ตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ
กระทรวงการคลังของเม็กซิโกได้ประกาศตัวเลขบ่งชี้เศรษฐกิจที่สำคัญในรอบปี 2542 ว่าเม็กซิโกมีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 3.7 โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเท่ากับ 815,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือร้อยละ 12.32 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปีอัตราการว่างงานสะสมลดลงจากเมื่อปี 2541 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.21 ของประชากรวัยทำงานเหลือเพียงร้อยละ 2.55 ในปีนี้ ยอดหนี้สาธารณะ 9 เดือนแรกของปี 2542 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (ไม่รวมหนี้ภาคธนาคารและสถาบันการเงินร้อยละ 14.4) ลดลงจากปี 2541 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 27.9 สำหรับปริมาณเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเม็กซิโก ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 30,733 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ยอดการขาดดุลการค้า
เมื่อปี 2542 เม็กซิโกขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 32.3 จากปี 2541 ซึ่งเม็กซิโกขาดดุลการค้าเท่ากับ 7,914 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ โดยเม็กซิโกส่งสินค้าออกคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 136,703 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ16.4 จากปี 2541 ในขณะที่มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 142,063 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 จากปี 2541
หนี้สินต่างประเทศของเม็กซิโก
หนี้สินต่างประเทศของเม็กซิโกเมื่อปี 2542 มีมูลค่าทั้งสิ้น 162,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำแนกออกเป็นหนี้ภาคเอกชน 51.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้ภาครัฐ 92.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนธนาคารกลางของเม็กซิโกมีหนี้สินต่างประเทศเท่ากับ 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อนึ่ง ในปีที่ผ่านมาเม็กซิโกต้องชำระดอกเบี้ยต่างประเทศเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯของการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุดในกลุ่มลาตินอเมริกา เนื่องจากร้อยละ 60 ของการลงทุนจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในบริษัทและโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ขณะที่การลงทุนในประเทศลาตินอเมริกาอื่นเป็นการลงทุนในกิจการเดิม โดยการเพิ่มของการลงทุนส่วนใหญ่ในเม็กซิโกเป็นสาขาการธนาคาร อุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิก และสาขาการบริการ ทั้งนี้คาดว่าการลงทุนในเม็กซิโกจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ อันเป็นผลจากการที่ความตกลงการค้าเสรีซึ่งเม็กซิโกได้ลงนามไว้กับประเทศต่าง ๆ อาทิ สหภาพยุโรป จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้
การท่องเที่ยว
ตามข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเม็กซิโกระบุว่าเมื่อปี 2542 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเม็กซิโกจำนวนทั้งสิ้น 20,216,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ เม็กซิโกคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3 จากปี 2542 โดยรายได้จากการท่องเที่ยวเมื่อปี 2542 มีทั้งสิ้น 7,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากปีก่อนหน้า ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวเม็กซิโกซึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเมื่อปี 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 10,586,000 คน (ส่วนใหญ่เดินทางไปสหรัฐอเมริกา) คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ของปีก่อนหน้า ทั้งนี้จำนวนเงินที่นักท่องเที่ยวชาวเม็กซิโกนำออกไปใช้จ่ายในต่างประเทศมีมูลค่าทั้งสิ้น 4,521 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 จากปี 2541
นโยบายเศรษฐกิจของเม็กซิโก
นาย Ernesto Zedillo Ponce de Leon ประธานาธิบดีเม็กซิโก พร้อมด้วยนาย Jose Angel Gurria รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นาย Herminio Blanco รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนาย Luis Tallez รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพลังงานฯ ของเม็กซิโกได้เข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลกครั้งที่ 3 ที่เมือง Davos สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2543 และประธานาธิบดี Zedillo ได้แถลงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับท่าทีและทัศนะทางเศรษฐกิจของเม็กซิโกต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกว่า