ข่าวในประเทศ
1. ยอดการใช้เช็คในเดือน ก.ย.43 ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.93 ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ในฐานะรองโฆษก ธปท.เปิดเผยสถิติการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารในเดือน ก.ย.43 ว่า มีจำนวนเช็คเรียกเก็บทั้งหมด 4.25 ล.ฉบับ ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.93 คิดเป็นมูลค่า 1,236.76 พัน ล.บาท ลดลงร้อยละ 2.05 จากเดือน ส.ค. ขณะที่ปริมาณการใช้เช็คเฉลี่ยต่อวันลดลงร้อยละ 3.55 แต่มูลค่าเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.62 เช็คคืนมีปริมาณและมูลค่าลดลงจากเดือน ส.ค.เล็กน้อย โดยมีปริมาณทั้งหมด 105,235 ฉบับ เป็นสัดส่วนร้อยละ 2.48 ของเช็คเรียกเก็บทั้งหมด และมีมูลค่า 10.13 พัน ล.บาท คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของมูลค่าเช็คเรียกเก็บทั้งหมด สำหรับเช็คเรียกคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีจำนวน 61,623 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 1.45 ของจำนวนเช็คเรียกเก็บทั้งหมด และมีมูลค่าทั้งสิ้น 4.84 พัน ล.บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 0.39 ของมูลค่าเช็คเรียกเก็บ เมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาสพบว่า มูลค่าเช็คเรียกเก็บตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 42 เนื่องจากการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารที่สำคัญ ได้เปลี่ยนเป็นการโอนผ่านระบบบาทเน็ตที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.43 (วัฏจักร,แนวหน้า 3)
2. มูลหนี้ต่างประเทศสุทธิในเดือน ส.ค.43 ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธปท.เปิดเผยว่า มูลหนี้ต่างประเทศในเดือน ส.ค.43 อยู่ที่ระดับ 85.59 พัน ล.ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากเงินกู้ของไทยมีสกุลเงินเยนรวมอยู่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ขณะเดียวกันแหล่งข่าวจาก ธปท.กล่าวว่า หนี้ต่างประเทศสุทธิดังกล่าว แบ่งเป็นหนี้ภาครัฐบาล 22.91 พัน ล.ดอลลาร์ หนี้ ธปท. 12.47 พัน ล.ดอลลาร์ และหนี้ภาคเอกชน 50.20 พัน ล.ดอลลาร์ ขณะที่เดือน ก.ค.43 หนี้ต่างประเทศสุทธิมีจำนวน 85.52 พัน ล.ดอลลาร์ แบ่งเป็นหนี้ภาครัฐ 22.46 พัน ล.ดอลลาร์ หนี้ ธปท.จำนวน 12.40 พัน ล.ดอลลาร์ และหนี้ภาคเอกชน 50.65 พัน ล.ดอลลาร์ ทั้งนี้ เดือน ส.ค.ภาคเอกชนได้คืนหนี้ต่างประเทศรวมทั้งภาคธนาคารละภาคธุรกิจทั่วไปประมาณ 800 ล.ดอลลาร์ ซึ่งสัดส่วนหนี้ต่างประเทศของไทยอยู่ในทิศทางดีขึ้น เนื่องจากเป็นหนี้ระยะสั้นร้อยละ 18.1 และหนี้ระยะยาวร้อยละ 81.9 โดยแนวโน้มหนี้ต่างประเทศในเดือน ก.ย.จะลดลงมาก เพราะนอกจากภาคเอกชนจะชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดปกติและชำระคืนก่อนกำหนดแล้ว ในส่วนของเงินกู้ที่เป็นเงินเยนก็ลดลงด้วย เนื่องจากเงินเยนแข็งค่าขึ้น (ไทยโพสต์ 3)
3. ผู้บริหารระดับสูง ธพ.คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 44 รองผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงิน ธ.ไทยพาณิชย์กล่าวว่า ค่าเงินบาทในปี 44 มีแนวโน้มค่อนข้างผันผวน โดยมีกรอบเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 40-46 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 42 บาท/ดอลลาร์ จะเป็นอีกปีหนึ่งที่มีเงินทุนไหลออกนอกประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการรวมทั้งนักลงทุนควรซื้อป้องกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า รวมทั้งการแปลงสภาพหนี้ต่างประเทศมาเป็นเงินบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศมีแนวโน้มต่ำลงอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับค่าเงินบาทในขณะนี้ยังไม่มีทางแก้ไข เนื่องจากขาดปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน และต้องยอมรับว่าเป็นโอกาสของนักเก็งกำไร (กรุงเทพธุรกิจ 3)
ข่าวต่างประเทศ
1. ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน สรอ. เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ปี 43 รายงานจากวอชิงตันเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 43 ก. แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 3 ปี 43 ประสิทธิภาพแรงงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งใช้วัดผลผลิตของแรงงานต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 สูงกว่าที่ตลาดการเงินคาดไว้ว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 แต่ลดลงจากตัวเลขปรับใหม่ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ในไตรมาสที่ 2 ปี 43 ขณะเดียวกัน ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้สัญญานเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสที่ 2 ปี 43 และสูงกว่าที่เคยคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หัวหน้าเศรษฐกรของ A.G. Edwards & Sons กล่าวว่า แม้ว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 43 เศรษฐกิจ สรอ. เติบโตอย่างชะลอตัวลง แต่ประสิทธิภาพการผลิตฯ ยังคงขยายตัว ขณะที่ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย เพิ่มขึ้นในวงจำกัด โดยเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 42 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1(รอยเตอร์ 2)
2. IMF ประมาณการว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ในปี 43 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 2 พ.ย.43 รมว.คลังเยอรมนีแถลงว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุในรายงานประจำปีว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ในปี 43 และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ในปี 44 โดยโฆษกประจำ ก.คลังฯยืนยันแถลงการณ์ดังกล่าว ใน นสพ.ธุรกิจชื่อ Handelsblatt ซึ่งรายงานเพิ่มเติมว่า IMF คาดว่าราคาผู้บริโภคของเยอรมนี จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 และ 1.9 ในปี 43 และปี 44 ตามลำดับ ทั้งนี้ รายงานของ IMF เป็นไปในทางที่ดีกว่าความคาดหมายของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 6 แห่งของเยอรมนีที่ประมาณการว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 43 แต่จะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ในปี 44 อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยฯ ดังกล่าวประเมินว่า เยอรมนีจะได้รับแรงกดดันด้านราคาผู้บริโภคน้อยลง โดยคาดว่า เงินเฟ้อจะอยู่ที่อัตราเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในปี 43 และจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ในปี 44 (รอยเตอร์ 2)
3. ดัชนี PMI ของเยอรมนีลดลงอยู่ที่ระดับ 56.4 ในเดือน ต.ค.43 รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อวันที่ 2 พ.ย.43 บริษัทวิจัย NTC รายงานว่า เดือน ต.ค.43 ดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) ของเยอรมนี ซึ่งใช้วัดภาวะอุตสาหกรรมการผลิต หลังปรับฤดูกาลแล้ว ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.4 จากที่อยู่ที่ระดับ 56.5 ในเดือน ก.ย.43 นับเป็นการขยายตัวในระดับที่ชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนประกอบของดัชนีที่สำคัญมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 57.9 ในเดือน ก.ย.43 ซึ่งแม้จะยังขยายตัว แต่ขยายตัวลดลงต่อเนื่องนับแต่เดือน มิ.ย.43 เป็นต้นมา และเริ่มมีสัญญาณการตึงตัวในการใช้กำลังการผลิต ขณะที่ดัชนีคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกลดลงอยู่ที่ระดับ 56.3 จากระดับ 56.7 ในเดือน ก.ย.43 แต่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 56.4 จากระดับ 55.0 ในเดือน ก.ย.43 ส่วนดัชนีราคาในระดับการผลิตอยู่ที่ระดับ 70.9 จากระดับ 73.2 ในเดือน ก.ย.43 (รอยเตอร์ 2)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ระหว่างธนาคาร ณ สิ้นวันทำการ 2 พ.ย. 43 43.573 (43.708)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ที่ ธพ.ซื้อขายกับลูกค้า(ตั๋วเงิน) ณ สิ้นวันทำการ 2 พ.ย. 43ซื้อ 43.3795 (43.5439) ขาย 43.6937 (43.8528)
ทองคำแท่ง(บาทละ) ซื้อ 5,450 (5,450) ขาย 5,550 (5,550)
น้ำมันดิบ(ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล) โอมาน 29.15 (29.35)
น้ำมันเบนซินพิเศษ(เพอร์ฟอร์มาโกลด์) 16.49 (16.49) ดีเซลหมุนเร็ว 15.04 (15.04)
