบาท
2.!เงินทุนหมุนเวียน 40 ล้านบาท/ปี
บุคลากร อุตสาหกรรมผลิตยางแผ่นรมควันขนาดกลางใช้บุคลากรประมาณ 350 คนประกอบด้วย
1.!พนักงานในโรงงาน ประกอบด้วย
1.1! คนงานทั่วไป จำนวน 340 คน
1.2! ช่าง จำนวน 4 คน
1.3! ผู้จัดการโรงงาน จำนวน 2 คน
2. พนักงานประจำสำนักงาน จำนวน 4 คน
ค่าใช้จ่ายต่อปี
ต้นทุนการขาย
1.! ต้นทุนวัตถุดิบ 719,000,000 บาทต่อปี
- ยางแผ่นดิบ 719,000,000 บาทต่อปี
2. ต้นทุนแรงงาน 16,800,000 บาทต่อปี
3. ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 8,000,000 บาทต่อปี
4. ต้นทุนค่าโสหุ้ยการผลิต 14,500,000 บาทต่อปี
4.1 ค่าสาธารณูปโภค
- ค่าน้ำ 145,000 บาทต่อปี
- ค่าไฟ 522,000 บาทต่อปี
- ค่าโทรศัพท์ 478,500 บาทต่อปี
4.2 ค่าขนส่ง 3,683,000 บาทต่อปี
4.3 ค่าดอกเบี้ยจ่าย 9,671,500 บาทต่อปี
กำไรเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 7 ของยอดขาย
ภาคผนวก
แหล่งขายเครื่องจักร (ในประเทศหรือต่างประเทศ)
รายชื่อผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย
บริษัท ที่อยู่
หจก. ดานาอันสเตนเลส จ. สงขลา
บริษัท บางกอกมอเตอร์อินเตอร์เทรด จำกัด
บริษัท แพนแมคแคนิคเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 12/46-47 ถ.ศรีนครินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โทร 379-3244-6
บริษัท ไทยมุ้ยกรุ๊ป จำกัด 1856-72 ถ.เจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทร 639-6699
บริษัท พีเครับเบอร์อินดัสตรี จำกัด 56/59 ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โทร 435-9065-6
ที่มา: สอบถามจากผู้ประกอบการ
ข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขออนุญาตต่าง ๆ
การตั้งโรงงานยางแผ่นรมควัน นอกจากจะต้องขออนุญาตการตั้งโรงงานกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจดทะเบียนการค้ากับกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว การทำกิจการเกี่ยวกับยางธรรมชาติยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2481 1/ กรณีโรงงานยางแผ่นรมควันจะเป็น
ทั้งผู้ค้ายาง ผู้ส่งออกด้วย ซึ่งมีกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.!การตั้งโรงรมยาง
ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตตั้งโรงรมยางต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมโรงละ 100 บาท
2.!ด้านการค้ายาง
ผู้ค้ายางต้องยื่นขอใบอนุญาตค้ายาง พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 25 บาท และกรณีที่มียางไว้ในครอบครองตั้งแต่ 1,200 กก.ขึ้นไป ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตมียางไว้ในครอบครองต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 100 บาท
3.!ผู้ส่งออกยาง
- ผู้ค้ายางที่จะส่งยางออกนอกประเทศ ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ส่งออกยางออกนอกประเทศต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ซึ่งออกใบ อนุญาตค้ายางพร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 100 บาท โดยใบผ่านด่านศุลกากรฉบับหนึ่งให้ออกสำหรับการอนุญาตให้เป็นผู้ส่งออก ยางทางด่านศุลกากรด่านหนึ่ง
- ผู้ส่งออกยางธรรมชาติต้องเสียเงินสงเคราะห์เพื่อการปลูกทดแทน (Cess) เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริม ช่วยเหลือเจ้าของสวน ยางให้ทำการปรับปรุงสวนยางให้ดีขึ้น ในอัตรา 0.90 บาท/กก. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2534