เม็กซิโกยึดมั่นในนโยบายเร่งเปิดเสรีทางการค้าเพื่อเผชิญกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างพันธมิตรขึ้นเพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับเม็กซิโกเองจะเร่งกระบวนการในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคลาตินอเมริกา โดยในปัจจุบันเม็กซิโกเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีความตกลงการค้าเสรี ทั้งกับอเมริกาเหนือและสหภาพยุโรป ทั้งนี้เม็กซิโกเห็นว่าการจัดทำความตกลงการค้าเสรีจะมีส่วนสนับสนุนระบบการค้าเสรีของโลก อย่างไรก็ตาม การที่เม็กซิโกจะก้าวเข้าสู่แระแสโลกาภิวัฒน์นั้นไม่อาจให้ความสำคัญแต่เฉพาะการเปิดเสรีการค้าและการเพิ่มระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มสหภาพแรงงานควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดจากรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Zedillo ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ที่เม็กซิโกจะจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (MERCOSUR) และกระบวนการเจรจาทำความตกลงการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับบราซิลด้วย
ท่าทีสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่
เม็กซิโกได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับองค์การการค้าโลก ซึ่งรวบรวมจากการให้สัมภาษณ์ของนาย Luis de la Calle รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เม็กซิโกรับผิดชอบการเจรจาการค้าพหุภาคี และบุคคลที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่าง ๆ สรุปว่าในฐานะ Friends of the New Round เม็กซิโกให้การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยเห็นว่าการเจรจาควรมีลักษณะ Comprehensive โดยเริ่มและจบการเจรจาในทุกหัวข้อพร้อม ๆ กัน และกระบวนการเจรจาไม่ควรเกิน 3 ปี นอกจากนี้ เม็กซิโกยังมีท่าทีต่อต้านการนำประเด็นสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นหัวข้อการเจรจาการค้าโลกรอบใหม่ เนื่องจากเห็นว่าในการประชุมรัฐมนตรี WTO ที่สิงคโปร์เมื่อปี 2541 ที่ประชุมฯ ได้ตกลงยกประเด็นด้านแรงงานให้อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การแรงงานสากล (ILO) แล้ว และสำหรับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมนั้น กฎระเบียบปัจจุบันของ WTO ก็ได้กล่าวถึงการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และพืช ซึ่งเม็กซิโกเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ เม็กซิโกยังได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากจะเป็นการบิดเบือนระบบการค้าเสรีของโลก อย่างไรก็ตาม สำหรับในบางประเทศอาจให้คงการอุดหนุนสินค้าบางประเภทที่ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ หรือในกรณีหากยกเลิกการอุดหนุนจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเกษตรกรและประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ประธานาธิบดี Zedillo ก็ได้ประกาศท่าทีของเม็กซิโกตามแนวข้างต้นในโอกาสต่าง ๆ และได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าประเทศต่าง ๆ ไม่ควรนำความล้มเหลวที่ซีแอตเติลมาถือเป็นเหตุที่จะลดระดับความความร่วมมือในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน แต่ควรจะร่วมมือกันผลักดันให้มีการเจรจาการค้ารอบใหม่ต่อไป
ความตกลงการค้าเสรี
เม็กซิโกได้มีความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับหลายประเทศและหลายกลุ่มเพราะเชื่อว่าจะมีส่วนกระตุ้นการค้าการส่งออก โดยความตกลงที่ได้รับความสนใจมากขณะนี้คือความตกลงการค้าเสรีกับสหภารยุโรป โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 คณะมนตรีสหภารยุโรปได้ให้ความเห็นชอบความตกลงการค้าเสรีดังกล่าว และกำหนดให้มีการลงนามความตกลงฯ ที่โปรตุเกส (ประธานคณะมนตรีฯ) และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 โดยความตกลงนี้สหภาพยุโรปจะลดภาษีให้กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกในปีแรกร้อยละ 82 ของรายการนำเข้าและจะลดภาษีสำหรับสินค้าทั้งหมดภายในปี 2546 ขณะที่เม็กซิโกจะลดภาษีให้สินค้าสหภารยุโรปร้อยละ 53 ในปีแรก และลดอีกร้อยละ 5 ในปี 2543 และจะลดภาษีสำหรับสินค้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรปในปี 2550
ข้อสังเกต
1). เศรษฐกิจเม็กซิโกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการลงทุน อันมีผลต่อเนื่องจากการที่เม็กซิโกเข้าเป็นสมาชิก NAFTA นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยสนันสนุนสำคัญ คือ การที่เม็กซิโกมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่พรรค PRI ได้เป็นพรรครัฐบาลมากกว่า 70 ปี ทำให้มีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักธุรกิจต่างประเทศ ทำให้เม็กซิโกมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยเป็นประเทศส่งออกสินค้าอันดับต้น ๆ ของโลก และมีนักลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากให้ความสนใจลงทุนในเม็กซิโก แต่ภาคธุรกิจของไทยยังไม่ตื่นตัวขยายความสัมพันธ์กับเม็กซิโกเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จากการที่การค้ากับเม็กซิโกมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.4 ของการค้าไทยกับประเทศอื่น ๆ เท่านั้น ขณะที่ภาคธุรกิจของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย มีบทบาทเชิงรุกในเม็กซิโกมาก