หมายเหตุ ตัวเลขในวงเล็บเป็นตัวเลขของวันก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ยอดการใช้เช็คในเดือน ก.ย.43 ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.93 ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ในฐานะรองโฆษก ธปท.เปิดเผยสถิติการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารในเดือน ก.ย.43 ว่า มีจำนวนเช็คเรียกเก็บทั้งหมด 4.25 ล.ฉบับ ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 7.93 คิดเป็นมูลค่า 1,236.76 พัน ล.บาท ลดลงร้อยละ 2.05 จากเดือน ส.ค. ขณะที่ปริมาณการใช้เช็คเฉลี่ยต่อวันลดลงร้อยละ 3.55 แต่มูลค่าเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.62 เช็คคืนมีปริมาณและมูลค่าลดลงจากเดือน ส.ค.เล็กน้อย โดยมีปริมาณทั้งหมด 105,235 ฉบับ เป็นสัดส่วนร้อยละ 2.48 ของเช็คเรียกเก็บทั้งหมด และมีมูลค่า 10.13 พัน ล.บาท คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของมูลค่าเช็คเรียกเก็บทั้งหมด สำหรับเช็คเรียกคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีจำนวน 61,623 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 1.45 ของจำนวนเช็คเรียกเก็บทั้งหมด และมีมูลค่าทั้งสิ้น 4.84 พัน ล.บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 0.39 ของมูลค่าเช็คเรียกเก็บ เมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาสพบว่า มูลค่าเช็คเรียกเก็บตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 42 เนื่องจากการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารที่สำคัญ ได้เปลี่ยนเป็นการโอนผ่านระบบบาทเน็ตที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.43 (วัฏจักร,แนวหน้า 3)
2. มูลหนี้ต่างประเทศสุทธิในเดือน ส.ค.43 ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธปท.เปิดเผยว่า มูลหนี้ต่างประเทศในเดือน ส.ค.43 อยู่ที่ระดับ 85.59 พัน ล.ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากเงินกู้ของไทยมีสกุลเงินเยนรวมอยู่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ขณะเดียวกันแหล่งข่าวจาก ธปท.กล่าวว่า หนี้ต่างประเทศสุทธิดังกล่าว แบ่งเป็นหนี้ภาครัฐบาล 22.91 พัน ล.ดอลลาร์ หนี้ ธปท. 12.47 พัน ล.ดอลลาร์ และหนี้ภาคเอกชน 50.20 พัน ล.ดอลลาร์ ขณะที่เดือน ก.ค.43 หนี้ต่างประเทศสุทธิมีจำนวน 85.52 พัน ล.ดอลลาร์ แบ่งเป็นหนี้ภาครัฐ 22.46 พัน ล.ดอลลาร์ หนี้ ธปท.จำนวน 12.40 พัน ล.ดอลลาร์ และหนี้ภาคเอกชน 50.65 พัน ล.ดอลลาร์ ทั้งนี้ เดือน ส.ค.ภาคเอกชนได้คืนหนี้ต่างประเทศรวมทั้งภาคธนาคารละภาคธุรกิจทั่วไปประมาณ 800 ล.ดอลลาร์ ซึ่งสัดส่วนหนี้ต่างประเทศของไทยอยู่ในทิศทางดีขึ้น เนื่องจากเป็นหนี้ระยะสั้นร้อยละ 18.1 และหนี้ระยะยาวร้อยละ 81.9 โดยแนวโน้มหนี้ต่างประเทศในเดือน ก.ย.จะลดลงมาก เพราะนอกจากภาคเอกชนจะชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดปกติและชำระคืนก่อนกำหนดแล้ว ในส่วนของเงินกู้ที่เป็นเงินเยนก็ลดลงด้วย เนื่องจากเงินเยนแข็งค่าขึ้น (ไทยโพสต์ 3)
3. ผู้บริหารระดับสูง ธพ.คาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 44 รองผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงิน ธ.ไทยพาณิชย์กล่าวว่า ค่าเงินบาทในปี 44 มีแนวโน้มค่อนข้างผันผวน โดยมีกรอบเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 40-46 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 42 บาท/ดอลลาร์ จะเป็นอีกปีหนึ่งที่มีเงินทุนไหลออกนอกประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการรวมทั้งนักลงทุนควรซื้อป้องกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า รวมทั้งการแปลงสภาพหนี้ต่างประเทศมาเป็นเงินบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศมีแนวโน้มต่ำลงอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับค่าเงินบาทในขณะนี้ยังไม่มีทางแก้ไข เนื่องจากขาดปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน และต้องยอมรับว่าเป็นโอกาสของนักเก็งกำไร (กรุงเทพธุรกิจ 3)
ข่าวต่างประเทศ
1. ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน สรอ. เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ปี 43 รายงานจากวอชิงตันเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 43 ก. แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 3 ปี 43 ประสิทธิภาพแรงงานนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งใช้วัดผลผลิตของแรงงานต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 สูงกว่าที่ตลาดการเงินคาดไว้ว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 แต่ลดลงจากตัวเลขปรับใหม่ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ในไตรมาสที่ 2 ปี 43 ขณะเดียวกัน ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้สัญญานเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสที่ 2 ปี 43 และสูงกว่าที่เคยคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หัวหน้าเศรษฐกรของ A.G. Edwards & Sons กล่าวว่า แม้ว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 43 เศรษฐกิจ สรอ. เติบโตอย่างชะลอตัวลง แต่ประสิทธิภาพการผลิตฯ ยังคงขยายตัว ขณะที่ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย เพิ่มขึ้นในวงจำกัด โดยเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 42 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1(รอยเตอร์ 2)
2. IMF ประมาณการว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ในปี 43 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 2 พ.ย.43 รมว.คลังเยอรมนีแถลงว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุในรายงานประจำปีว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ในปี 43 และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ในปี 44 โดยโฆษกประจำ ก.คลังฯยืนยันแถลงการณ์ดังกล่าว ใน นสพ.ธุรกิจชื่อ Handelsblatt ซึ่งรายงานเพิ่มเติมว่า IMF คาดว่าราคาผู้บริโภคของเยอรมนี จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 และ 1.9 ในปี 43 และปี 44 ตามลำดับ ทั้งนี้ รายงานของ IMF เป็นไปในทางที่ดีกว่าความคาดหมายของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ 6 แห่งของเยอรมนีที่ประมาณการว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 43 แต่จะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ในปี 44 อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยฯ ดังกล่าวประเมินว่า เยอรมนีจะได้รับแรงกดดันด้านราคาผู้บริโภคน้อยลง โดยคาดว่า เงินเฟ้อจะอยู่ที่อัตราเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในปี 43 และจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ในปี 44 (รอยเตอร์ 2)
3. ดัชนี PMI ของเยอรมนีลดลงอยู่ที่ระดับ 56.4 ในเดือน ต.ค.43 รายงานจากแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อวันที่ 2 พ.ย.43 บริษัทวิจัย NTC รายงานว่า เดือน ต.ค.43 ดัชนี PMI (Purchasing Managers' Index) ของเยอรมนี ซึ่งใช้วัดภาวะอุตสาหกรรมการผลิต หลังปรับฤดูกาลแล้ว ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.4 จากที่อยู่ที่ระดับ 56.5 ในเดือน ก.ย.43 นับเป็นการขยายตัวในระดับที่ชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนประกอบของดัชนีที่สำคัญมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 57.9 ในเดือน ก.ย.43 ซึ่งแม้จะยังขยายตัว แต่ขยายตัวลดลงต่อเนื่องนับแต่เดือน มิ.ย.43 เป็นต้นมา และเริ่มมีสัญญาณการตึงตัวในการใช้กำลังการผลิต ขณะที่ดัชนีคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกลดลงอยู่ที่ระดับ 56.3 จากระดับ 56.7 ในเดือน ก.ย.43 แต่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 56.4 จากระดับ 55.0 ในเดือน ก.ย.43 ส่วนดัชนีราคาในระดับการผลิตอยู่ที่ระดับ 70.9 จากระดับ 73.2 ในเดือน ก.ย.43 (รอยเตอร์ 2)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ระหว่างธนาคาร ณ สิ้นวันทำการ 2 พ.ย. 43 43.573 (43.708)
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สรอ.ที่ ธพ.ซื้อขายกับลูกค้า(ตั๋วเงิน) ณ สิ้นวันทำการ 2 พ.ย. 43ซื้อ 43.3795 (43.5439) ขาย 43.6937 (43.8528)
ทองคำแท่ง(บาทละ) ซื้อ 5,450 (5,450) ขาย 5,550 (5,550)
น้ำมันดิบ(ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล) โอมาน 29.15 (29.35)
น้ำมันเบนซินพิเศษ(เพอร์ฟอร์มาโกลด์) 16.49 (16.49) ดีเซลหมุนเร็ว 15.04 (15.04)
หมายเหตุ ตัวเลขในวงเล็บเป็นตัวเลขของวันก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-