ใบอนุญาตดังกล่าวข้างต้นมีอายุเพียงวันที่ 31 ธันวาคมของปีที่ออกใบอนุญาต และต่ออายุได้ไม่เกินคราวละ 1 ปี
แหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค
-! สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
-! กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
-! สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
-! สหกรณ์กองทุนสวนยาง
-! สหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย--จบ--
-ชต-
ยางแผ่นรมควันนับเป็นการแปรรูปยางขั้นพื้นฐานจากน้ำยางดิบ เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมขั้นต่อไป เช่น ยางรถยนต์ ที่มีการใช้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ยางรัดของยางลบ ท่อยาง และยางพื้นรองเท้า เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก โดยร้อยละ 95 ของผลผลิตจะถูกส่งออก ที่เหลืออีกร้อยละ 5 ใช้ในประเทศ ผลิตภัณฑ์ส่งออกส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นรมควันถึงร้อยละ 52 ของปริมาณการส่งออกยางทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 มีสัดส่วนส่งออกมากที่สุด
ปริมาณการใช้ยางในประเทศในแต่ละปีอยู่ในระดับประมาณ 4-5 หมื่นตัน ในขณะที่มีการส่งออกถึงกว่าล้านตันต่อปี แต่จากภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก คือ ญี่ปุ่นชะลอลง กอปรกับราคายางตลาดโลกตกต่ำต่อเนื่อง จึงทำให้การส่งออกในช่วง 4-5 ปี (2538-2541) ที่ผ่านมาลดลงเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปีเนื่องจากต้องพึ่งตลาดส่งออกเป็นหลัก ดังนั้น มูลค่าการค้ายางพารารวมในช่วงปี 2538-2541 จึงลดลงเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี โดยมีปริมาณความต้องการรวมลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี
ปริมาณและมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 ลดลงจากช่วง เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13 และ 37 อยู่ที่ 0.46 ล้านตัน และ 10,695 ล้านบาท ตามลำดับ มีราคาเฉลี่ยส่งออกอยู่ที่ 23,219 บาท/ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 28 ตลาดส่งออกหลักของยางแผ่นรมควัน
คือ ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 42 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ จีน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ตามลำดับ คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกตลอดปี 2542 จะลดลงจากปีก่อนร้อยละ 8 และ 28 ตามลำดับ ทำให้ความต้องการรวมลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7 อยู่ที่ 1.01 ล้านตัน อันเป็นผลจากการส่งออกและความต้องการใช้ในประเทศที่ชะลอลงกอปรกับราคาที่ตกต่ำถึงกว่าร้อยละ 22 อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มในปี 2543 จะดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลักจะทำให้การส่งออกยางแผ่นรมควันของไทยสดใสขึ้น คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 1.0 และ 5.4 ตามลำดับ ขณะเดียวกันการใช้ในประเทศก็ขยายตัวเช่นกัน ตามภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังนั้น คาดว่าความต้องการรวมในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และมูลค่าราวร้อยละ 1 และ 6 ตามลำดับ อยู่ที่ 1.03 ล้านตัน และ 24,486 ล้านบาท ตามลำดับ