2). การค้าที่ผูกพันกับสหรัฐอเมริการถึงร้อยละ 80 ของการค้าต่างประเทศของเม็กซิโก ได้สร้างความกังวลใจให้แก่เม็กซิโกเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น สหรัฐฯ ก็พยายามมีอิทธิพลทางการเมืองและสังคมต่อเม็กซิโกมาโดยตลอดทำให้เม็กซิโกตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องเร่งขยายการค้ากับประเทศอื่น ๆ โดยวิธีการหนึ่งคือการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงการค้ากับสหรัฐฯ
3). ไทยอาจใช้ประโยชน์จากสภาพการณ์ของเม็กซิโกในข้อ 2). ถือโอกาสเร่งขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเม็กซิโก นอกจากการแลกเปลี่ยนการเยือนแล้วอาจศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับเม็กซิโก เพราะขณะนี้เม็กซิโกเองก็กำลังเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับสิงคโปร์ และสำหรับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ด้วย
4). การท่องเที่ยวก็เป็นธุรกิจที่น่าจะได้รับการส่งเสริม เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้เม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้สูงของประเทศซึ่งแม้เป็นชนส่วนน้อยแต่มีกำลังเศรษฐกิจมาก และมีศักยภาพพอที่จะเดินทางมาภูมิภาคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของไทยที่ประสงค์จะเพิ่มการรับนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นช่องการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานที่ดีของการขยายความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ด้วย
5). นอกเหนือจากการขยายปริมาณการค้าแล้ว ไทยกับเม็กซิโกยังน่าจะสามารถส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์การการค้าโลก ซึ่งเม็กซิโกมีท่าทีแน่ชัดและคล้ายคลึงกับไทย โดยอาจให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องการป้องกันมิให้ประเทศพัฒนาแล้วมีอิทธิพลชี้นำการเจรจาเพื่อพัฒนาระบบการค้าที่เสรีและเป็นธรรม--จบ--
-อน-
กระทรวงการคลังของเม็กซิโกได้ประกาศตัวเลขบ่งชี้เศรษฐกิจที่สำคัญในรอบปี 2542 ว่าเม็กซิโกมีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 3.7 โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเท่ากับ 815,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือร้อยละ 12.32 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปีอัตราการว่างงานสะสมลดลงจากเมื่อปี 2541 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.21 ของประชากรวัยทำงานเหลือเพียงร้อยละ 2.55 ในปีนี้ ยอดหนี้สาธารณะ 9 เดือนแรกของปี 2542 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (ไม่รวมหนี้ภาคธนาคารและสถาบันการเงินร้อยละ 14.4) ลดลงจากปี 2541 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 27.9 สำหรับปริมาณเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเม็กซิโก ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 30,733 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ยอดการขาดดุลการค้า
เมื่อปี 2542 เม็กซิโกขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 32.3 จากปี 2541 ซึ่งเม็กซิโกขาดดุลการค้าเท่ากับ 7,914 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ โดยเม็กซิโกส่งสินค้าออกคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 136,703 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ16.4 จากปี 2541 ในขณะที่มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 142,063 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 จากปี 2541
หนี้สินต่างประเทศของเม็กซิโก
หนี้สินต่างประเทศของเม็กซิโกเมื่อปี 2542 มีมูลค่าทั้งสิ้น 162,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำแนกออกเป็นหนี้ภาคเอกชน 51.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้ภาครัฐ 92.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนธนาคารกลางของเม็กซิโกมีหนี้สินต่างประเทศเท่ากับ 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อนึ่ง ในปีที่ผ่านมาเม็กซิโกต้องชำระดอกเบี้ยต่างประเทศเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯของการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุดในกลุ่มลาตินอเมริกา เนื่องจากร้อยละ 60 ของการลงทุนจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในบริษัทและโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ขณะที่การลงทุนในประเทศลาตินอเมริกาอื่นเป็นการลงทุนในกิจการเดิม โดยการเพิ่มของการลงทุนส่วนใหญ่ในเม็กซิโกเป็นสาขาการธนาคาร อุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิก และสาขาการบริการ ทั้งนี้คาดว่าการลงทุนในเม็กซิโกจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ อันเป็นผลจากการที่ความตกลงการค้าเสรีซึ่งเม็กซิโกได้ลงนามไว้กับประเทศต่าง ๆ อาทิ สหภาพยุโรป จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้