การลงทุนตั้งโรงงานยางแผ่นรมควันขนาดกลาง-ย่อม (กำลังการผลิต 40,000 ตัน/ปี) ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 85 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 45 ล้านบาท และ เงินทุนหมุนเวียน 40 ล้านบาทต่อปี โครงสร้างต้นทุนการผลิตเป็นค่าวัตถุดิบถึงร้อยละ 95 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
การตลาด
ความต้องการในปัจจุบันและอนาคต
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่อันดับ 1 ของโลก แต่มีการใช้ในประเทศเพียงร้อยละ 10 ของผลผลิตทั้งหมด นอกนั้นเป็นการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกในรูปของยางแผ่นรมควันมีสัดส่วนสูงสุดถึงร้อยละ 56 ของมูลค่าการส่งออกยางพาราทั้งหมด
การคัดชั้นยางแผ่นรมควันใช้สายตาพิจารณาตามหลักเกณฑ์ คือ 1) การขึ้นรา 2) คุณสมบัติของการมีตำหนิ ทั้งนี้สามารถจำแนกยางแผ่นรมควันได้เป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1/
1.! ยางแผ่นรมควันชั้น 1 พิเศษ (RSS 1X) ต้องตรวจกรรมวิธีการผลิตภายในโรงงานผลิตยางแผ่นดิบและโรงรม ส่วนยางแผ่นรมควันชั้นอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องตรวจขั้นตอนการผลิต ปลอดราทุกชนิด และไม่มีตำหนิที่แผ่นยาง
2.! ยางแผ่นรมควันชั้น 1 (RSS 1) มีราแห้งบนห่อ/ผิวก้อนได้เล็กน้อย แต่ต้องไม่มีตำหนิที่แผ่นยาง
3.! ยางแผ่นรมควันชั้น 2 (RSS 2) มีราแห้ง ราสนิมบนห่อ/ผิวก้อน และในก้อนได้เล็กน้อย แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศและสิ่งสกปรกเล็ก ๆ
4.! ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เป็นเกรดที่ไทยผลิตได้มากที่สุดกว่าร้อยละ 80 ของผลผลิตยางแผ่นรมควันทั้งหมด (RSS 3) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศสิ่งสกปรก และสีด่างดำเล็กน้อย
5.! ยางแผ่นรมควันชั้น 4 (RSS 4) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 และ 3 แต่ไม่เกินร้อยละ 20 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศ สิ่งสกปรก และสีด่างดำปานกลาง เหนียวและแก่รมได้เล็กน้อย
6.! ยางแผ่นรมควันชั้น 5 (RSS 5) การขึ้นราเหมือนชั้น 2 3 และ 4 แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของตัวอย่างที่ตรวจ ตำหนิที่มีได้ คือ ฟองอากาศและสิ่งสกปรกใหญ่ขึ้น สีคล้ำมากขึ้น แก่รม และยางเหนียวปานกลาง ยางพอง และอ่อนรมได้เล็กน้อย
การใช้ยางในประเทศมีเพียง 4-5 หมื่นตันต่อปี จัดว่ามีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกในแต่ละปี สาเหตุสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการใช้ยางธรรมชาติของไทยไม่ขยายตัวเท่าที่ควรเนื่องจากยางธรรมชาติส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ ซึ่งมีการผลิตในประเทศค่อน
ข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมยางรถยนต์ของไทยขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ และขาดเทคโนโลยีการผลิตตามหลักวิชาการ
1/ ที่มา: สถาบันวิจัยยาง
ปริมาณความต้องการใช้ยางแผ่นรมควันในประเทศเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงตามภาวะการผลิตยางรถยนต์เป็นสำคัญ ล่าสุดอยู่ที่ 42,932 ตัน มูลค่า 1,161 ล้านบาท ในปี 2541 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 13 และลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี ในช่วงปี 2538-2541 ตามการชะลอตัวทางภาวะเศรษฐกิจใน
ประเทศ ส่วนการส่งออกก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดช่วงปี 2538-2541 เฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี เป็น 1.05 ล้านตันในปี 2541 มูลค่า 31,008 ล้านบาท เนื่องจากราคายางแผ่นตลาดโลกตกต่ำ โดยราคายางแผ่นรมควัน ณ ตลาดสิงคโปร์ ช่วงปี 2538-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี อยู่ที่ 28,812 บาท/ตัน ในปี 2541 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าที่ชะลอลง โดยเฉพาะประเทศนำเข้าหลัก เช่น ญี่ปุ่นที่อุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัวลงโดยรวมแล้วปริมาณมูลค่าความต้องการยางแผ่นรมควันในปี 2541 อยู่ที่ 1.09 ล้านตัน มูลค่า 32,169 ล้านบาท
การส่งออกยางแผ่นรมควันในช่วงครึ่งแรกของปี 2542 ยังคงลดลง โดยปริมาณและมูลค่าการส่งออก ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.6 และ 36.8 อยู่ที่ 0.46 ล้านตัน และ 10,694.9 ล้านบาท ตามลำดับ มีราคาเฉลี่ยส่งออกอยู่ที่ 23,219 บาท/ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 27.7 ตลาดส่งออกหลักยางแผ่นรมควัน คือ ญี่ปุ่นที่ไทยมีอัตราการพึ่งพิงถึงร้อยละ 41.8 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ (12.2%) จีน (9.2%) สิงคโปร์ (6.0%) และเกาหลีใต้ (4.2%) ซึ่งไทยมีอัตราการพึ่งพิงตลาดส่งออกหลักทั้ง 5 ประเทศถึงร้อยละ 73 ของมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันทั้งหมด คาดว่าตลอดปี 2542 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันจะอยู่ที่ประมาณ 0.97 ล้านตัน และ 22,310 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.6 และ 28.1 ตามลำดับ ขณะที่การใช้ในประเทศมีเพียง 44,000 ตัน เท่านั้น ทำให้ความต้องการใช้ทั้งหมดลดลงจากปีก่อนร้อยละ 7.2 อยู่ที่ 1.01 ล้านตัน อันเป็นผลจากความต้องการใช้ที่ชะลอลง กอปรกับราคาที่ตกต่ำถึงกว่าร้อยละ 22
แนวโน้มการส่งออกยางแผ่นรมควันของไทยในปี 2543 จะสดใสขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลัก จึงคาดว่าปริมาณการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 1 และราคาส่งออกที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องจะกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เป็น 24,000 บาท/ตัน ทำให้มูลค่าการส่งออกยางแผ่นรมควันขยายตัวร้อยละ 5.4 เป็น 23,520 ล้านบาท โดยที่การใช้ในประเทศขยายตัวเช่นกันทั้งด้านปริมาณและมูลค่าร้อยละ 4.5 และ 9.8 อยู่ที่ 46,000 ตัน และ 966 ล้านบาท ตามลำดับ ดังนั้น ความต้องการรวมในปี 2543 จะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และมูลค่าร้อยละ 1.2 และ 5.6 ตามลำดับ อยู่ที่ 1.03 ล้านตัน และ 24,486 ล้านบาท ตามลำดับ
ผู้ผลิตในปัจจุบัน (คู่แข่ง)
คู่แข่งขันในตลาดโลกที่สำคัญ คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ของโลกรองจากไทย สำหรับจำนวนโรงงานยางแผ่นรมควันของไทยในปัจจุบันมีจำนวน 180 โรง ตั้งอยู่ในภาคใต้มากที่สุด รองลงมา คือ ภาคตะวันออก
รายชื่อผู้ประกอบการสำคัญ
ขนาดใหญ่ เงินลงทุน (บาท)
บริษัท ยูโรสยามรับเบอร์ จำกัด 770,000,000
บริษัท ยูโร-ไทยสรรพ จำกัด 625,000,000
บริษัท ยางไทยปักษ์ใต้ จำกัด (จ.ปัตตานี) 231,000,000
บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด 227,200,000
ขนาดกลางและย่อม
บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด (จ.สงขลา) 184,890,000
บริษัท ทรัพย์มีลาเท็กซ์ จำกัด 177,000,000
บริษัท ศรีตรัง แอโกร อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จ.ตรัง 123,200,000
บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด (จ.ยะลา) 123,000,000
บริษัท ยูนิคแมครับเบอร์ จำกัด 122,100,000