การท่องเที่ยว
ตามข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเม็กซิโกระบุว่าเมื่อปี 2542 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเม็กซิโกจำนวนทั้งสิ้น 20,216,000 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ เม็กซิโกคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 3 จากปี 2542 โดยรายได้จากการท่องเที่ยวเมื่อปี 2542 มีทั้งสิ้น 7,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากปีก่อนหน้า ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวเม็กซิโกซึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเมื่อปี 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 10,586,000 คน (ส่วนใหญ่เดินทางไปสหรัฐอเมริกา) คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ของปีก่อนหน้า ทั้งนี้จำนวนเงินที่นักท่องเที่ยวชาวเม็กซิโกนำออกไปใช้จ่ายในต่างประเทศมีมูลค่าทั้งสิ้น 4,521 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 จากปี 2541
นโยบายเศรษฐกิจของเม็กซิโก
นาย Ernesto Zedillo Ponce de Leon ประธานาธิบดีเม็กซิโก พร้อมด้วยนาย Jose Angel Gurria รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นาย Herminio Blanco รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนาย Luis Tallez รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพลังงานฯ ของเม็กซิโกได้เข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลกครั้งที่ 3 ที่เมือง Davos สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2543 และประธานาธิบดี Zedillo ได้แถลงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับท่าทีและทัศนะทางเศรษฐกิจของเม็กซิโกต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกว่า เม็กซิโกยึดมั่นในนโยบายเร่งเปิดเสรีทางการค้าเพื่อเผชิญกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างพันธมิตรขึ้นเพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับเม็กซิโกเองจะเร่งกระบวนการในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคลาตินอเมริกา โดยในปัจจุบันเม็กซิโกเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีความตกลงการค้าเสรี ทั้งกับอเมริกาเหนือและสหภาพยุโรป ทั้งนี้เม็กซิโกเห็นว่าการจัดทำความตกลงการค้าเสรีจะมีส่วนสนับสนุนระบบการค้าเสรีของโลก อย่างไรก็ตาม การที่เม็กซิโกจะก้าวเข้าสู่แระแสโลกาภิวัฒน์นั้นไม่อาจให้ความสำคัญแต่เฉพาะการเปิดเสรีการค้าและการเพิ่มระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มสหภาพแรงงานควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดจากรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Zedillo ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ที่เม็กซิโกจะจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (MERCOSUR) และกระบวนการเจรจาทำความตกลงการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับบราซิลด้วย
ท่าทีสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่
เม็กซิโกได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับองค์การการค้าโลก ซึ่งรวบรวมจากการให้สัมภาษณ์ของนาย Luis de la Calle รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เม็กซิโกรับผิดชอบการเจรจาการค้าพหุภาคี และบุคคลที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่าง ๆ สรุปว่าในฐานะ Friends of the New Round เม็กซิโกให้การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยเห็นว่าการเจรจาควรมีลักษณะ Comprehensive โดยเริ่มและจบการเจรจาในทุกหัวข้อพร้อม ๆ กัน และกระบวนการเจรจาไม่ควรเกิน 3 ปี นอกจากนี้ เม็กซิโกยังมีท่าทีต่อต้านการนำประเด็นสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นหัวข้อการเจรจาการค้าโลกรอบใหม่ เนื่องจากเห็นว่าในการประชุมรัฐมนตรี WTO ที่สิงคโปร์เมื่อปี 2541 ที่ประชุมฯ ได้ตกลงยกประเด็นด้านแรงงานให้อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การแรงงานสากล (ILO) แล้ว และสำหรับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมนั้น กฎระเบียบปัจจุบันของ WTO ก็ได้กล่าวถึงการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และพืช ซึ่งเม็กซิโกเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ เม็กซิโกยังได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากจะเป็นการบิดเบือนระบบการค้าเสรีของโลก อย่างไรก็ตาม สำหรับในบางประเทศอาจให้คงการอุดหนุนสินค้าบางประเภทที่ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ หรือในกรณีหากยกเลิกการอุดหนุนจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเกษตรกรและประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ประธานาธิบดี Zedillo ก็ได้ประกาศท่าทีของเม็กซิโกตามแนวข้างต้นในโอกาสต่าง ๆ และได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าประเทศต่าง ๆ ไม่ควรนำความล้มเหลวที่ซีแอตเติลมาถือเป็นเหตุที่จะลดระดับความความร่วมมือในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน แต่ควรจะร่วมมือกันผลักดันให้มีการเจรจาการค้ารอบใหม่ต่อไป
ความตกลงการค้าเสรี
เม็กซิโกได้มีความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับหลายประเทศและหลายกลุ่มเพราะเชื่อว่าจะมีส่วนกระตุ้นการค้าการส่งออก โดยความตกลงที่ได้รับความสนใจมากขณะนี้คือความตกลงการค้าเสรีกับสหภารยุโรป โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 คณะมนตรีสหภารยุโรปได้ให้ความเห็นชอบความตกลงการค้าเสรีดังกล่าว และกำหนดให้มีการลงนามความตกลงฯ ที่โปรตุเกส (ประธานคณะมนตรีฯ) และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 โดยความตกลงนี้สหภาพยุโรปจะลดภาษีให้กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกในปีแรกร้อยละ 82 ของรายการนำเข้าและจะลดภาษีสำหรับสินค้าทั้งหมดภายในปี 2546 ขณะที่เม็กซิโกจะลดภาษีให้สินค้าสหภารยุโรปร้อยละ 53 ในปีแรก และลดอีกร้อยละ 5 ในปี 2543 และจะลดภาษีสำหรับสินค้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรปในปี 2550
ข้อสังเกต
1). เศรษฐกิจเม็กซิโกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการลงทุน อันมีผลต่อเนื่องจากการที่เม็กซิโกเข้าเป็นสมาชิก NAFTA นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยสนันสนุนสำคัญ คือ การที่เม็กซิโกมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่พรรค PRI ได้เป็นพรรครัฐบาลมากกว่า 70 ปี ทำให้มีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักธุรกิจต่างประเทศ ทำให้เม็กซิโกมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยเป็นประเทศส่งออกสินค้าอันดับต้น ๆ ของโลก และมีนักลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากให้ความสนใจลงทุนในเม็กซิโก แต่ภาคธุรกิจของไทยยังไม่ตื่นตัวขยายความสัมพันธ์กับเม็กซิโกเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จากการที่การค้ากับเม็กซิโกมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.4 ของการค้าไทยกับประเทศอื่น ๆ เท่านั้น ขณะที่ภาคธุรกิจของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย มีบทบาทเชิงรุกในเม็กซิโกมาก
2). การค้าที่ผูกพันกับสหรัฐอเมริการถึงร้อยละ 80 ของการค้าต่างประเทศของเม็กซิโก ได้สร้างความกังวลใจให้แก่เม็กซิโกเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น สหรัฐฯ ก็พยายามมีอิทธิพลทางการเมืองและสังคมต่อเม็กซิโกมาโดยตลอดทำให้เม็กซิโกตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องเร่งขยายการค้ากับประเทศอื่น ๆ โดยวิธีการหนึ่งคือการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงการค้ากับสหรัฐฯ
3). ไทยอาจใช้ประโยชน์จากสภาพการณ์ของเม็กซิโกในข้อ 2). ถือโอกาสเร่งขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเม็กซิโก นอกจากการแลกเปลี่ยนการเยือนแล้วอาจศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับเม็กซิโก เพราะขณะนี้เม็กซิโกเองก็กำลังเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับสิงคโปร์ และสำหรับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ด้วย
4). การท่องเที่ยวก็เป็นธุรกิจที่น่าจะได้รับการส่งเสริม เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้เม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้สูงของประเทศซึ่งแม้เป็นชนส่วนน้อยแต่มีกำลังเศรษฐกิจมาก และมีศักยภาพพอที่จะเดินทางมาภูมิภาคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของไทยที่ประสงค์จะเพิ่มการรับนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นช่องการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานที่ดีของการขยายความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ด้วย
5). นอกเหนือจากการขยายปริมาณการค้าแล้ว ไทยกับเม็กซิโกยังน่าจะสามารถส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์การการค้าโลก ซึ่งเม็กซิโกมีท่าทีแน่ชัดและคล้ายคลึงกับไทย โดยอาจให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องการป้องกันมิให้ประเทศพัฒนาแล้วมีอิทธิพลชี้นำการเจรจาเพื่อพัฒนาระบบการค้าที่เสรีและเป็นธรรม--จบ--
-อน-