ที่มา: กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
ช่องทางการจำหน่าย
ราวร้อยละ 96 ของผลผลิตยางแผ่นรมควันจะส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทศ ขณะที่การใช้ยางในประเทศยังมีสัดส่วนที่น้อยมากเพียงร้อยละ 4 เนื่องจากยางธรรมชาติส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ โดยมีผู้ใช้หลัก ได้แก่ ผู้ผลิตยางรถยนต์ต่างๆ เช่น ยางสยาม สยามมิชลิน กู๊ด
เยียร์ (ประเทศไทย) และ ไทยบริดจสโตน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอุตสาหกรรม โดยการส่งออกยางแผ่นรมควันนั้นผู้ผลิต ในประเทศไทยจะติดต่อกับคู่ค้าในต่างประเทศโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์สำคัญของโลก ได้แก่ บริดจสโตน (Bridgestone) กู๊ดเยียร์ (Goodyear) มิชลิน (Michelin) เป็นต้น
การผลิต
วัตถุดิบที่ใช้และแหล่งวัตถุดิบ
ยางแผ่นรมควันทำจากยางแผ่นดิบ (unsmoked sheet) ซึ่งได้มาจากน้ำยางสดของต้นยางพารา ดังนั้น วัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมยางแผ่นรมควันจึงมาจากในประเทศทั้งหมด โดยแหล่งปลูกยางพาราส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ถึงร้อยละ 86 รองลงมา คือภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 12 และ 2 ตามลำดับ สำหรับแหล่งรับซื้อยางแผ่นดิบมีทั้งจากตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ จ.สงขลา และซื้อจากบริษัทเอกชนในหลายจังหวัด เช่น หจก.อนันต์การยางหจก. ธนาการยาง และ หจก.พร้อมสิน เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิต
ประเภท สัดส่วน (%)
1. วัตถุดิบ 95
- วัตถุดิบในประเทศ 100
2. ค่าแรงงาน 2
3. ค่าเสื่อมราคา และอื่น ๆ เช่น ค่าพลังงาน 3
รวม 100
ที่มา: สอบถามผู้ประกอบการ
กรรมวิธีการผลิต
1.! นำยางแผ่นดิบทำความสะอาดด้วยการล้างผ่านเครื่องล้างยาง
2.! ตากแผ่นยางบนโครงตากยาง แล้วนำเข้าห้องรมควัน ประมาณ 4-6 วัน
3.! เมื่อสุกแล้วนำออกมาคัดเกรดยาง
4.! แยกหีบห่อแต่ละเกรดเป็นยางแผ่นรมควันชั้น 1 2 3 4 และ 5
5.! นำมาทาแป้ง
6.! ทำมาร์คกิ้ง
เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต
เนื่องจากกระบวนการผลิตยางแผ่นรมควันไม่ซับซ้อนนัก จึงใช้เครื่องจักรที่ประกอบในประเทศได้ ได้แก่ เครื่องล้างยาง เพื่อล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวยางออก เครื่องอัดไฮโดรลิค ใช้อัดก้อนยาง เครื่องป่นแป้ง ใช้พ่นแป้งที่ยางเพื่อไม่ให้ติดกัน และสายพานลำเลียงสำหรับลำเลียงยางใน
โรงงาน
การลงทุนและการเงิน
ในการลงทุนอุตสาหกรรมยางแผ่นรมควัน ควรตั้งอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังต้องการขนาดพื้นที่โรงงานค่อนข้างใหญ่ กรณีการลงทุนขนาดกำลังการผลิต 40,000 ตันต่อปี โดยใช้ชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ประกอบด้วยเงินลงทุนและอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้
เงินลงทุน
1.!เงินทุนจดทะเบียนและเงินทุนเริ่มต้น 85 ล้านบาท
- ค่าที่ดินและค่าสิ่งปลูกสร้าง 22 ล้านบาท
- ค่าเครื่องจักร 21 ล้านบาท
- ค่ายานพาหนะและอื่นๆ 2 ล้านบาท
2.!เงินทุนหมุนเวียน 40 ล้านบาท/ปี
บุคลากร อุตสาหกรรมผลิตยางแผ่นรมควันขนาดกลางใช้บุคลากรประมาณ 350 คนประกอบด้วย
1.!พนักงานในโรงงาน ประกอบด้วย
1.1! คนงานทั่วไป จำนวน 340 คน
1.2! ช่าง จำนวน 4 คน
1.3! ผู้จัดการโรงงาน จำนวน 2 คน
2. พนักงานประจำสำนักงาน จำนวน 4 คน
ค่าใช้จ่ายต่อปี
ต้นทุนการขาย
1.! ต้นทุนวัตถุดิบ 719,000,000 บาทต่อปี
- ยางแผ่นดิบ 719,000,000 บาทต่อปี
2. ต้นทุนแรงงาน 16,800,000 บาทต่อปี
3. ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 8,000,000 บาทต่อปี
4. ต้นทุนค่าโสหุ้ยการผลิต 14,500,000 บาทต่อปี
4.1 ค่าสาธารณูปโภค
- ค่าน้ำ 145,000 บาทต่อปี
- ค่าไฟ 522,000 บาทต่อปี
- ค่าโทรศัพท์ 478,500 บาทต่อปี
4.2 ค่าขนส่ง 3,683,000 บาทต่อปี
4.3 ค่าดอกเบี้ยจ่าย 9,671,500 บาทต่อปี
กำไรเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 7 ของยอดขาย
ภาคผนวก
แหล่งขายเครื่องจักร (ในประเทศหรือต่างประเทศ)
รายชื่อผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย
บริษัท ที่อยู่
หจก. ดานาอันสเตนเลส จ. สงขลา
บริษัท บางกอกมอเตอร์อินเตอร์เทรด จำกัด
บริษัท แพนแมคแคนิคเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 12/46-47 ถ.ศรีนครินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โทร 379-3244-6
บริษัท ไทยมุ้ยกรุ๊ป จำกัด 1856-72 ถ.เจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทร 639-6699
บริษัท พีเครับเบอร์อินดัสตรี จำกัด 56/59 ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โทร 435-9065-6
ที่มา: สอบถามจากผู้ประกอบการ
ข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขออนุญาตต่าง ๆ
การตั้งโรงงานยางแผ่นรมควัน นอกจากจะต้องขออนุญาตการตั้งโรงงานกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจดทะเบียนการค้ากับกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว การทำกิจการเกี่ยวกับยางธรรมชาติยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2481 1/ กรณีโรงงานยางแผ่นรมควันจะเป็น
ทั้งผู้ค้ายาง ผู้ส่งออกด้วย ซึ่งมีกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.!การตั้งโรงรมยาง
ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตตั้งโรงรมยางต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมโรงละ 100 บาท
2.!ด้านการค้ายาง
ผู้ค้ายางต้องยื่นขอใบอนุญาตค้ายาง พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 25 บาท และกรณีที่มียางไว้ในครอบครองตั้งแต่ 1,200 กก.ขึ้นไป ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตมียางไว้ในครอบครองต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 100 บาท
3.!ผู้ส่งออกยาง
- ผู้ค้ายางที่จะส่งยางออกนอกประเทศ ให้ยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ส่งออกยางออกนอกประเทศต่อเจ้าพนักงานประจำท้องที่ซึ่งออกใบ อนุญาตค้ายางพร้อมด้วยค่าธรรมเนียมฉบับละ 100 บาท โดยใบผ่านด่านศุลกากรฉบับหนึ่งให้ออกสำหรับการอนุญาตให้เป็นผู้ส่งออก ยางทางด่านศุลกากรด่านหนึ่ง
- ผู้ส่งออกยางธรรมชาติต้องเสียเงินสงเคราะห์เพื่อการปลูกทดแทน (Cess) เพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริม ช่วยเหลือเจ้าของสวน ยางให้ทำการปรับปรุงสวนยางให้ดีขึ้น ในอัตรา 0.90 บาท/กก. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2534
ใบอนุญาตดังกล่าวข้างต้นมีอายุเพียงวันที่ 31 ธันวาคมของปีที่ออกใบอนุญาต และต่ออายุได้ไม่เกินคราวละ 1 ปี
แหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค
-! สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
-! กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
-! สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
-! สหกรณ์กองทุนสวนยาง
-! สหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย--จบ--
-ชต-